ตอนที่ 233 นัดดูตัว

เสี่ยวไป๋หยางเห็นเย่ฉูฉู่กลับมา ก็รีบกางแขนเพื่อให้แม่อุ้ม เย่ฉูฉู่กอดลูกน้อยไว้ในอ้อมอก เจ้าตัวน้อยจึงยิ้มร่าออกมา

“ดูสิ เด็กคนนี้ฉลาดจัง ตัวแค่นี้เอง!” ยายเฒ่าฉวี่พูดด้วยรอยยิ้ม

คนอื่น ๆ จึงหัวเราะออกมา เมื่อกลับมานั่งบนเตียงอีกครั้ง ยายเฒ่าฉวี่ก็พูดคุยกับไห่เยี่ยน ซึ่งเป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไป อย่างเช่นในบ้านมีสมาชิกกี่คน ที่บ้านมีที่ดินกี่หมู่ พ่อแม่มีร่างกายแข็งแรงดีหรือไม่ ทำงานเองปีนี้ได้ข้าวมาเท่าไร และอื่น ๆ

เฮ่อซงจือและเย่ฉูฉู่นั่งเล่นกับเสี่ยวไป๋หยางอยู่ข้าง ๆ ตอนที่ใกล้จะถึงช่วงเที่ยง ยายเฒ่าฉวี่และไห่เยี่ยนก็พูดคุยกันเกือบได้ที่ สิ่งที่ไม่ควรพูดถึงก็พูดถึงแล้ว ทว่าห้องทางตะวันตกกลับยังไม่มีการเคลื่อนไหว

ไห่เยี่ยนเริ่มนั่งไม่ติดที่แล้ว หล่อนลุกขึ้นยืนเพื่อไปหาน้องสาว เฮ่อซงจือก็ตามไปด้วย

“คุยอะไรกันตั้งนานสองนาน?” ยายเฒ่าฉวี่พูดกับเย่ฉูฉู่ด้วยความสงสัย “ปกติอยู่บ้านเขาก็ไม่คุยอะไร”

เย่ฉูฉู่ยิ้ม “ก็ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายเป็นใครแล้วล่ะค่ะ”

ยายเฒ่าฉวี่ยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้โตขึ้นมาสุดยอดเลยนะ ลูกชายอยากได้ลูกสะใภ้ ลูกสาวก็อยากได้ลูกเขย”

“นี่ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอคะ?” เย่ฉูฉู่กล่าว

ตอนนี้ไห่เยี่ยนและเฮ่อซงจือก็เดินเข้ามา โดยมีชุนเยี่ยนและเจ้ารองฉวี่เดินตามหลังมา

“ตอนนี้ก็สายแล้ว พวกเราควรกลับบ้านกันแล้ว” ยายเฒ่าฉวี่มองลูกชายพลางก้าวลงจากเตียงเพื่อขอตัวกลับ

“ป้าใหญ่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิคะ”

“ไม่กินแล้วล่ะ ที่บ้านยังมีย่าของเขาอีกคน คนแก่ ๆ สายตาไม่ค่อยดี ทำกับข้าวไม่ไหวหรอก” ยายเฒ่าฉวี่จึงพาเจ้ารองฉวี่กลับไป

เฮ่อซงจือคุยกับเย่ฉูฉู่แค่ไม่กี่คำก็พาไห่เยี่ยนและชุนเยี่ยนกลับไป หล่อนออกจากบ้านมาค่อนข้างนานแล้ว ตอนนี้ลูกร้องไห้งอแงไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้

หลังจากพวกเธอกลับไป ลูกลิงก็โผล่มาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้ มันมาอยู่ตรงหน้าเย่ฉูฉู่พลางส่งเสียงร้องเจี๊ยก ๆ

เย่ฉูฉู่ลูบหัวมันด้วยรอยยิ้ม “หิวแล้วใช่ไหม พวกเราก็มาทำกับข้าวกันเถอะ”

