ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 163 สายฝนใหม่ชะล้างฝุ่นละอองเก่า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

น้ำใสค่อยไหลลงจากกระบวย ร่วงหล่นลงยังกระถางดินเผา ใบไม้สีเขียวครามถูกน้ำรดลง จึงสั่นไหวต่อเนื่อง

หลังจากรดน้ำแล้ว ใต้เท้าสังฆราชก็โยนกระบวยไปในอ่างน้ำ มือไขว้อยู่ข้างหลังเดินไปออกนอกตำหนัก ราวกับว่าทำเรื่องปกติธรรมดา

ดินที่อยู่ในกระถางเปลี่ยนเป็นชุ่มชื่นขึ้น ใบไม้ที่แห้งเหี่ยวก่อนหน้าได้กลับมาเป็นดังเดิมอีกครา ขอบก็ไม่ม้วนงอ เส้นใบไม้ชัดเจนยิ่งขึ้น หยดน้ำประหนึ่งน้ำค้างกลิ้งบนผิวน้ำ

หลายวันก่อน ใต้เท้าสังฆราชกับใต้เท้ามุขนายกเคยสนทนาอยู่ที่นี่ด้วยกันมาแล้ว เมื่อนั้นใต้เท้ามุขนายกเอ่ยไว้ การเติบโตต้องการความชุ่มชื่นจากน้ำ บางครายิ่งต้องการแรงกดดัน ตอนนี้ ใบไม้สีเขียวใบนั้นได้แบกรับแรงกดดันไว้มากมาย หรืออาจจะกล่าวได้ว่ากำลังต้องการความชุ่มชื่นจากน้ำ

หอชำระธุลีอยู่ในโลกใบไม้คราม

ร่างกายของเฉินฉางเซิงร้อนผะผ่าวไร้สิ่งใดเปรียบ สีหน้าแดงก่ำ โลหิตที่อยู่บนเสื้อผ้าระเหยแห้งไปนานแล้ว

พลังปราณของเขายิ่งนานยิ่งแข็งแกร่ง เวลาเดียวกัน ความแห้งกร้านในหอยิ่งเพิ่มระดับขึ้น

ม่ออวี่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง จ้องมองหนุ่มน้อยที่กำลังอดทนกับความทุกข์ทรมาน ท่าทางนางยังคงเมินเฉยเหมือนเก่า แต่มือที่อยู่ในแขนเสื้อกลับกุมกันแน่น

“ทำให้เขาหยุดได้หรือไม่” เฉินหลิวอ๋องชำเลืองมองนาง จากนั้นเอ่ยถาม

ม่ออวี่เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด เวลานี้เฉินฉางเซิงกำลังอยู่ในเวลาสำคัญของขั้นถอดจิตปฐมภูมิ ไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาหลับตา แล้วไม่รู้เรื่องราวภายนอก ถึงแม้เขาสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ เขาก็ไม่อาจหยุดการเผาไหม้ของละอองดาวในร่างกายได้ ถ้าหากเขาทำได้ แล้วจะเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ทำไมเล่า

คนที่จะหยุดยั้งสถานการณ์นี้ได้ ช่วยนำเขาออกมาจากขอบเหวแห่งความตายก็มีเพียงแค่พลังจากโลกด้านนอก ซ้ำยังจะต้องแข็งแกร่งอย่างยิ่ง จนถึงขนาดที่ว่าเป็นพลังในตำนาน

จิงตู มีเพียงสองคนที่มีพลังชนิดนี้ ใต้เท้าสังฆราชและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

ปัญหาอยู่ที่ เฉินฉางเซิงกับสำนักฝึกหลวงภักดีต่อผู้อาวุโสนิกายหลวงเชื้อพระวงศ์เฉินและเป็นสัญลักษณ์ที่อำนาจเก่าใช้ผลักดันเพื่อมาโจมตีตอนนี้ แล้วจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราชจะลงมือช่วยได้อย่างไร

อุณหภูมิในหอชำระธุลียิ่งนานยิ่งเปลี่ยนเป็นสูงขึ้น เสียงจักจั่นด้านนอกหอยิ่งดังกังวาน นี่เป็นปฏิกิริยาที่โลกใบไม้ครามตอบโต้ออกมา

สุดท้ายแล้วเฉินฉางเซิงก็ประเมินระดับความอันตรายการเผาไหม้ของละออกดาวต่ำไป เพราะว่าร่างกายของเขาแตกต่างจากคนอื่น ตั้งแต่หนังสือสวรรค์ร่วงหล่นมายังโลก ทั่วทั้งต้าลู่ก็มิเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เกรงว่าในคัมภีร์มหามรรคก็ไม่มีการบันทึกเรื่องราวทำนองนี้ เขาอาจจะต้องเสียชีวิตเช่นนี้จริงๆ หรืออาจจะถูกเพลิงแผดเผาจนกลายเป็นคนโง่เขลา

ผู้ใดจะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้เล่า ผู้ใดสามารถดับไฟที่ไร้รูปร่างในร่างกายเขาได้ ให้อุณหภูมิของโลกใบไม้ครามลดลง

ในเวลานี้เอง บนท้องฟ้าสีครามอยู่ๆ ก็มีฝนตกลงมาเม็ดหนึ่ง

จากนั้น ก็เป็นพันเม็ด หมื่นเม็ด แล้วก็ฝนเทลงมากระหน่ำ

แปะ แปะ แปะ ซ่า!

