ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 162 เผาไหม้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

กระบี่แสงชั่วพริบตาเป็นวิชากระบี่ชุดหนึ่ง และก็เป็นกระบี่ด้ามหนึ่ง เป็นกระบี่ของสำนักเทียนเต้า หากจะกล่าวให้ถูกต้อง เป็นกระบี่ที่รองเจ้าสำนักจวงพกติดกายมาตลอด กระบี่ด้ามนี้มิได้เข้าไปอยู่ในร้อยอันดับศาสตรา แต่พลังก็ใกล้เคียงกับศาสตราวุธที่อยู่ลำดับหลังๆ ถ้าหากกระบี่แสงชั่วพริบตาออกสามกระบวนท่าติด เกรงว่าไม่ว่าจะชำระล้างกระดูกสมบูรณ์เพียงใด ศีรษะก็คงจะตัดขาดจากร่างกาย อย่างน้อยก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ เฉินฉางเซิงกลับใช้มือพยุงกำแพงหินขึ้นมา

เพียงแค่ว่าสุดท้ายแล้วก็ได้รับบาดเจ็บไม่เบา หยดโลหิตไหลออกมาจากรอยแผลทั้งสามตรงหน้าอกเขา มองแล้วน่าหวาดกลัวยิ่งนัก

“อยู่ในระดับนี้หรือ”

ใบหน้าจวงห้วนอวี่ไร้ความรู้สึกจ้องมองเขา หลังจากชะงักไปชั่วครู่ น้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยต่อ “อยู่เพียงแค่ระดับนี้ แล้วจะมีคุณสมบัติอะไรเป็นอาจารย์ของฝ่าบาทได้เล่า”

คำว่าฝ่าบาทของเขา แน่นอนว่ามิใช่องค์หญิงผิงกั๋ว และมิใช่เฉินหลิวอ๋อง แต่เป็นองค์หญิงลั่วลั่ว

“ถ้าหากเจ้าเรียนรู้ย่างก้าวหยั่งเทวาได้ทั้งหมดจริง ก็อาจเพียงพอให้ข้าเกรงกลัว แต่ย่างก้าวหยั่งเทวาของเจ้าสุดท้ายแล้วก็เป็นของปลอม หรืออาจจะเป็นสิ่งเลียนแบบ มองผิวเผินคล้ายกับว่าถูกต้อง แล้วจะมาใช้ในการต่อสู้ได้อย่างไร ก็เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้นเอง เพียงแค่หลับตาลง ท่าร่างของเจ้าก็ไม่อาจลวงหลอกโลกใบนี้ได้แล้ว”

จวงห้วนอวี่จ้องมองเขาพลางเอ่ยต่อ “ก็เหมือนกับวิชาที่เจ้าสอนองค์หญิงขับพลังปราณแท้ คล้ายกับว่าประณีตล้ำเลิศ ในความเป็นจริงแล้วเป็นทางผิดที่ไม่อาจเดินเข้าสู่ห้องได้ โอ้อวดว่าเป็นคนฉลาด ถ้าหากเจ้าปรารถนาให้องค์หญิงมีอนาคตที่งดงามจริงๆ เจ้าก็ควรจะให้องค์หญิงอยู่สำนักเทียนเต้าต่อ แล้วศึกษาวิชาต้นตำรับธาราลี้ลับเพื่อแก้ไขปัญหานี้”

ถูกต้องแล้ว นี่ก็เป็นต้นเหตุที่เขาเคียดแค้นเฉินฉางเซิง นี่ก็เป็นว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่พอใจเฉินฉางเซิง เขาคาดหวังให้เฉินฉางเซิงยิ่งแข็งแกร่งกว่านี้อีกหน่อย เพื่อพิสูจน์ต่อตนและโลกใบนี้ว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นอาจารย์ขององค์หญิง แต่มิใช่เป็นดังตอนนี้ ถูกโจมตีอย่างง่ายดาย เดิมทีก็เป็นการลวงหลอกผู้คนบนโลกใบนี้

