ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 164 พลิกขุนเขา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เวลานี้เสื้อผ้าของเฉินฉางเซิงขาดหลุดลุ่ย หน้าอกมีบาดแผล เห็นว่าน่าเวทนาเพียงใดก็น่ารุนแรงเพียงนั้น ถ้าหากถังซานสือลิ่วเห็น จะต้องหัวเราะเยาะที่เขาถูกโจมตีจนประหนึ่งลูกสุนัขเป็นแน่ อย่างไรก็ตามในเมื่ออยู่ในสถานการณ์นี้ คาดไม่ถึงเขาอยากให้จวงห้วนอวี่ยอมแพ้

มองท่าทางของเขา มิได้พูดเล่น

ท่าทางของเขาจริงจังอย่างยิ่ง น้ำเสียงนอบน้อมจริงใจ ด้วยเหตุนี้จวงห้วนอวี่จึงโมโหยิ่ง รู้สึกว่านี่เป็นการเหยียดหยามและทำให้เสียเกียรติ

เฉินฉางเซิงไม่ได้ยั่วเย้าความตั้งใจของเขา เป็นเพียงแค่ตัดสินอย่างสงบ

ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุของสายฝนฤดูใบไม้ร่วงหรือว่าระดับความแข็งแรงของร่างกายที่เพิ่มขึ้น ในเมื่อการแผดเผาดาวละอองไม่ได้เผาเขาเสียชีวิต เช่นนั้นแล้วนี่ก็หมายความว่าทุ่งหิมะแห่งนั้นก็สามารถมอบพลังปราณแท้ได้ตลอด ในความเป็นจริง พลังปราณแท้ของเขาตอนนี้เต็มเปี่ยมไม่เหมือนเมื่อก่อน ระดับพลังปราณแท้ที่ไกลห่างกับจวงห้วนอวี่ ตอนนี้มิได้มีอยู่แล้ว แล้วเหตุใดเขาถึงจะไม่มั่นใจในตนเองเล่า

“เขาอาศัยอะไรถึงมั่นใจขนาดนี้เล่า” ริมหน้าต่างบนชั้นสอง เจ้าสำนักเด็ดดาราขมวดคิ้วพลางเอ่ยออกมา

ถึงแม้เฉินฉางเซิงจะนั่งถอดจิตปฐมภูมิเป็นครั้งที่สองอย่างมหัศจรรย์ แต่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดในจิงตูต่างรู้ดีว่า เขาได้กำหนดดาวโชคชะตา เริ่มดึงแสงดวงดาวมาชำระล้างกระดูก จนถึงวันนี้เป็นระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ส่วนจวงห้วนอวี่ฝึกบำเพ็ญเพียรมาสิบกว่าปีแล้ว แล้วเหตุใดเขาถึงคิดว่าระดับพลังปราณแท้ของตนนั้นเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามเล่า

เฉินฉางเซิงใช้ความจริงมาพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น ความมั่นใจของเขามีเหตุผล ถึงแม้จะบอกไม่ได้ว่าเหตุผลอยู่ตรงไหน

จวงห้วนอวี่จ้องมองเขา กระบี่แสงชั่วพริบตาปักอยู่บนพื้นหินสั่นไหวเล็กน้อย เงาพลังกระบี่หลายร้อยสายเกิดขึ้นอีกครา พุ่งไปหาเขาทุกทิศทุกทาง ในหอชำระธุลีประหนึ่งเกิดสายลมสายฝนอีกครา

มือขวาเฉินฉางเซิงที่กำลังกุมกระบี่สั้น ตำแหน่งกลับขยับขึ้น ง่ามนิ้วอยู่ตรงขอบฝัก ใช้มือกุมระหว่างด้ามกระบี่และฝักไว้มั่น ไร้หนทางชักกระบี่ออกมา

เขามิได้ชักกระบี่ และมิได้หลบหลีก อีกทั้งมิได้ใช้ร่างกายทัดทาน แต่ใช้กระบี่ที่อยู่ในฝักฟาดเป็นทางยาวออกไป

ในตำหนักมีเสียงหวีดหวิวดังขึ้น แน่นอนว่าเกิดเป็นเสียงลม

ลมกระบี่ที่แข็งแกร่งหลายสายปะทะเข้ากับพลังเงากระบี่ที่มาทุกทิศทุกทาง ก่อเกิดเป็นเสียงโครมดังขึ้น เงากระบี่เหล่านั้นก็แตกกระจายออกไป

