ดาบของท็อดเรืองแสงสีแดงบางๆ ด้วยมุมที่เขาตั้งหลักอยู่ ท็อดเปิดฉากโจมตีด้วยดาบ หมายฟันคอของนาตาซา ไม่ว่า ‘พร’ ของนาตาซาจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน การบั่นคอนางได้ย่อมหมายถึงการจบชีวิตของนาง นอกจากนั้น ดาบอัศวินของท็อดก็มีพลังพิเศษเช่นกัน เมื่อคมดาบเฉือนเป้าหมายใดก็ตาม บาดแผลจะเลือดไหลทะลักไม่หยุด ไม่ว่าเหยื่อจะมีพลังเยียวยาวตัวเองทรงพลังขนาดไหนก็ตาม

ขณะเดียวกัน ผิวหนังของท็อดก็เปลี่ยนเป็นสีเงินและทั้งตัวเขามีชั้นโลหะปกคลุม ราวกับว่าเขาเป็น ‘โกเลมเหล็ก’ พลังแฝงจาก ‘พร’ นั้นสามารถเพิ่มระดับพลังป้องกันและความแข็งแรงไปพร้อมๆ กัน

นาตาซาดึงทวนของท็อดที่ปักคาออกจากท้องด้วยมือเดียวจนหลุดในที่สุดก่อนจะเขวี้ยงทิ้ง อีกมือหนึ่ง ดาบอัศวินของนางที่มีสายฟ้าแปลบปลาบกวัดแกว่งปัดป้องการโจมตีที่รุมเข้ามา แต่นางจะไม่สามารถไล่ตามเวอร์ดี้ได้ หากมัวประดาบกับท็อด

“วายออน!” นาตาซาตะโกน “คุ้มกันข้าด้วย!”

เมื่อนาตาซาเรียกชื่อ วายออนก็เรียกใช้พลังแฝงจาก ‘พร’ ทันที ร่างกายของเขาเริ่มเปล่งแสงสีขาวและปีกสีขาวใหญ่ๆ สี่คู่ผุดขึ้นบนหลังเขา ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นเกือบสองเท่าของคนปกติ

นี่คือ ‘พร’ ของวายออน ‘เทวทูตแห่งพลัง’!

วายออนถลาเข้าปะทะกับท็อด เขาเงื้อดาบยักษ์ด้วยทั้งสองมือและฟาดลงบนดาบเรืองแสงสีแดงของท็อด ท็อดที่กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าต้องเปลี่ยนเป้าหมายและหันมาป้องกันการโจมตีของวายออนแทน ทั้งสองคนใช้พละกำลังห้ำหั่นประดาบกับอีกฝ่ายกันเต็มกำลัง พลังที่ปะทะกันของดาบรุนแรงจนเกิดลมกระโชกรุนแรง ถุงมืออัศวินของทั้งสองคนเริ่มฉีกขาดด้วยพลังการปะทะที่รุนแรง

ขณะขนปีกสีขาวสะท้อนแสงของวายออนร่วงจำนวนมาก ท็อดเป็นฝ่ายใจเย็นอยู่ เห็นได้ชัดว่าท็อดอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่าในการรบ

เมื่อเผชิญหน้ากับความต่างชั้น วายออนรู้ตัวว่าเขาคงสู้ไม่ไหว แต่ในฐานะอัศวินที่เป็นกำลังหลักของเจ้าหญิงในสนามรบ ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องสู้เพื่อนาตาซาจนกว่าชีวิตจะหาไม่ อย่างไรเสียวายออนก็ไม่หยุดกระตุ้นม้าด้วยรองเท้าบูต ทะยานตามเข้าไปคุ้มกันเจ้าหญิงจากการจู่โจมของท็อด

ไม่ไกลจากพวกเขา บอร์ชต์ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและร่วงลงจากหลังม้า เขาครวญครางด้วยความเจ็บปวดในลมหายใจสุดท้าย “วิเวียน…”

หลังจัดการกับบอร์ชต์เป็นศพแรก อัศวินและอัศวินฝึกหัดคนอื่นๆ ของฝ่ายเวอร์ดี้ ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ลูเซียนซึ่งดูอ่อนแอกว่าใครในบรรดานักรบทั้งหมดของฝ่ายนาตาซา

