ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 165 ถือรองเท้า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

กระบี่ไร้ฝัก ยิ่งแสดงความสามารถออกมาได้สมบูรณ์แบบ

กระบี่ของจวงห้วนอวี่พุ่งทำลายอากาศออกไป มิได้หลงเหลือสิ่งใดไว้ บังคับพลังปราณแท้ที่ทรงพลังมุ่งไปยังร่างกายเฉินฉางเซิง ปลายกระบี่ส่องแสงออกมา

บนพื้นมีเม็ดทรายที่ยังหลงเหลือฟุ้งกระจายปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ

เฉินฉางเซิงใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา ร่างกายเปลี่ยนเป็นวูบวาบสั่นไหว ล้อมรอบจวงห้วนอวี่ กระบี่สั้นในมือประหนึ่งพลองฟาดลงไปมิหยุดยั้ง

ยังคงเป็นการหวดอย่างรวดเร็ว

จวงห้วนอวี่มิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย กระบวนท่ากระบี่ประณีตล้ำเลิศ เพราะว่าโกรธแค้นจึงโจมตีด้วยความบ้าระห่ำ ทางด้านการป้องกันกลับป้องกันได้ดีเยี่ยม มองออกได้ว่าจิตใจของเขามิได้วุ่นวายแม้แต่น้อย

วิชาย่างก้าวของเฉินฉางเซิงไม่ว่าจะเร็วปานใด กระบี่สั้นจะร่วงลงมาแข็งแกร่งเพียงไหน ก็ไม่อาจหาจุดอ่อนของเขาได้ ยิ่งไม่อาจทะลวงจุดอ่อนไปได้ ในทางกลับกัน พลังกระบี่ของจวงห้วนอวี่กลับยิ่งสงบนิ่ง แสงกระบี่นับไม่ถ้วนดุจตาข่ายไร้รูปร่าง ทำให้ย่างก้าวของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง ถึงแม้อยากจะหลุดพ้น ก็มิใช่เรื่องง่ายดาย

เฉินฉางเซิงมองแผนการของเขาออก จวงห้วนอวี่ปรารถนาจะใช้วิชากระบี่จัดการข้อได้เปรียบความรวดเร็วในท่าร่างของเขา สุดท้ายแล้วจะได้วัดกันที่กระบวนท่าและจำนวนของพลังปราณแท้ เขาไม่ลังเลที่จะทำการตัดสินใจ ท่าร่างเปลี่ยนแปลงฉับพลัน เพิ่มระดับความเร็วจนไม่อาจคาดคิด เดินไปยังด้านขวาสามเก้า กลับปรากฏตัวอยู่อีกด้านของจวงห้วนอวี่

จวงห้วนอวี่พลิกข้อมือแทงออกไป กระบี่ที่เลิศล้ำไร้เทียมทาน สั่นไหวกระบี่สั้นในมือโดยตรง จากนั้นถือโอกาสนำพลังพุ่งไปยังคอหอยของเขา

เฉินฉางเซิงเผชิญอันตรายฉับพลัน ท่าทางกลับไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าเขามาถึงด้านหน้ากระบี่จวงห้วนอวี่แล้ว

ตอนนี้ ผู้ใดก็อย่าได้คิดหลีกหนี

กระบี่จากข้างกายพุ่งทะลวงเขายังหัวไหล่เขา กระบี่สั้นในมือฟาดลงบนใบหน้าจวงห้วนอวี่

จวงห้วนอวี่พลิกกลับกระบี่แสงชั่วพริบตา นำด้ามกระบี่ออกไปรับ เวลาเดียวกันเดินออกไป ปลายกระบี่ยื่นออกไปหมายตัดคอหอยเขาอีกครา

ขณะเวลาหมุนเวียนผ่าน สถานการณ์แปรเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