ใช้พลังปราณแท้ปะทะพลังปราณแท้ มิได้แตกต่างกัน ใช้กระบี่ทำลายพลังเงากระบี่ แน่นอนว่าง่ายดาย

ท่าทางของผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ริมหน้าต่างชั้นสองเปลี่ยนไป ในที่สุดจึงมั่นใจว่าระดับวิทยายุทธ์ของเฉินฉางเซิงไม่เหมือนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหรือว่าระดับความบริสุทธิ์ของพลังปราณแท้ อย่างน้อยเขาก็คงจะไม่ด้อยไปกว่าจวงห้วนอวี่

มือที่กำแน่นใต้แขนเสื้อของม่ออวี่บัดนี้ได้คลายลงแล้ว นางจับลูกกรงหน้าต่าง ใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึก ทว่าจิตใจกลับมิได้ผ่อนคลายประหนึ่งที่แสดงออกมา

นางไม่อยากให้คนมองออกว่าตนไม่อยากให้เฉินฉางเซิงเป็นอะไร เวลานี้มิได้กังวลว่าเฉินฉางเซิงจะสู้จวงห้วนอวี่ไม่ได้ แต่ฝีมือของเฉินฉางเซิงที่แสดงออกมา รวมถึงพลังปราณแท้ที่ปะทุออกมาอย่างไร้เหตุผลนั้น ทำให้นางคิดไปถึงเมื่อหลายคืนก่อน คืนนั้นนางกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองดวงดาวอยู่ที่แท่นกานลู่

คืนนั้น จักรพรรดินีรู้ว่ามีคนจุดดาวโชคชะตาที่จิงตู ดาวดวงนั้นอยู่ไกลโพ้น ดวงจิตของคนนั้นก็สงบนิ่งแข็งแกร่งอย่างยิ่ง

คนผู้นั้น…ก็คือเฉินฉางเซิงรึ

……

……

ผู้ยิ่งใหญ่กำลังคิดเรื่องราวอยู่ริมหน้าต่างบนชั้นสอง การต่อสู้ชั้นล่างก็ดำเนินดุเดือดรุนแรงขึ้น

เฉินฉางเซิงใช้กระบี่ในฝัก อาศัยพลังปราณแท้ทำลายพลังเงากระบี่ดุจสายลมสายฝนนั่น ร่างกายวูบวาบ จากนั้นก็มายังด้านหน้าของจวงห้วนอวี่

ระยะห่างสิบกว่าจั้ง เพียงชั่วพริบตาก็หายไป เขามิได้ใช้พลังกระบี่ลมฝนจงซาน แต่ใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา

เวลานี้จวงห้วนอวี่สงบนิ่งลงแล้ว เฉินฉางเซิงทะลวงพลังเงากระบี่เขาได้ง่ายดาย ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ทำให้เขาใจลอยได้อีกต่อไป บนใบหน้าของเขามิได้มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย เห็นเพียงแค่เขายื่นมือขวาออกไป กระบี่แสงชั่วพริบตาสั่นไหวทวีคูณขึ้น ลอยออกจากพื้นแล้วร่วงหล่นบนฝ่ามือ!

ฉับ ฉับ ฉับ ฉับ เสียงกระบี่สิบกว่าสายผ่านเขาไป

กระบี่แสงชั่วพริบตาอยู่ในมือเขาประหนึ่งมีชีวิตขึ้นมาอีกครา กระบี่ที่แหลมคมทะลวงไปยังอากาศ หมายพุ่งแทงเข้าไปยังร่างของเฉินฉางเซิง

พื้นดินที่ถูกฝนฤดูใบไม้ร่วงชะล้าง ยังคงหลงเหลือทรายที่เปียกชุ่มอยู่บ้าง ทรายเหล่านั้นล่องลอยตามกระบี่ของจวงห้วนอวี่ กลายเป็นเส้นทรายเล็กๆ หลายสิบเส้น

เส้นทรายเหล่านั้นก็คือเพลงกระบี่ ซึ่งสามารถมองเห็นวิถีทางของกระบี่ได้

เฉินฉางเซิงอาศัยพลังปราณแท้ทำลายพลังเงากระบี่เหล่านั้นได้ แต่กระบวนท่ากระบี่ที่รวดเร็วดุจอสนีบาต ก็จะต้องใช้กระบวนท่าที่ประณีตเลิศล้ำ