ด้วยพลังจาก ‘แหวนอาฆาตเหมันต์’ ลูเซียนยังประครองสติให้สุขุมไว้ได้ตลอดเวลา แม้แขนของเขาชาไปจากตวัดดาบฟาดฟันและการป้องกันการโจมตี ความแข็งแกร่งไม่ใช่จุดเด่นของเขา

เมื่อมีการโจมตีเข้ากลางหลังลูเซียนอีกครั้งจังๆ ‘เกราะแสงดารา’ ของเขาก็ถึงขีดจำกัดและแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยส่องแสงวิบวับ

ลูเซียนรวบรวมพลังวิญญาณอีกครั้งเพื่อร่ายคาถา ‘เวทเกราะแสงดารา’ ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่การโจมตีระลอกที่สองที่โถมเข้าใส่เขา โชคดีที่เขายังทะยานไปข้างหน้า มิฉะนั้น เขาอาจตายไปแล้ว เขามั่นใจว่าคนที่โจมตีเขาต้องเป็นอัศวินระดับสองแน่นอน เนื่องจาก ‘เกราะแสงดารา’ สามารถรับมือกับการโจมตีของอัศวินระดับหนึ่งได้สามหรือสี่ครั้ง หากพลังวิญญาณเขายังไม่หมด เกราะของเขาจะคงอยู่คอยคุ้มกันเขาไปตลอด

ด้วยเหตุผลนี้ นักเวทจึงแข็งแกร่งกว่าอัศวินในระดับเดียวกันอยู่พอสมควร

อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับ ‘อัศวินระดับสอง’ ลูเซียนที่เป็นเพียง ‘นักเวทระดับหนึ่ง’ เป็นฝ่ายตกเป็นรอง

ขณะนั้น นาตาซาควบม้าเข้าใกล้เวอร์ดี้ในรัศมีสองหรือสามเมตรอีกครั้ง ขนาบข้างของเวอร์ดี้ มีเพียงอัศวินฝึกหัดไม่กี่นายคอยคุ้มกันซิลเวีย ส่วนข้างหลังเวอร์ดี้ มีทุ่งโล่งกว้างและ ‘ป่าดำเมลเซอร์’ ตั้งอยู่

หากนาตาซาสามารถตีวงฝ่าการวงล้อมเข้าไปยังป่าดำได้ เวอร์ดี้จะเสียโอกาสทองในการสังหารเจ้าหญิงในคืนนี้ ซึ่งเขาอาจจะไม่มีโอกาสที่สองอีกแล้วในชีวิต

หากนาตาซารอดตายจากคืนนี้ เวอร์ดี้จะเป็นฝ่ายที่ต้องถูกประหารชีวิต และความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาจะสูญเปล่า

แม้ไม่มีโล่ป้องกัน เวอร์ดี้หมอบต่ำและเต็มไปด้วยท่าทางมุ่งมั่น แม้ว่าเขาจะเป็นคนใจแคบ แต่ในฐานะอัศวิน เวอร์ดี้ยังมีอำนาจจิตแข็งแกร่งและหัวใจที่ห้าวหาญ

ในด้านประสบการณ์การรบ เขาตระหนักดีว่าเขาดูเป็นรองญาติผู้น้อง เวอร์ดี้รู้ว่าตอนนี้เขาต้องการการตั้งรับที่แข็งแกร่งพอจะหยุดนาตาซาให้ได้

เวอร์ดี้ทำมือเป็นสัญลักษณ์ไขว้อยู่ด้านหน้าแผงอก เขาแผดเสียงตะโกนและเรียกใช้ ‘พร’ อีกครั้ง เสียงที่แผดออกมาทรงพลังจนแม้กระมั่งม้าของเขาก็มีอาการตกใจเล็กน้อย พื้นเริ่มสั่นอย่างรุนแรง กำแพงหนามากมายผุดขึ้นมาจากพื้นดินสีดำ ตั้งขวางทางระหว่างเวอร์ดี้กับนาตาซา

ดวงดาวที่มีอยู่ไม่กี่ดวงบนท้องฟ้าส่องแสงสว่างจ้า แสงของดาวเหมือนสาดส่องลงมาที่เกราะของเวอร์ดี้ และโล่พลังโปร่งแสงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

‘โล่แห่งสัจธรรม’ เป็น ‘พร’ ที่ผสมผสาน ‘พร’ ที่เรียกว่า ‘ดิน’ เข้ากับ ‘พร’ ที่เรียกว่า ‘ดาว’