“นั่นเป็นเรื่องของสำนักฝึกหลวง ขอบใจความคิดเห็นของท่าน แต่ว่าข้าไม่อาจรับไว้ได้”

เฉินฉางเซิงยกแขนขวาขึ้นมา ใช้แขนเสื้อเช็ดโลหิตที่เกาะตามลำคอ มองจวงห้วนอวี่แล้วกล่าวออกไป

คิ้วยาวได้รูปของจวงห้วนอวี่ขมวดขึ้นเล็กน้อย จ้องมองเขาตะเบ็งเสียงไม่ยินดีออกไป “หรือว่าเจ้ายังยืนกรานในความผิดพลาดจนโงหัวไม่ขึ้นนี่อีกรึ ความจริงได้พิสูจน์แล้ว ถึงแม้เจ้าจะชำระล้างกระดูกได้สมบูรณ์แบบเพียงใด พลังป้องกันจะแข็งแกร่งเพียงใด สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงได้ เพราะว่าจำนวนพลังปราณแท้ของเจ้าเบาบางเกินไป ระดับขั้นก็ย่ำแย่”

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ก้มศีรษะมองด้ามกระบี่ที่ตนจับแน่นขนัดไว้

จวงห้วนอวี่เห็นเขามิได้โต้ตอบ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงเพิ่มความโกรธเคือง เอ่ยเสียงเยือกเย็นออกมา “การฝึกบำเพ็ญเพียรเป็นวิชาความรู้ที่ยิ่งใหญ่ การต่อสู้สุดท้ายแล้วยังต้องอาศัยพลังปราณแท้ ตั้งแต่อดีตมาแล้ว จะต้องชำระล้างกระดูกก่อน จากนั้นถึงเป็นขั้นถอดจิต ขั้นทะลวงอเวจี ทุกขั้นต่างก็มีเหตุผล ชำระล้างกระดูกเป็นขั้นก่อนขั้นถอดจิต กลับมิใช่ขั้นตอนในการต่อสู้ พลังปราณแท้ของเจ้าเบาบางเช่นนี้ อยู่เพียงแค่ระดับปฐมภูมิของขั้นถอดจิต กลับอยากจะอาศัยพลังปราณแท้เอาชนะคู่ต่อสู้ เหตุใดถึงบ้าคลั่งไร้ความรู้เช่นนี้ ข้าเอ่ยว่าเจ้าเดินทางผิดนั่นจะผิดอีกรึ หากเจ้าเดินคนเดียวนั้นก็มิเป็นไร ทว่าเจ้ายังพาองค์หญิงเดินไปเส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับอีกหรือ”

ในหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ มีเพียงเสียงเยือกเย็นกล้าหาญของหนุ่มน้อยสำนักเทียนเต้าผู้นี้กำลังสะท้อนออกมา ร่วงหล่นบนพื้นทราย

“ระดับวิทยายุทธ์ต่ำเกิน ไร้หนทางจะทำสิ่งใด คาดไม่ถึง เฉินฉางเซิงจะเดินไปได้เพียงเท่านี้”

ในห้องบนชั้นอันสองเงียบสนิท เสียงของเจ้าสำนักเด็ดดาราดังขึ้นมา รู้สึกปลง รู้สึกเสียใจ และก็ปล่อยวาง

ในห้องนี้กว้างขวางยิ่งนัก ผู้คนต่างนั่งอยู่บนเก้าอี้ของตนเอง เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ได้ยินเสียงของจวงห้วนอวี่เล็ดลอดมาทางหน้าต่าง ต่างพากันตัดสินการต่อสู้ครานี้ไปในทิศทางเดียวกันแล้ว

ในการต่อสู้รอบก่อนหน้านี้ เฉินฉางเซิงสามารถเอาชนะหนุ่มน้อยที่อยู่อันดับสิบกว่าจากเมืองซวงเฉิงได้ นั่นเป็นเพราะเขาใช้ความเร็วของท่าร่าง อีกทั้งจู่ๆ ก็ใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา ทำให้หนุ่มน้อยเมืองซวงเฉิงลงมือไม่ทัน สุดท้ายแล้วจึงพ่ายแพ้เมื่อเขาใช้พลังในระยะประชิด