ฝนห่าใหญ่ที่มีพลังมหาศาล ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า ตกลงมาจากชายหลังคาสีดำของหอชำระธุลี ร่วงลงสู่พื้นทราย และร่วงบนตัวของเฉินฉางเซิง

นอกจากเสียงฝนแล้วก็ไม่มีเสียงใดทั้งสิ้น

ผู้คนแหงนหน้ามองท้องฟ้า มองสายฝน ตกตะลึงไร้คำเอื้อนเอ่ย เต็มไปด้วยความเคารพ

ในสายตาของม่ออวี่ จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกหวาดผวาและผิดหวัง

ไม่มีก้อนเมฆ กลับมีฝนตกลงมา

แน่นอนว่านี่มาจากโลกภายนอก

……

ใต้เท้ามุขนายกศักดิ์สิทธิ์มองสายฝนที่ตกมาจากท้องฟ้า สีใบหน้าไม่หยุดที่จะเปลี่ยนแปร

เป็นหนึ่งในผู้นำทั้งหกของนิกายหลวง แน่นอนว่าย่อมรู้ว่าสายฝนมาจากที่ใด

แต่ว่าเป็นคนใกล้ชิดของใต้เท้าสังฆราช เขาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เพราะเหตุใดถึงมีสายฝนนี้

เป็นกลุ่มคนผู้ศักดิ์สิทธิ์เพราะเหตุใดจะต้องลงมือช่วยหนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวงผู้นี้ด้วยเล่า

……

น้ำฝนสามารถชะล้างฝุ่นละอองบนโลกใบนี้ และก็ทำให้อุณหภูมิลดลง

น้ำฝนร่วงหล่นบนร่างกายของเฉินฉางเซิง สัมผัสกับผิวหนังที่ร้อนระอุของเขา เพียงชั่วพริบตาก็ระเหยเป็นไอขึ้นไป เวลาเดียวกัน อุณหภูมิของเขาก็ลดลงฉับพลัน

อุณหภูมิในหอชำระธุลีก็กำลังลดลงฮวบ ก่อนหน้านี้เป็นดั่งฤดูร้อนที่อบอ้าว หลังจากฝนตกลง พลันมาถึงปลายฤดูใบไม้ผลิ กลิ่นอายของฤดูหนาวค่อยๆ มาเยือน

จู่ๆ จวงห้วนอวี่ก็รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา

เวลาก่อนหน้านี้ เขาได้ยินเสียงเฮ้อดังมาจากชั้นสอง

เขาไม่รู้ว่าผู้ใดอุทานว่าเฮ้อ แต่เขารู้ดีว่า คนผู้นั้นกำลังเตือนตน จะต้องช่วงชิงลงมือก่อนสายฝนฤดูใบไม้ร่วงจะสิ้นสุดลง

ถึงแม้ไม่แน่ใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบนร่างกายของเฉินฉางเซิง แต่ว่าจะไม่ปล่อยให้สิ่งที่เหนือความคาดหมายมีโอกาสเกิดขึ้น

แต่เขามิได้ขยับ

เพราะว่าสายฝนมีพลังมหาศาลเหลือเกิน ซัดพื้นทรายทำให้เกิดเป็นร่องขึ้น ทำให้เขาก่อเกิดความเคารพยำเกรงในจิตใจ ไม่กล้าข้ามผ่านไป

ถึงอย่างไร นั่นก็ไม่เป็นไร

เพราะว่าเขาเป็นความภูมิใจของสำนักเทียนเต้า เขาจึงทระนงอย่างยิ่ง

เดิมทีเขาก็อยากจะพิสูจน์ให้ทั่วทั้งต้าลู่และลั่วลั่วเห็น เฉินฉางเซิงสู้ตนไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเมื่อเอาชนะเฉินฉางเซิงตอนที่เขาแข็งแกร่งที่สุด ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเช่นกัน

สายฝนฤดูใบไม้ร่วงก่อเกิดความเย็นสบาย

ในหอค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นมา

สายฝนเทกระหน่ำห่าใหญ่เปลี่ยนเป็นเบาบาง เปลี่ยนเป็นตกเปาะแปะ

เฉินฉางเซิงลืมตาขึ้น

ดวงตาของเขาสุกสกาวดุจเม็ดฝน มองเห็นได้ทะลุปรุโปร่งว่าโลกใบนี้ได้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้