นั่นต้องใช้พลังทั้งหมดที่เวอร์ดี้มี ‘พร’ ของเขาได้แสดงศักยภาพที่แท้จริง

นาตาซาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่นางก็เร่งความเร็วพุ่งทะยานไปข้างหน้ามากยิ่งขึ้น ไม่นาน ทวนสีดำของนางก็พุ่งทะลุผ่านกำแพงสองสามชั้นแรก แม้ว่ากำแพงที่เหลือถูกทวน ‘สเลเยอร์’ ทำลาย แต่มันก็ชะลอความเร็วในการเข้าปะทะของนางลง

เมื่อปลายทวนของนาตาซาปะทะเข้ากับโล่พลังของเวอร์ดี้ โล่โปร่งแสงของเขาสะท้านด้วยแรงสั่นสะเทือนเป็นวงกว้างบนพื้นผิวรอบๆ ปลายทวน เวอร์ดี้ผงะถอยหลังเล็กน้อย แต่เพียงวูบเดียว เขาก็ต้านพลังอันแรงกล้าของนาตาซาเอาไว้ได้และกลับมาเสริมความแข็งแกร่งของโล่

หนึ่งวินาที สองวินาที… นาตาซาทุ่มพลังทั้งหมดกระแทกทวน ‘สเลเยอร์’ ไปข้างหน้า แต่ทะลุเกราะเข้าไปได้เพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น

รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏบนหน้าเวอร์ดี้ เมื่อเขาเห็นอัศวินหลวงนายอื่นๆ กำลังจะไล่ตามนาตาซาทันพร้อมดาบในมือเตรียมรุมกินโต๊ะนาตาซา

อย่างไรเสีย ทันใดนั้นลำแสงสีขาวพุ่งลงมาจากฟากฟ้าและปะทะเข้ากับโล่ของเวอร์ดี้ด้วยพลังงานรุนแรงมหาศาล

แสงร้อนระอุราวกับพระเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า

นี่คือ ‘เวทพลังพิฆาตศักดิ์สิทธิ์!’

แม้ว่า ‘อาคมเทพ’ ระดับหนึ่งไม่ได้สร้างความเสียหายกับ ‘โล่แห่งสัจธรรม’ แต่เวอร์ดี้ก็หลุดจากสมาธิ

“ศาสนจักร!” เวอร์ดี้พูดโพล่งออกมา เพราะรู้ดีว่าอุปกรณ์เวทมนตร์และอาคมเทพของนาตาซาและอัศวินฝ่ายของนางถูกใช้จนหมดและถึงขีดจำกัดแล้ว พลังจาก ‘อาคมเทพ’ ดังกล่าวจึงอยู่เหนือความคาดหมายของเวอร์ดี้และมีความเป็นไปได้เดียวที่เข้ามาในห้วงความคิดเขา หากศาสนจักรล่วงรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ นั่นหมายถึงจุดจบของเขา!

เนื่องจาก ‘พร’ เป็นผลมาจากอำนาจจิตของผู้ครอบครอง ‘โล่แห่งสัจธรรม’ ของเวอร์ดี้สั่นเทิ้ม เมื่อเขาเสียสมาธิไปชั่วขณะ

อย่างไรก็ตาม วินาทีเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับอัศวินหลวงอย่างนาตาซาที่จะพลิกสถานการณ์

ด้วยความพละกำลังและพลังทั้งหมดของนาง นาตาซาคว้าทวนจากหลังของนางและ ‘เสียบทะลวง’ โล่พลังของเวอร์ดี้ราวกับสว่าน โล่โปร่งแสงแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยสะท้อนแสง ‘สเลเยอร์’ ยังคงพุ่งทะลวงและเสียบทะลุไหล่ซ้ายของเวอร์ดี้ ใกล้กับช่วงกระดูกข้อต่อไหล่ จนเขาร่วงลงมาจากหลังม้าในทันที

เมื่อถูกทวนของนาตาซาเสียบทะลุ เวอร์ดี้ก็คลุ้มคลั่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ทวน ‘สเลเยร์’ ดูดพลังเขาจนหมดและเอาชีวิตไม่รอด เขาดึงดาบออกมาด้วยมือขวาและตวัดดาบตัดแขนและหัวไหล่ซ้ายทิ้งทันที เมื่อหลุดพ้นจากทวนของนาตาซา เขากลิ้งตัวไปอีกทาง เลือดสีม่วงพุ่งทะลักสาดไปทั่วพื้น