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เย่ฉูฉู่ก็กล่อมเสี่ยวไป๋หยางให้เข้านอน ส่วนเธอเองก็หลับไปตื่นหนึ่งด้วย เสี่ยวไป๋หยางยังไม่ตื่น เฮ่อซงจือก็กลับมาหาอีกครั้ง

“ลูกไม่ได้ร้องงอแงใช่ไหม?” เย่ฉูฉู่ถาม

“ไม่ร้อง ตอนที่ฉันกลับไปแม่สามีทำกับข้าวเสร็จแล้ว กำลังป้อนน้ำข้าวให้ลูกฉันอยู่ ถูกหลอกจนไม่ได้ร้องไห้เลย” เฮ่อซงจือขึ้นมานั่งบนเตียง “ฉันเองก็เพิ่งจะกล่อมเข้านอนเมื่อกี้เอง”

ตอนนี้อากาศหนาวมาก ลมที่ตงเหลียงก็แรงด้วย เฮ่อซงจือจึงไม่สะดวกที่จะอุ้มลูกมาที่นี่ เพราะกลัวว่าจะหนาวจนเป็นไข้

เย่ฉูฉู่ยื่นหมอนมาให้หล่อนหนึ่งใบ บอกให้หล่อนเอนตัวนอนเพื่อพูดคุยกัน

“สำเร็จแล้ว” เฮ่อซงจือกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เย่ฉูฉู่ก็ยิ้ม “พวกเขารู้จักกันตอนที่มาดูละครใช่ไหม?”

“ใช่สิ ยังจะโกหกได้อีกเหรอ!” เฮ่อซงจือพูดยืนยัน “ไห่เยี่ยนเป็นคนพูดเอง ไม่งั้นน้องสาวของหล่อนจะรู้จักเจ้ารองฉวี่ได้ยังไง”

“แต่เจ้ารองฉวี่กลับไม่ยอมรับ” เย่ฉูฉู่กล่าว “คิดไม่ถึงเลยนะว่าเจ้ารองฉวี่ที่ปกติไม่พูดไม่จา จะเรียนรู้วิธีการพูดคุยกับคู่สนทนาจากในเมืองเป็นกับเขาด้วย!”

เฮ่อซงจือยิ้ม “อายุขนาดนี้แล้ว จะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ? อย่ามองว่าเขาไม่ค่อยพูด ภายในใจมีแผนตั้งเยอะแยะ”

“ตกลงแล้วเหรอ?” เย่ฉูฉู่ถาม “พวกเขาว่ายังไงบ้างล่ะ?”

เฮ่อซงจือกล่าว “คุยกันนานขนาดนั้น จะไม่ตกลงได้ไง? แม่สามีของฉันไปถามยายเฒ่าฉวี่แล้ว ท่านไม่ได้มีปัญหาอะไร บอกว่าลูกชายชอบก็ตกลงตามนั้น แต่ก็เป็นกังวลว่าทางฝ่ายหญิงจะเรียกสินสอดเยอะ แต่เจ้ารองฉวี่นั่นดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้เลยนะ”

“แล้วฝ่ายหญิงล่ะ? ว่ายังไงบ้าง?” เย่ฉูฉู่ถาม

เฮ่อซงจือลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ทางฝ่ายหญิงก็ยินดี แต่อยากได้บ้านหนึ่งหลัง แถมยังอยากได้แบบเธอด้วย”

เย่ฉูฉู่ชะงัก

เฮ่อซงจือพูดอย่างจนปัญญา “ฉันแอบรู้สึกเสียใจอยู่เหมือนกันที่พาสองคนนั้นมาที่บ้านเธอ พอได้เห็นบ้านเธอก็กลายเป็นคนหวังสูงเฉยเลย”

เย่ฉูฉู่นึกถึงท่าทางของชุยเยี่ยนตอนที่เห็นบ้าน เธอเองก็ถอนหายใจ “งั้นก็ต้องเป็นหนี้เพื่อสร้างบ้าน แล้วก็ค่อย ๆ คืนเงิน แต่ไม่รู้ว่าหล่อนจะยินดีใช้ชีวิตอด ๆ อยาก ๆ หรือเปล่านี่สิ ทางฝ่ายหญิงที่พี่สะใภ้สี่ของฉันแนะนำมาก็ไม่ยอมใช้ชีวิตอด ๆ อยาก ๆ ซะด้วย”