ในหอชำระธุลีมีเสียงปะทะดังขึ้นถี่ยิบอีกครา นั่นเป็นเสียงกระบี่สองด้ามปะทะกัน หากเทียบกับรอบแรก เสียงกระบี่รอบนี้ดังขึ้นต่อเนื่อง ราวกับว่าจะไม่หยุดอีกต่อไป กลุ่มไอหมอกสีขาวเกิดขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นระเบิด สุดท้ายจึงสูญหายไป ไม่ว่าเป็นเฉินฉางเซิงหรือว่าจวงห้วนอวี่ ผลตัดสินแพ้ชนะอยู่ที่ใครจะเพลี่ยงพล้ำก่อนกัน

ฉั่วะ ฉั่วะฉั่วะ เสียงรอยแผลถูกฟาดฟันดังขึ้นสามรอย!

เสียงสิ่งของกระทบกันดังขึ้น!

สายฝนได้หยุดลงแล้ว ทรายเปียกร่วงลงสู่พื้น เฉินฉางเซิงและจวงห้วนอวี่แยกออกจากกัน ลอยไปยังเบื้องหลังสิบกว่าจั้ง จากนั้นยืนนิ่ง

เฉินฉางเซิงถูกฟันสามรอย ผนวกกับอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ มีรอยแผลหกรอยอยู่หน้าอก โลหิตสดไหลซึมออกมา

จวงห้วนอวี่ถูกกระบี่สั้นของเขากระแทกสองครา แขนขวาห้อยลงเล็กน้อย มีโลหิตไหลออกมา สีหน้าขาวซีดผิดปกติ

ปลายกระบี่ไร้เทียมทาน พลองเป็นอาวุธไม่แหลมคม สามกระบี่แลกกับสองพลอง ไม่ว่าจะมองอย่างไร สุดท้ายแล้วการปะทะครั้งนี้ ก็ควรจะเป็นจวงห้วนอวี่ที่ได้เปรียบ

หากเปลี่ยนคู่ต่อสู้ของจวงห้วนอวี่เป็นคนอื่น ถูกกระบี่ทั้งสามสายนี้ก็ล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไร้เรี่ยวแรงจะต่อสู้ได้อีก

เฉินฉางเซิงมิได้ล้มลง

จวงห้วนอวี่ปะทะกับเขา กระบวนท่าต่อกระบวนท่า กระบี่ต่อกระบี่ พลังปราณแท้ต่อพลังปราณแท้ การตอบโต้ของเขาแข็งแกร่ง ใช้กระบวนท่าแลกกระบวนท่า ใช้กระบี่แลกกระบี่ บาดเจ็บแลกบาดเจ็บ

นี่เป็นวิธีที่เหลียงปั้นหูใช้ต่อสู้กับถังซานสือลิ่ว เป็นกลยุทธ์ที่โก่วหานสือวางแผนไว้

ถูกเขาใช้ในการต่อสู้ที่สำคัญกับจวงห้วนอวี่

เฉินฉางเซิงเป็นคนยินยอมที่จะเรียนรู้ ถนัดในการเรียนรู้ อีกทั้งเขายังกล้าใช้วิธีนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่าเขามั่นใจในพลังปราณแท้และพลังการป้องกันของตนอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็จะต้องแข็งแกร่งกว่าจวงห้วนอวี่

จวงห้วนอวี่มิได้ล้มลง ถึงแม้สีหน้าจะซีดขาวยิ่งนัก

ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยโลหิต ระยะห่างจากกันสิบกว่าจั้ง จ้องมองด้วยความเงียบนิ่ง

ในหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ

บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าต่างชั้นสองยังคงเงียบสนิท การต่อสู้สนามนี้สำหรับพวกเขาแล้วก็มิได้มีความหมายอะไร แต่เฉินฉางเซิงได้แสดงออกมาสงบนิ่งและกล้าหาญเหนือกว่าอายุจริง กลับทำให้พวกเขามีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ความเงียบนิ่งเวลานี้ หรือว่าอาจจะหมายถึงความเคารพ