แต่คู่ต่อสู้ในสนามนี้คือจวงห้วนอวี่

จวงห้วนอวี่เป็นนักเรียนที่โดดเด่นที่สุดของสำนักเทียนเต้า ฝึกบำเพ็ญเพียรวิชาต้นตำรับธาราลี้ลับ ทุกก้าวในการฝึกบำเพ็ญเพียรเอาจริงเอาจังมั่นคง ไม่เคยบุ่มบ่าม อีกทั้งยังมีเจ้าสำนักคอยชี้แนะ มีประสบการณ์เต็มเปี่ยม เมื่อลงมือก็อาศัยพลังปราณแท้รวมทั้งกระบวนท่าที่ได้เปรียบ บดขยี้เฉินฉางเซิงโดยตรง เดิมทีมิได้เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ได้ประชิดตัว และเป็นธรรมดาจะไม่เกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง

“ลูกศิษย์ของเจ้าสำนักเหมาชิวอวี่ แท้จริงแล้วไม่ธรรมดา” เจ้าสำนักหอจงซื่อเอ่ยชื่นชมออกมา

บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในห้องนั้นได้มองการต่อสู้มาเป็นเวลานานแล้ว เห็นเจ๋อซิ่วกับโก่วหานสือลงมือ รู้ดีว่าจวงห้วนอวี่มิใช่คนที่มีวิทยายุทธ์แข็งแกร่งที่สุด แต่ว่าเขากลับเป็นคนที่แน่วแน่ที่สุด หรืออาจจะกล่าวว่า เขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่ยากจะโจมตีอย่างมุทะลุคลุ้มคลั่งเหมือนดั่งโก่วหานสือ คู่ต่อสู้ที่ฝึกบำเพ็ญเพียรอ่อนด้อยกว่าเขา ก็ไร้หนทางเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเห็นการต่อสู้สนามนี้ ผู้คนถึงขนาดว่ารู้สึกได้รางๆ จวนห้วนอวี่มีระดับวิทยายุทธ์เลิศล้ำมากกว่าที่เล่าขานกันไว้เสียอีก ถึงแม้ว่าจะต่อสู้กับองค์หญิงลั่วลั่วและเจ๋อซิ่ว เกรงว่าไม่อาจตัดสินได้ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายแพ้ชนะ คู่ต่อสู้ของเขาสนามนี้เป็นเฉินฉางเซิง แล้วจะนับเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร

ใช่แล้ว บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่เหลืออยู่ในห้องมองการต่อสู้รวมไปถึงพวกนักบวชพระราชวัง ต่างได้ตัดสินแล้วว่าเฉินฉางเซิงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

เมื่อผ่านไปหลายสนาม ผู้คนต่างยืนยันได้ว่า ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้นักเรียนสำนักฝึกหลวงที่ไม่อาจฝึกบำเพ็ญเพียรได้ผู้นี้ ที่จริงชำระล้างกระดูกสำเร็จแล้ว แต่ว่ายังเป็นเพียงขั้นถอดจิตปฐมภูมิ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนพลังปราณแท้และระดับความบริสุทธิ์ หรือว่าจะเป็นด้านอื่น เทียบกับผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงในการสอบใหญ่ ก็นับว่ายังห่างไกลกันอีกมาก

เฉินฉางเซิงมาถึงตอนนี้ได้ เข้าไปสู่แปดผู้แข็งแกร่งของการสอบใหญ่ นอกจากโชคชะตา ทั้งหมดนั้นก็อาศัยพลังและความรวดเร็วที่ยากจะจินตนาการได้ของเขา ซ้ำยังมาถึงตอนนี้ โชคของเขาก็ไร้ความหมายแล้ว เพราะว่าคู่ต่อสู้ทั้งหมดต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ระดับความเร็วและพละกำลังจะไม่อาจคาดเดาได้เพียงใดก็หมดความหมาย เพราะว่าผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นใช้ระดับวิทยายุทธ์และจำนวนพลังปราณแท้บดขยี้เขาโดยตรง