ทรายที่ล่องลอยอยู่รอบตัวตกลงมา พลังปราณแท้ที่แตกซ่านออกไปตอนนี้ได้กลับเข้ามาในร่างกาย

ถอดจิตปฐมภูมิอีกครา ครั้นเป็นการข้ามผ่านขั้นที่สำเร็จลุล่วง ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงที่ล้ำเลิศที่สุด

เขาชูกระบี่สั้นในมือ

พลังกระบี่ประหนึ่งสายฝนฤดูใบไม้ร่วงปกคลุมทั่วทั้งหอชำระธุลี แล้วมายังด้านหน้าจวงห้วนอวี่ฉับพลัน

กระบวนท่าแรกกระบี่ลมฝนจงซาน ยกบุษราคราม!

……

สีหน้าของจวงห้วนอวี่เปลี่ยนเป็นขาวซีด

เขาคิดไม่ถึง เพียงแค่เวลาผ่านไปสั้นๆ ประหนึ่งฝนห่าใหญ่ที่เทกระหน่ำตกลงมาแล้ว เฉินฉางเซิงปิดตาลง แล้วก็ลืมตาขึ้น เขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!

พลังกระบี่ที่ประหนึ่งสายฝนฤดูใบไม้ร่วง เตรียมพร้อมจนถึงขีดสุด พลังปราณแท้ที่ซุกซ่อนไว้ทั้งหมดแข็งแกร่งสูงสุด

จิตใจของเขาสั่นสะท้าน ไม่ได้ทำการตอบโต้ออกไปก็คงจะเสียเปรียบแน่นอน

พลังกระบี่ที่จะออกหรือไม่ออก ประหนึ่งสายฝนที่จะตกหรือไม่ตก หากจากกลางคิ้วเขาเพียงแค่หนึ่งนิ้ว

เสียงเปาะแปะ น้ำฝนค่อยๆ ร่วงหล่นลงหลังคา หยดลงบนพื้น

พื้นทรายถูกสายฝนชะล้างไป ทำให้ปรากฏเป็นพื้นหินขึ้นมา

น้ำฝนกระทบลงบนพื้นหิน ผสานเป็นเสียงเดียว ทำให้บรรยากาศของทั้งสนามตื่นเต้นผิดแปลกไป

เฉินฉางเซิงมิได้ออกไปต่อ

นี่เป็นกระบี่แรกที่หลังจากผ่านขั้นสำเร็จ พลังกระบี่อยู่ในสถานะที่ล้ำเลิศ เป็นเวลาเดียวกับที่จวงห้วนอวี่ใจลอย เขาจะต้องถูกจู่โจมจนพ่ายแพ้เป็นแน่

ทว่าเขามิได้ทำ

เขารอให้จวงห้วนอวี่ได้สติขึ้นมา

เพราะว่าเมื่อเขาหลับตาถอดจิตก่อนหน้านี้ จวงห้วนอวี่ให้เวลาเขา

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่องทรายที่ถูกสายฝนซัด ทำให้จวงห้วนอวี่ไม่กล้าเดินหน้าต่อ หรือว่าเป็นเพราะความทระนง สรุปแล้ว เขาก็ให้โอกาสเฉินฉางเซิง

ดังนั้น ตอนนี้เฉินฉางเซิงจึงนำโอกาสคืนให้แก่เขา

ในหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ

“การต่อสู้ของหนุ่มน้อย คิดไม่ถึงว่าจะไม่เหมือนกัน”

ในชั้นสองมีคนเอ่ยอย่างจนปัญญาออกมา

ถ้าหากเป็นผู้ใหญ่ อยู่ในการแข่งขันการสอบใหญ่ที่สำคัญเช่นนี้ ก็คงจะไม่ให้โอกาสใดๆ แก่คู่ต่อสู้เป็นแน่

มีเพียงแค่คนหนุ่มสาว ถึงจะทำเช่นนี้

อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขามีประสบการณ์ไม่มาก บนร่างกายมีฝุ่นละอองเกาะไม่มาก หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาถูกสายฝนฤดูใบไม้ร่วงชะล้างฝุ่นละอองออกไป โดยรวมแล้ว เมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ พวกเขายังคงเชื่อเรื่องความยุติธรรม อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นความเยาว์วัยมาแต่กำเนิด แต่นี่ก็หมายความว่าเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความเชื่อมั่น

“ตอนนี้ เจ้าสู้ข้าไม่ได้แล้ว”

เฉินฉางเซิงมองจวงห้วนอวี่พลางเอ่ยว่า “ยอมแพ้เถิด”