ท่าทางของผู้คนที่ชมอยู่บนชั้นสองเปลี่ยนเป็นตั้งอกตั้งใจ พวกเขาต่างเคยเห็นหรือไม่ก็เคยได้ยินเรื่องราวที่เขากับโก่วหานสือประชันกระบวนท่ากันในการชุมนุมไม้เลื้อย รู้ว่าหนุ่มน้อยที่ไม่เตะตาของสำนักฝึกหลวงผู้นี้มีความรู้ศึกษาตำราแตกฉานดังเช่นโก่วหานสือ มีความรู้ในเพลงกระบี่ของหลายพรรคหลายสำนักเป็นจำนวนมาก มิเช่นนั้นคงต้องแปลกใจว่าเขาจะตอบโต้อย่างไร

เส้นทรายเล็กๆ หลายสิบเส้น พุ่งมาจากทุกมุมมายังร่างกายของเฉินฉางเซิง

ปลายเส้นทราย ก็คือปลายแหลมที่เยียบเย็นของกระบี่

เฉินฉางเซิงยังคงมิได้ชักกระบี่

มือของเขาจับที่ขอบฝักและด้ามกระบี่ หากปรารถนาจะชักกระบี่ก็คงจะทำไม่ได้

เขากุมกระบี่สั้น แล้วก็ฟันออกไปทั้งอย่างนั้น

ฟันออกไปตรงๆ ว่องไว มีพลังไม่ซับซ้อน

เดิมทีไม่เหมือนเพลงกระบี่ มองไม่ออกว่าประณีตล้ำเลิศตรงไหน เหมือนกับสตรีที่ซักเสื้อผ้าอยู่ข้างแม่น้ำ ถือค้อนไม้เคาะตีไปยังก้อนหินไม่หยุด

เหมือนเป็นการฟันที่ปกติธรรมดา อย่างไรก็ตามเมื่อเขายกกระบี่ฟันลงไป ข้างหน้าต่างบนชั้นสองอย่างน้อยมีผู้ยิ่งใหญ่สามคนร้องตกตะลึงออกมา!

“พลองพลิกขุนเขา!”

……

……

ใช่แล้ว เฉินฉางเซิงไม่ได้ใช้เพลงกระบี่ แต่เป็นเพลงพลอง

ตั้งแต่เยาว์วัยเขาศึกษาท่องคัมภีร์เต๋า อ่านตำราเป็นจำนวนมาก หลังจากเข้าสำนักฝึกหลวงทุกวันทุกคืนก็ศึกษาตำรามิหยุดหย่อน เปรียบเทียบกับตำราฝึกบำเพ็ญเพียรในหอเก็บตำราแล้ว คลังตำราจำนวนมากมายที่เคยอ่านมาตั้งแต่สิบสี่ปีก่อนเหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นความรู้ที่จำเป็นในการฝึกบำเพ็ญ ความรู้เกี่ยวกับเคล็ดลับวิชาในการฝึกบำเพ็ญของทุกพรรคทุกสำนัก นอกจากโก่วหานสือแล้วก็คงจะไม่มีใครแข็งแกร่งกว่าเขา

เขาฝึกบำเพ็ญเพียรด้วยความมุมานะบากบั่นอย่างยิ่ง ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งปี ก็สามารถเข้าใจเพลงกระบี่จำนวนมากและวิชาการฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างอื่น ในการชุมนุมไม้เลื้อย เขาชี้แนะลั่วลั่วกับถังซานสือลิ่วจนเอาชนะกวนเฟยไป๋กับชีเจียนได้โดยอาศัยความสามารถนี้ แต่กลับมีคนจำนวนมากลับลืมเลือนไปว่า เขาเข้าใจเพลงกระบี่และวิชาฝึกบำเพ็ญเพียรจำนวนมาก ส่วนมากแล้วเป็นการเข้าใจบนกระดาษ

เขารู้ว่ากระบี่สามกระบวนท่าแห่งเวิ่นสุ่ยจะใช้ผสานกับลำดับและแง่มุมของเพลงกระบี่เจ็ดขุนเขาอย่างไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกวัดแกว่งกระบี่สามกระบวนท่าแห่งเวิ่นสุ่ยตามสบายแล้วเปลี่ยนเป็นกระบี่เจ็ดขุนเขาได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเมื่อเขาชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ ไม่อาจฝึกบำเพ็ญเพียร อยากจะฝึกฝนกระบี่ยิ่งไม่มีความเป็นไปได้

ไม่ว่าเขาจะฝึกฝนมุมานะยากลำบากอย่างไร เกรงว่าจะมีพรสวรรค์อย่างไร ก็ไม่อาจใช้ระยะเวลาเพียงสั้นๆ เข้าใจเคล็ดวิชาจำนวนมากได้