“แท้จริงแล้วก็เป็นจำนวนพลังปราณแท้สำคัญที่สุดรึ” เฉินฉางเซิงมองมือที่กุมด้ามกระบี่แน่นเอ่ยถามออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจ

จวงห้วนอวี่มองเขาแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเวลานี้สิ่งที่เขาเอ่ยหมายความว่าอะไร

ใบหน้าของเฉินฉางเซิงไร้ความรู้สึกใดๆ คล้ายกับว่าเป็นคนพูดน้อย ไร้ผู้คนมองออก เวลานี้ในจิตใจของเขากำลังสับสน ลังเลที่จะตัดสินใจ สุดท้ายแล้วจะเสี่ยงภัยหรือไม่

พลังปราณแท้ของผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเพียรมาจากดวงดาวในท้องฟ้ายามค่ำคืน เมื่อดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูก พลังแปลกประหลาดที่ซุกซ่อนอยู่ในละอองดาวเหล่านั้น จะเข้าไปในร่างกายของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียร เพียงแค่รอเวลาถึงขั้นถอดจิต ถูกดวงจิตของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรสัมผัสหรือว่าจุดเปลวไฟ ก็กลายเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญที่เป็นคนควบคุมพลังปราณแท้

จำนวนพลังปราณแท้ของเฉินฉางเซิงแน่นอนว่าน้อยยิ่งนัก ซ้ำยังไม่บริสุทธิ์ เส้นลมปราณของเขาต่างก็ขาดจากกัน แล้วจะให้พลังปราณแท้ขับเคลื่อนได้อย่างไร แต่ว่าในร่างกายของเขายังซุกซ่อนละอองดาวไว้จำนวนมาก หรืออาจจะกล่าวว่า เขาสามารถทำให้ตนเองมีจำนวนพลังปราณแท้มากยิ่งขึ้นได้ เพียงแค่การกระทำเช่นนั้นอันตรายอย่างยิ่ง

ตอนที่อยู่ใต้บ่อน้ำรกร้างในสะพานอุดรใหม่ อยู่ด้านหน้าของมังกรดำ เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด สุดท้ายแล้วก็ข้ามผ่านด่านการชำระล้างกระดูกได้ แล้วสำเร็จขั้นถอดจิต เวลานี้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าปกติอย่างยิ่ง แต่เขายังยากที่จะตัดสินใจถอดจิตอีกครา เพราะว่าหากวันหนึ่งพ่ายแพ้ก็อาจจะเสียชีวิตได้

หมายเหตุขั้นถอดจิตในบันทึกการแพทย์ รวมทั้งที่ร่างกายของตนได้พบพานมา ต่างก็สามารถยืนยันสิ่งนี้ได้

เข้าไปเสี่ยงอันตรายกับเงามืดที่อยู่ด้านหลังความตายเป็นครั้งแรก เพียงแค่ต้องการความกล้าหาญ การเสี่ยงอันตรายครั้งที่สอง ก็ยิ่งต้องการความกล้าหาญทวีคูณเข้าไปอีก

พอดีว่าการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนนั้น นั่งถอดจิตด้วยความรวดเร็ว เขาอยู่ในพื้นข้างใต้ อยู่ต่อหน้ามังกรดำตัวนั้น เคยผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมาแล้วสองครั้ง สำหรับความตายที่เขาได้ครุ่นคิดมาเป็นเวลาหลายปีได้เข้าไปสู่การครุ่นคิดอย่างแท้จริงสองคราแล้ว เขาคิดเรื่องราวจำนวนมากทะลุปรุโปร่ง เผชิญหน้ากับความตาย เขายังคงไม่ยอมจำนน แต่ว่าไม่หวาดกลัวเหมือนเมื่อก่อน

ก็เหมือนเวลานี้ เผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งดังเช่นจวงห้วนอวี่ เขามิได้ยอมจำนน ยิ่งไม่เกรงกลัว