เงียบนิ่งก็หมายความว่าตื่นเต้นได้เช่นกัน

สุดท้ายแล้วใครคือผู้ชนะเล่า

……

……

ด้านนอกหอชำระธุลีก็เงียบเชียบเช่นกัน

พวกผู้เข้าสอบด้านนอกหอถึงขนาดว่ายิ่งตื่นเต้นมากกว่าคนอยู่ด้านใน ยิ่งอยากจะรู้ว่าการต่อสู้ในสนามนี้ผู้ใดจะได้รับชัยชนะ

หลังจากเฉินฉางเซิงกับจวงห้วนอวี่เข้าไปในหอ สายตาของทุกคนก็ร่วงหล่นไปยังประตูที่ปิดสนิทบานนั้น

ก็เหมือนก่อนหน้านี้ในการต่อสู้ที่ผ่านมาแล้วหลายสนาม พวกผู้เข้าสอบมองไม่เห็นภาพข้างในหอ จึงทำได้เพียงแค่ได้ยินเสียงแล้วคาดเดาว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

ค่ายกลกั้นเสียงของหอชำระธุลี หลังจากรอบที่สองก็ไร้ผลบ่อยๆ เพราะว่าผู้เข้าสอบยิ่งนานยิ่งแข็งแกร่ง การต่อสู้ยิ่งนานยิ่งดุเดือด

การต่อสู้สนามนี้ก็เป็นเช่นนี้ หลังจากประตูหอปิดลงไม่นาน ผู้เข้าสอบก็ได้ยินเสียงแหลมทำลายอากาศ พวกเขารู้ว่านั่นคือเสียงกระบี่ เพียงแค่ไม่รู้ว่าจะเป็นกระบี่ของเฉินฉางเซิงหรือว่าจวงห้วนอวี่ จากนั้นพวกเขาได้ยินเสียงดังขึ้น ประหนึ่งมีใครเคาะระฆังอยู่ในหอชำระธุลี มีคนคาดเดาได้ว่านั่นเป็นเสียงที่ใช้พลังปราณแท้ในการโจมตี

เรื่องที่ดำเนินต่อไปยิ่งเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด

เพราะว่าในหอชำระธุลีจู่ๆ ก็เงียบลงไป ด้านนอกหอกลับมีเสียงร้องของจักจั่น ถึงขนาดว่าแม้แต่อุณหภูมิก็เพิ่มขึ้น คล้ายกับว่าฤดูร้อนได้มาเยือนแล้ว จากนั้นท้องฟ้าที่ไร้ก้อนเมฆหมื่นลี้อยู่ๆ ก็มีฝนตกลงมา ฝนห่านั้นมิได้ทำให้พื้นดินของด้านนอกหอเปียกชื้น เพียงแค่อยู่ในด้านในหอ มองแล้วดุจน้ำตกก็มิปาน

จากนั้นเสียงกระบี่ได้ดังขึ้นอีก มิได้หยุดอีกเลย จนกระทั่งท้ายที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างสงบนิ่ง

การต่อสู้สนามนี้สิ้นสุดลงแล้ว แล้วใครแพ้ใครชนะเล่า

คนทั้งสามของสำนักฝึกหลวงตื่นเต้นที่สุด บรรยากาศข้างราวป่าอึดอัดอย่างยิ่ง

เซวียนหยวนผ้อดวงตาจ้องเขม็ง มองประตูหอที่แน่นขนัด ถูมือตัวเองไม่หยุด บนลำคอเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