อยากประสบความสำเร็จในวิชากระบี่ อย่างน้อยต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างยากลำบากสิบกว่าปี

ไม่ว่าจะเป็นชิวซานจวิน หรือว่ากวนเฟยไป๋ที่ได้พิสูจน์ว่าตนใช้เพลงกระบี่ได้อย่างน้อยหลายร้อยชุดในการชุมนุมไม้เลื้อยต่างก็เป็นเช่นนี้

ทุกคนต่างก็ลืมเลือนเรื่องนี้ แต่เฉินฉางเซิงนั้นไม่อาจลืม เขาชัดเจนยิ่งนัก ตนไม่อาจใช้เพลงกระบี่เอาชนะจวงห้วนอวี่ ลูกศิษย์ทั้งสี่ของพรรคกระบี่หลีซานและคนอื่นได้ ถึงแม้เขาจะคิดกระบวนท่าที่ควบคุมฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ก็ไร้หนทางที่จะใช้ออกมาได้ในสถานการณ์การต่อสู้ที่ดุเดือดรวดเร็วนี้

ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรมีวิธีขั้นตอนไม่เหมือนกัน จึงต้องการระดับการต่อสู้ที่แตกต่างกัน ตอนนี้เขาต้องการวิธีการต่อสู้ที่ง่ายดาย วิธีการต่อสู้ที่ยิ่งได้ผล เขาไม่ได้คิดว่าควรใช้เพลงกระบี่ไหนถึงจะควบคุมกระบี่ของสำนักเทียนเต้าได้ แต่คิดถึงสิ่งที่ตนได้ฝึกฝนจนชำนาญในตอนนี้ ด้วยเหตุนี้มือขวาเขาที่กุมกระบี่ได้ขยับลง ในเวลาเดียวกันก็กุมขอบฝักและด้ามกระบี่ไว้

ท่าทางในการกุมกระบี่ของเขา แสดงให้เห็นชัดว่าเขาไม่คิดจะชักกระบี่

ท่าทางกุมเช่นนี้ กระบี่สั้นกลายเป็นพลองสั้น

เขาใช้วิชาพลอง

พลองพลิกขุนเขา

……

……

เสียงร้องตกตะลึงบนชั้นสองประหนึ่งดังขึ้นพร้อมกัน

คนที่ร้องตกตะลึงของคือใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองรวมทั้งเจ้าสำนักจงซื่อ

เพราะว่าพวกเรารู้จักเพลงพลองนี้ เพราะว่าเป็นเวลาหลายปีที่ไม่เคยเห็นเพลงพลองนี้

พลองพลิกขุนเขา เป็นวิชาพลองของสำนักฝึกหลวง เมื่อเพิ่งก่อตั้งสำนัก สำนักฝึกหลวงใช้พลองในการลงโทษทางวินัยนักเรียน

สำนักฝึกหลวงได้ตกอับไปแล้วหลายสิบปี วิชาพลองนี้ก็เป็นเวลาสิบกว่าปีที่ไม่ได้ปรากฏในต้าลู่

ใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของขุมอำนาจใหม่ เป็นปฏิปักษ์กับสำนักฝึกหลวงที่เป็นกลุ่มอำนาจเก่า อย่างไรก็ตามถึงแม้เป็นพวกเขา ในระยะเวลาที่ห่างกันเป็นสิบกว่าปี อยู่ๆ ได้เห็นพลองพลิกขุนเขาที่โด่งดังอีกครา ยังอดไม่ได้ที่จะร้องตกตะลึงออกมา ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกพลันเปลี่ยนเป็นสลับซับซ้อน

เซวียสิ่งชวนกับสวีซื่อจีก็เคยเห็นผู้ยิ่งใหญ่ที่โดดเด่นในปีนั้นของสำนักฝึกหลวง เพียงแค่รู้ช้ากว่าใต้เท้ามุขนายกทั้งสองเล็กน้อย เมื่อมองออกว่าเฉินฉางเซิงใช้เพลงพลอง ท่าทางจึงเปลี่ยนไป

……

……

พลองพลิกขุนเขาเป็นพลองทำโทษของสำนักฝึกหลวง พุ่งออกไปด้วยทิศทางตรงๆ หยาบๆ เข้าใจง่ายดาย จุดประสงค์ก็คือตีให้นักเรียนล้ม ให้เจ็บ วิชาพลองชนิดนี้มองแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้เอ่ยถึงได้ แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วซุกซ่อนเหตุผลไว้มากมาย ก็เหมือนกับกฎระเบียบของสำนักฝึกหลวง เดิมทีเจ้าก็หมดหนทางจะหลีกหนีได้ ทำได้เพียงแค่ยอมรับ