เขาแหงนหน้าขึ้นมา มองไปที่จวงห้วนอวี่ เอ่ยต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะลองดู”

ลองอะไร นอกจากเขา ในหอชำระธุลีไม่มีคนล่วงรู้ คาดเดาก็คงไม่ออก

เฉินฉางเซิงปิดตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นนำทั้งหมดระบายออกมา

คล้ายกับว่ามีฟองอากาศไหลรินออกมาจากข้างใต้น้ำพุ

ระหว่างที่สูดลมหายใจ ในปอดของเขาแทบจะไม่มีอากาศ เปลี่ยนเป็นว่างเปล่าฉับพลัน ว่างเปล่าแม้กระทั่งอากาศก็ไม่มี

ห้วงมหาสมุทรดวงจิตของเขาตื่นขึ้นมา บนผิวมหาสมุทรมีคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อย

ดวงจิตที่แน่วแน่อย่างยิ่ง ออกมาจากห้วงแห่งจิตของเขา ล่องลอยไปข้างบน ไม่รู้ว่าขึ้นไปอยู่แห่งหนไหนของท้องฟ้าสีคราม คล้ายกับว่าต้องการออกห่างจากฟ้าดินผืนนั้น

เพียงแค่ชั่วพริบตา ดวงจิตดวงนั้นก็ร่วงจากท้องฟ้าหล่นลงยังพื้นดิน หดตัวไปมา ออกข้างนอกข้างใน จากนั้นเข้าไปในร่างกายของเขา มายังโลกใบเล็ก

ดวงจิตของเขากลายเป็นสายลมเย็นสบาย ล่องลอยตามสบายในโลกใบนั้น

สายลมเย็นก็คือเขา เขาก็คือสายลมเย็น

เขามองเห็นแนวเทือกเขาที่ขาดจากกันเก้าสาย เห็นป่ารกร้างไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นน้ำทะเลสาบที่อยู่กลางท้องฟ้า

สุดท้าย เขาเห็นทุ่งหิมะผืนนั้นแล้ว

ทุ่งหิมะถูกรอยแตกลึกแบ่งออกเป็นหลายสิบผืน

ทุ่งหิมะหนายิ่งกว่าหลายวันก่อนที่นั่งถอดจิตสำรวจตนไปมาก ถึงแม้เวลานี้ก็ยังมีละอองหิมะร่วงหล่นติดต่อกัน

หลายวันมานี้เขายังคงดึงแสงดวงดาวมาในร่างกายอย่างต่อเนื่อง

ละอองหิมะเหล่านั้นก็คือละอองดวงดาวที่บริสุทธิ์ เพียงแค่ถูกดวงจิตจุดเปลวเพลิง ก็เปลี่ยนเป็นน้ำใสสะอาดที่ชโลมความชุ่มชื่นของโลก น้ำใสสะอาดเหล่านั้นก็คือพลังปราณแท้

ตามประโยคของจวงห้วนอวี่ ตามคำพูดของคนอื่น ตามหลายประโยคนับไม่ถ้วนในคัมภีร์เต๋า สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรแล้วนั้น พลังปราณแท้สำคัญที่สุด

เฉินฉางเซิงลังเลเล็กน้อย

ตอนนี้เขาก็มิได้เกรงกลัวความตายเท่าไหร่นัก แต่ว่าเขาไม่อยากจะได้รับความทุกข์ทรมานนั้น เพราะว่าความทุกข์ทรมานอาจจะทำให้เขาสลบไสลไป หากวันหนึ่งเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น การต่อสู้ก็จะต้องพ่ายแพ้เป็นแน่

แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องที่ต้องทำ

เพียงแค่ลังเล ทว่าสายลมเย็นสายนั้นมิได้หยุดนิ่ง ล่องลอยไปตกอยู่ทุ่งหิมะผืนหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

คล้ายกับว่าไฟป่าร่วงหล่นลงกลางเทือกเขาที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งเหี่ยว