เฮ่อซงจือกล่าว “ไม่ยินดีก็ต้องยินดีแล้วล่ะ ขนาดเหวินเทาของเธอที่เป็นคนมีความสามารถสร้างบ้านหลังนี้ยังต้องอด ๆ อยาก ๆ เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้ารองฉวี่ อย่าพูดถึงชนบทของเรา ต่อให้เป็นในเมือง ใครจะก้าวข้ามขั้นได้บ้าง? แต่ละคนก็ค่อย ๆ ก้าวกันทั้งนั้นแหละ”

“แล้วฝั่งนั้นนิสัยเป็นยังไงเหรอ?” เย่ฉูฉู่ถาม

เฮ่อซงจือตอบ “ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้หรอก ฉันสนิทกับไห่เยี่ยน ไห่เยี่ยนเป็นคนเชื่อฟังพ่อแม่ ตอนนั้นพ่อกับแม่ของหล่อนเป็นคนหาสามีที่มีฐานะยากจนที่สุดในหมู่บ้านให้ ฝั่งนั้นพี่น้องเยอะมาก แต่พ่อแม่ของหล่อนบอกว่านี่แหละถึงจะเรียกว่าครอบครัวที่ดี! แต่ที่บ้านเหวินจื้อของฉันกลับไม่ได้ชอบแบบนั้น เพราะเหวินจื้อเป็นครู บอกว่าเป็นปัญญาชน เธอคงไม่รู้ว่าปีนี้คนที่เป็นครูต่างลำบากมากเลยนะ บ้านของฉันก็กลัวเหมือนกัน แถมยังคิดว่าจะลาออกแล้วด้วย แต่ฉันยังยืนกรานเพราะเชื่อในเหตุผลที่ว่าการศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญมาก!”

เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เธอมีความคิดเห็นที่ดีมากเลยนะ”

“แหงอยู่แล้ว การแต่งงานเป็นเรื่องของทั้งชีวิตเลยนะ” เฮ่อซงจือพูดถึงเรื่องสองพี่น้องต่อ “ชุนเยี่ยนเป็นคนทำงานเก่งมาก สองพี่น้องคู่นี้รักกันมากด้วย ดูเหมือนว่าชุนเยี่ยนจะแกร่งกว่าไห่เยี่ยนนิดหน่อย ฉันคิดว่าหล่อนคงยืนกรานที่จะสร้างบ้านหลังนี้ให้ได้แน่ ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าทางบ้านของเหล่าฉวี่จะเห็นด้วยหรือเปล่า”

เย่ฉูฉู่นึกถึงการแสดงออกของทางบ้านเหล่าฉวี่ ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าฉงน

ทั้งฝ่ายชายหญิงตอบตกลงแล้ว อายุก็ถึงเวลาที่จะแต่งงานแล้ว หลังจากนี้ก็มีเหตุผลเพื่อเริ่มพูดถึงการแต่งงาน

ในชนบทแตกต่างจากในเมือง ตรงที่คนในเมืองจะทำความรู้จักกันมาช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากคุย ๆ กันเสร็จแล้วถึงจะพูดถึงเรื่องแต่งงาน แต่ในชนบทจะข้ามขั้นตอนนี้ และเข้าถึงประเด็นหลักเลย แต่ประเด็นหลักนี้ก็ต้องก้าวผ่านไปให้ได้ ถึงอย่างไรก็พิถีพิถันในเรื่องผู้ให้คำแนะนำในการแต่งงาน ทำให้เห็นว่าการแต่งงานเป็นเรื่องจริงจัง ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ

แรกเริ่มจะทำความคุ้นเคยก่อน เป็นการแลกเปลี่ยนของที่เป็นหลักฐานยืนยันของทั้งสองฝ่าย ของที่ใช้เป็นหลักฐานยืนยันนี้ต้องเป็นของที่มีราคาด้วย หลังจากนี้ก็จะเป็นการหมั้นหมาย ส่วนนี้จะพูดถึงสินสอดทองหมั้นเป็นหลัก หลังจากคืบหน้าไปอย่างราบรื่นแล้วก็รออีกหนึ่งปีหรือครึ่งปี ค่อยคุยเรื่องการแต่งงาน

แม่สื่อของฝ่ายหญิงคือเฮ่อซงจือ ส่วนแม่สื่อของฝ่ายชายนั้นเฮ่อซงจือให้เย่ฉูฉู่ช่วยเป็นให้ เย่ฉูฉู่บอกว่าเธอจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น เพราะยังต้องเลี้ยงลูก ออกจากบ้านไม่สะดวก หากมีเรื่องอะไรก็คงสื่อสารได้ไม่ทันเวลา

อีกอย่างเธอก็รู้สึกว่าเรื่องการแต่งงานนี้อาจทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งได้ นอกจากนี้ยังมีอันตรายที่ซ่อนอยู่ทางฝั่งพี่สะใภ้สี่จ้าวด้วย เฮ่อซงจือจึงทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ให้ยายเฒ่าฉวี่ช่วยหามาให้ ยายเฒ่าฉวี่จึงไปเรียกคุณแม่จ้าว

พวกนางทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ยายเฒ่าฉวี่เชื่อใจคุณแม่จ้าว คุณแม่จ้าวก็รู้สึกเกรงใจที่จะปฏิเสธจึงตอบรับไว้

“คุณแม่ คุณแม่ต้องเตรียมใจไว้ด้วยนะคะ” เย่ฉูฉู่กล่าวกับคุณแม่จ้าว

คุณแม่จ้าวยิ้ม “คนหนุ่มสาวแบบพวกเธอหน้าบาง กลัวว่าจะมีปัญหา แต่พวกเราอายุมากขนาดนี้แล้ว ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหละ ประสบความสำเร็จก็คือประสบความสำเร็จ แต่ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็แยกย้าย ถึงยังไงเราก็ไม่ได้เป็นแม่สื่อให้เขาโดยเฉพาะอยู่แล้ว”

เย่ฉูฉู่เห็นคุณแม่จ้าวคิดในแง่ดีจึงไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นอีก

เธอเดาถูก การแต่งงานนี้แรกเริ่มเป็นไปได้ด้วยดี แต่ภายหลังกลับไม่ราบรื่นแล้ว หลังจากทำการแลกเปลี่ยนของ ตอนที่เริ่มคุยเรื่องสินสอดทองหมั้น งานแต่งก็เกือบจะล่ม

“…บ้านสามห้องหนึ่งเตียงเตา เตียงต้องใหม่เอี่ยมไร้ฝุ่น! นี่คือเงื่อนไขของฝ่ายหญิง” คุณแม่จ้าวคุยกับเย่ฉูฉู่ “ยังไม่ทันได้แต่งงาน ก็คิดจะแยกบ้านแล้ว มีแบบนี้ที่ไหนกัน? ยัยนั่นก็ไม่คิดเลยนะว่าตัวเองจะใช้ชีวิตได้หรือเปล่า? ถ้ามีลูกขึ้นมาล่ะ? ใครจะดูแล ยังไม่ทันได้ย้ายมาอยู่ก็รังเกียจพ่อแม่สามีแล้ว!”

เย่ฉูฉู่เข้าใจได้ อย่ามองว่าคนแก่พูดว่าลูกชายแต่งงานจะให้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก แต่แท้จริงแล้วภายในใจของพวกเขาก็ไม่มีความสุขเช่นกัน

แต่เมื่อเฮ่อซงจือมาหา ก็กลายเป็นว่าคำพูดได้เปลี่ยนเป็นอีกแบบหนึ่ง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คู่นี้จะแต่งงานกันรอดไหมเนี่ย อุตส่าห์ผ่านขั้นนัดดูตัวมาได้แล้ว การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนแค่สองคนจริง ๆ ค่ะ

ไหหม่า(海馬)