ลั่วลั่วปิดตา มือน้อยกำหมัดแน่นอยู่ด้านหน้า เงียบนิ่งสวดภาวนาแทนเฉินฉางเซิง

ถังซานสือลิ่วไขว้มือทั้งสองข้างเดินเตร่ไปเตร่มา ริมฝีปากขยับเล็กน้อย บ่นงึมงำตลอดเวลา เขาไม่เคยถามเฉินฉางเซิงว่าไม้ตายคือสิ่งใด ความมั่นใจมาจากไหน เขารู้ว่าเฉินฉางเซิงจะต้องเตรียมตัวในการต่อสู้สนามนี้เป็นแน่ ทว่าเขายิ่งทราบดีว่าจวงห้วนอวี่แข็งแกร่งขนาดไหน จวงห้วงอวี่เป็นศิษย์พี่ของเขาเมื่อตอนอยู่สำนักเทียนเต้า และยังเป็นจุดมุ่งหมายที่เขาปรารถนาจะอยู่เหนือตลอดเวลา หากเข้าใกล้เขาอีกนิด จะได้ยินชัดเจนว่าเขากำลังบ่นงึมงำอะไรอยู่ “มองโลกในแง่ดีเกินไป…มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว พวกเราเชื่อมั่นในตัวเขามากเกินไป นี่จะชนะได้อย่างไร นี่จะชนะได้อย่างไรเล่า เจ้าเด็กคนนี้จะต้องชนะเป็นแน่ แต่จะชนะได้อย่างไร”

เวลานี้เอง ประตูหอชำระธุลีเปิดออก

เวลาเดียวกันที่ผู้เข้าสอบทั้งหมดมองไปทางนั้น

ลั่วลั่วลืมตาขึ้น เต็มไปด้วยความหวังและกังวลใจ

ถังซานสือลิ่วมิได้เดินต่อ และหยุดพึมพำกับตนเอง ทว่ากลับมิได้มองออกไป เพราะว่าเขาไม่กล้ามอง

คนที่เดินออกจากหอชำระธุลีมาก่อนก็คือเฉินฉางเซิง

ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยโลหิต เท้าทั้งสองเปล่าเปลือย เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย เนื้อตัวเต็มไปด้วยเม็ดทราย มองแล้วยิ่งเหมือนขอทานมากกว่าหลายรอบที่ผ่านมา

บริเวณรอบๆ แท่นหินยังคงเงียบสนิท เพราะว่าตอนนี้ยังไม่มั่นใจว่าผู้ชนะคือผู้ใด

หลังจากกวนเฟยไป๋ต่อสู้ดุเดือดกับเจ๋อซิ่ว เดินออกมานอกหอชำระธุลีก่อน แต่เขากลับเป็นผู้พ่ายแพ้

ขณะที่กำลังตื่นเต้น เฉินฉางเซิงอยู่ๆ ก็หันกายกลับเข้าไปในหอชำระธุลี

การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว เขาได้ออกมาจากหอแล้ว เพราะเหตุใดยังต้องหมุนกายกลับไปอีกเล่า คนทั้งหมดต่างก็ตะลึงงัน ไม่เข้าใจว่านี่เกิดอะไรขึ้น

เวลาผ่านไปไม่นาน เขาก็ได้เดินออกมาอีกครา ครั้งนี้ในมือของเขามีรองเท้าคู่หนึ่ง

รองเท้าใหม่เอี่ยมคู่หนึ่ง

ในสนามพลันมีเสียงร้องแปลกประหลาด นั่นเป็นเสียงร้องของถังซานสือลิ่ว

ดูภายนอกเหมือนเขาไม่ได้มอง ทว่าในความเป็นจริงหางตามองไปทางนั้นตลอด

เขาร้องเสียงประหลาด ถลาไปหาเฉินฉางเซิง

ลั่วลั่วถอนหายใจออกมายาวเหยียด ตบอกตนเองเบาๆ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวภายหลัง และยินดี

เซวียนหยวนผ้อไม่เข้าใจ เกาศีรษะพลางเอ่ยว่า “เกิดอะไรขึ้น”

ลั่วลั่วกล่าวตอบ “อาจารย์ชนะแล้ว”