เสียงพรึ่บดังขึ้น ทุ่งหิมะผืนนั้นก็เผาไหม้รุนแรงขึ้นมา

……

ในห้องชั้นสองเงียบเชียบ บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ต่างนิ่งเงียบมิได้เอ่ยสิ่งใดนั่งอยู่บนเก้าอี้ของตน รอคอยให้เฉินฉางเซิงยอมแพ้ รอคอยการสิ้นสุดการต่อสู้สนามนี้ รอคอยให้การสอบใหญ่วันนี้เขียนผลลัพธ์สุดท้ายออกมา การพยายามหรือว่าการทดลองของฝ่ายอำนาจใหม่นิกายหลวงถูกโจมตีอย่างสาหัสไม่น้อย

อย่างไรก็ตามเวลานี้เอง ด้านในของหอชำระธุลีจู่ๆ ก็มีพลังปราณสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา

พลังปราณเส้นนั้นบ้าระห่ำ เผาไหม้คุโชน ดุจมีคนสุมไฟอยู่บนในหอ อีกทั้งเปลวเพลิงก็รุนแรงยิ่ง

ท่าทางม่ออวี่สะท้านเล็กน้อย ยืดกายลุกขึ้น ชุดพระราชวังสะบัดเป็นเงาอยู่ในความมืด ชั่วพริบตาก็มาถึงยังหน้าต่าง

สายตาของนางทะลุผ่านกระดาษหน้าต่าง ร่วงไปยังข้างล่าง ใบหน้าไร้ความรู้สึกใด ดวงตากลับฉายแววออกมา

ในบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งมีวิทยายุทธ์ลึกล้ำ ต่างสัมผัสได้ว่าพลังปราณนั้นหมายถึงสิ่งใด เดิมทีมิได้มีผู้ใดสนใจม่ออวี่ที่ใช้พลังวิทยายุทธ์ออกมาก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างทยอยมาด้านหน้าหน้าต่าง มองลงไปข้างล่างไปตามๆ กัน ท่าทางพวกเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน จากนั้นมิได้เอ่ยสิ่งใด

ด้านหน้ากำแพงหินข้างล่าง เฉินฉางเซิงหลับตายืนอยู่บนพื้นทราย รอบๆ เท้าเปล่าทั้งคู่ เป็นเม็ดทรายเปียกชุ่มไปด้วยโลหิตของเขา

พลังปราณที่บ้าคลั่งคุโชนสายนั้นก็มาจากร่างกายของเขา

ผู้คนรับรู้ได้ชัดเจน ระดับขั้นของเขากำลังเพิ่มขึ้น พลังปราณแท้ในร่างกายกำลังเพิ่มทวีขึ้น พลังปราณกำลังเปลี่ยนเป็นยิ่งแข็งแกร่ง

ในการรับรู้ของดวงจิต เขายิ่งนานยิ่งเปลี่ยนเป็นสุกสกาว

ราวกับว่าเป็นกองไฟจริงๆ

“เป็นไปได้อย่างไร”

“เป็นไปได้อย่างไร!”

ผู้คนยืนอยู่ข้างหน้าต่าง จ้องมองภาพฉากนี้ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกพิสดาร ตกตะลึงแปลกใจ

เฉินฉางเซิงเวลานี้เริ่มนั่งถอดจิตสำรวจตน กำลังนำละอองดาวเปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้!

ปัญหาอยู่ที่ นอกจากเริ่มแรกแล้ว เมื่อการชำระล้างกระดูกแล้วเข้าสู่การถอดจิต ผู้บำเพ็ญเพียรก็จะนำพลังปราณแท้ที่สะสมจากการเผาไหม้ละอองดาวมาเปลี่ยนเป็นพลังปราณรุนแรงที่ทะลักออกมาภายนอก จากนั้นการดึงแสงดวงดาวมาเป็นพลังปราณก็เป็นเรื่องง่ายดาย แล้วจะมีการเคลื่อนไหวที่มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร

เฉินฉางเซิงเป็นครั้งแรกที่นั่งถอดจิตสำรวจตนรึ

เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากผ่านการต่อสู้มาหลายสนาม ผู้คนต่างรู้ดี เขาฝึกฝนจนสำเร็จการชำระล้างกระดูกจนถึงนั่งถอดจิตแล้ว มิเช่นนั้นร่างกายก็คงมิได้มีพลังปราณแท้ขับเคลื่อนอยู่เช่นนี้