ท่าทางของจวงห้วนอวี่เปลี่ยนเป็นหนักอึ้งไร้สิ่งใดเปรียบ กระบี่ในมือกลับมิได้เชื่องช้าลงแม้แต่น้อย

พลังกระบี่สั้นของเฉินฉางเซิงเมื่อใช้ออกไปแล้วทื่อตรง แข็งทื่อจนเกือบเอ่ยไม่ได้ว่าเป็นกระบวนท่าอะไร

มองแล้ว กระบี่ในมือของเขามีโอกาสเหลือเฟือที่จะช่วงชิงแทงเข้าในร่างกายเฉินฉางเซิง ทว่ากระบี่สั้นในมือของเฉินฉางเซิงกลับให้ความรู้สึกผิดแปลกชนิดหนึ่ง ถ้าหากทำเช่นนี้ เช่นนั้นในเวลาต่อมาไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใด ก็ยังคงใช้กระบี่ในฝักฟาดลงมาบนร่างกายเขา

ช่วงชิงโจมตี แทบจะไม่มีความหมาย หลบหลีก แทบจะหลบหลีกไม่ได้ เช่นนั้นจึงทำได้เพียงต้านทานออกไปตรงๆ

พลังปราณแท้ของจวงห้วนอวี่ออกมาไม่ขาดสาย คมกระบี่ทะลวงอากาศออกไป มุ่งไปต้อนรับกระบี่เฉินฉางเซิง

พลองพลิกขุนเขาปะทะกระบี่แสงชั่วพริบตา คล้ายกับว่าสำนักฝึกหลวงปะทะสำนักเทียนเต้า

นักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง ปรารถนาจะมีตำแหน่งใหม่ในนิกายหลวงอีกครา คล้ายกับว่าจะต้องผ่านด่านนี้ให้ได้

กระบี่ทั้งสองเล่มปะทะกันกลางอากาศ จากนั้นแยกออก จากนั้นพบกันอีกครา ไม่ว่ากระบี่เฉินฉางเซิงจะร่วงหล่นลงอย่างไร ต่างก็ถูกกระบี่ของจวงห้วนอวี่ทัดทานไว้ได้ ไม่ว่ากระบี่จวงห้วนอวี่จะประณีตล้ำเลิศเพียงใด กลับไม่อาจทำลายกระบี่ของเฉินฉางเซิงได้ ในระยะเวลาสั้นๆ กระบี่ทั้งสองได้ปะทะกันแล้วสิบกว่าครา

ในหอชำระธุลีมีเสียงต่อสู้กันดังสนั่นข้างหู

กลุ่มอากาศสีขาวสิบกว่าลูก ก่อเกิดอยู่ด้านหน้าพวกเขาทั้งสองไม่หยุด จากนั้นก็สลายไปเพียงชั่วพริบตา

กลุ่มอากาศเหล่านั้น ก็คือพลังปราณที่กระบี่ทั้งสองได้ปะทะกัน

เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!

ร่างกายทั้งสองพลันห่างจากกัน

จวงห้วนอวี่ส่งเสียงโอ๊ยขึ้นมา สีหน้าขาวซีด มือขวาที่กุมกระบี่ของเขาสั่นเทา

เขาไม่อาจกันกระบี่ของเฉินฉางเซิงได้หมด

ช่วงเวลาสุดท้ายนั้น กระบี่ที่อยู่ในฝักของเฉินฉางเซิงร่วงลงมายังข้อมือของเขา

ถ้าหากเวลานั้นกระบี่ของจวงห้วนอวี่มิได้ตั้งใจมุ่งตรงเข้าไป ท่วงท่าเปลี่ยนเป็นแทงเฉียง ทำให้ปลายฝักของเฉินฉางเซิงครูดผ่านไปเท่านั้น กระดูกข้อมือของเขาอาจจะแหลกละเอียดไปแล้ว

การต่อสู้ซึ่งหน้า กระบี่ต่อกระบี่ สุดท้ายแล้วตนร่วงหล่นในสายลม

จวงห้วนอวี่เดิมทีไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้ สีหน้ากลายเป็นขาวซีด

เวลาต่อมา เขานำฝักกระบี่โยนลงบนพื้น เดินไปข้างหน้าอีกครา