ลูเซียนนั่นเองที่เป็นคนร่ายคาถา ‘เวทพลังพิฆาตศักดิ์สิทธิ์’ แล้วเขาก็เรียกใช้ ‘มงกุฎสุริยัน’ ในจังหวะที่สำคัญที่สุดพอดิบพอดี

ในการเป็นนักเวทที่ทรงพลัง การสงบสติอารมณ์และการตั้งสมาธิเป็นเงื่อนไขสำคัญในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การรบตามสถานการณ์ต่างๆ

เมื่อเผชิญกับศัตรูจำนวนมากที่เพิ่งโผล่เข้ามาพยายามสกัดกั้นนาตาซา คาชาเรลถลาเข้าใส่ศัตรูคนหนึ่งด้วยน้ำหนักตัวทั้งหมด ร่างกายของเขายืดขยายเหมือนกับยางยืด รัดร่างของอัศวินหลวงของฝั่งเวอร์ดี้และดาบของเขาเหมือนกับสายยาง แต่ขณะเดียวกัน บาดแผลฉกรรจ์มากมายปรากฏบนตัวคาชาเรล

อีกด้านหนึ่ง แดเนียลที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกระโดดลงจากหลังม้าเข้าใส่กลางวงศัตรู กระแทกอัศวินสองสามคนลงไปกองกับพื้น

ทุกคนพร้อมจะใช้กลยุทธ์พลีชีพเพียงเพื่อให้เจ้าหญิงได้มีโอกาสเหมาะเจาะสักครั้ง!

นาตาซาไล่ตามเวอร์ดี้ที่ม้วนตัวหนีและใช้พลังสายฟ้าจาก ‘ดาบธันเดอร์’ ของนาง เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของเขา การโจมตีครั้งหน้าของนางหวังจะบั่นคอของเวอร์ดี้ให้ขาดสะบั้น แต่ลมกระโชกแรงพัดมือของนางสะบัดจนดาบของนางขยับผิดองศาไปด้านข้างเล็กน้อย ดาบของนาตาซาเฉียดคอหอยของเวอร์ดี้ไปแค่นิ้วเดียว

นั่นก็เพราะซิลเวียร่ายเวทด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์ของนาง

นาตาซาบังคับให้ม้าเลี้ยวกลับมาหวังจะโจมตีอีกครั้งและเกร็งข้อมือหวังจะลงดาบสังหารเวอร์ดี้ให้ได้

อย่างไรก็ตาม จังหวะนั้นเอง อยู่ๆ ซิลเวียก็กระโดดเข้ามายืนขวางระหว่างนาตาซากับเวอร์ดี้ นางมองนาตาซาด้วยดวงตาสีดำมหาเสน่ห์

ซิลเวียยอมสละตัวเองปกป้องเวอร์ดี้ หวังว่าอดีตคนรักของนางจะไม่กล้าทำร้ายนาง!

ดวงตาสีเทาของนาตาซาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดขณะนางลงดาบสังหารคนรักของนางโดยไม่ลังเล นางรู้ดีว่าในจังหวะนั้นความลังเลแม้แต่นิดเดียวอาจทำให้นางเป็นฝ่ายถูกสังหารเสียเอง พร้อมกับอัศวินผู้ภักดีและสหายที่ยังอยู่ข้างนางแม้ในยามวิกฤตแบบนี้

จนกระทั่งนางรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของดาบและความเจ็บปวดสุดแสนสาหัส ซิลเวียไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ ดาบของนาตาซาผ่าร่างของซิลเวียออกเป็นสองท่อน

แม้ขนาดนั้น เจ้าหญิงยังไม่หยุดและควบม้าเข้าใส่หวังจะจบศึกกับเวอร์ดี้

ช่วงขณะนั้นเอง อัศวินของเวอร์ดี้ทั้งหมดหันมาพยายามสกัดกั้นนาตาซาไว้ให้ได้ โดยไม่สนว่าอันตรายขนาดไหนที่ต้องหันหลังให้กับลูเซียนและวายออน

……………………………………….