เช่นนั้นแล้วภาพฉากนี้เกิดอะไรขึ้นเล่า

หรือว่าบนโลกใบนี้ยังสามารถนั่งถอดจิตปฐมภูมิเป็นครั้งที่สองได้รึ

ในหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบสนิท

ทุกคนต่างตกตะลึงไร้คำเอื้อนเอ่ย

ไม่ว่าด้านข้างหน้าต่างจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความรู้พบเจอสิ่งต่างๆ มามากมาย และยังมีนักบวชของพระราชวังหลีเหล่านั้น

จวงห้วนอวี่ตกตะลึงจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก

อุณหภูมิของหอเปลี่ยนเป็นสูงขึ้น

เฉินฉางเซิงกำลังหลับตา ทรายที่อยู่รอบๆ เท้าทั้งคู่ล่องลอยขึ้น โลหิตที่ได้ซึมเข้าไปอยู่ในเม็ดทรายเกาะกันเป็นก้อน ผ่านอุณหภูมิที่สูงทำให้แตกกระจายกันออกมา

โลหิตเหล่านั้น ต่างก็ถูกความร้อนจนกลายเป็นไอ

เม็ดทรายที่กำลังกระจัดกระจายเต้นระบำกลางอากาศ ใบหน้าของเฉินฉางเซิงยิ่งนานยิ่งแดงก่ำ สามารถรับรู้ได้ว่าร่างกายของเขายิ่งนานยิ่งเปลี่ยนเป็นร้อนผะผ่าว

มองภาพฉากนี้ ใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่งขมวดคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเงียบนิ่งลง

เขาไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินฉางเซิงจึงนั่งถอดจิตปฐมภูมิเป็นครั้งที่สองได้ แต่ว่าเขามองออก หนุ่มน้อยผู้นี้ไม่อาจควบคุมการเผาไหม้ของละอองดวงดาวในร่างกายตนได้

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาก็คงจะถูกเผาจนเสียชีวิตเป็นแน่ สติปัญญาก็คงจะถูกเผาไหม้จนเกิดปัญหา” เฉินหลิวอ๋องเอ่ยด้วยความกังวล

เพียงการชำระล้างกระดูกสำเร็จ ร่างกายของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียร เมื่อทนต่อการนั่งถอดจิตปฐมภูมิได้ ละอองดาวที่เปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้จะนำอุณหภูมิและพลังให้สูงขึ้น แต่ว่าการถอดจิตของเฉินฉางเซิงเวลานี้ชัดเจนว่าแปลกประหลาด จำนวนการเผาไหม้ของละอองดาวในร่างกายเขา คล้ายกับว่าจะมากไปเสียหน่อย อุณหภูมิในร่างกายก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

หอชำระธุลียิ่งนานยิ่งเปลี่ยนเป็นร้อนระอุ ด้านนอกหออยู่ๆ ก็มีเสียงจักจั่นดังขึ้น ประหนึ่งหน้าร้อนกำลังมาเยือน

……

ส่วนลึกด้านในของพระราชวังหลีมีตำหนักหลังหนึ่ง

มุมหนึ่งของตำหนักมีกระถางดินเผาสีเทาใบหนึ่ง

ในกระถางปลูกต้นไม้ มีกิ่งก้านสีเขียวหลายก้าน ทว่ากลับมีใบไม้เพียงใบเดียว

ขอบใบไม้แห้งเหี่ยวและโค้งงอเล็กน้อย

“แก่แล้วความจำไม่ดีไปมากจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะลืมรดน้ำ”

ใต้เท้าสังฆราชเดินมาด้านหน้ากระถางดินเผา มองใบไม้สีเขียวครามแล้วเอ่ยออกมา

จากนั้นเขาไปหยิบกระบวยไม้ ยื่นไปรดน้ำในกระถาง