“ใคร” ภายใต้แสงจันทร์ เสียงของเยี่ยเทียนหยวนราวกับสายน้ำกลางค่ำคืนแห่งฤดูหนาว เย็นยะเยือกจนสุดขั้ว
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นช้าๆ ที่มุมหนึ่งของภูเขา หยุดนิ่งลงชั่วครู่ แล้วเดินเข้ามาอย่างมั่นคง
เยี่ยเทียนหยวนเห็นหญิงสาวในชุดชาววังเดินเข้ามาใกล้ ก็ย่นคิ้ว
กลางค่ำคืน ชายร่างสูงโปร่งผู้นั้นชุดสีครามโบกพลิ้ว ราวกับต้นไผ่ลำตรงที่ยืนต้นอย่างสง่างาม แววตาเยือกเย็นดังดวงจันทร์ฤดูสารท แผ่กลิ่นอายไม่เป็นมิตรต่อผู้เข้าใกล้
หร่วนหลิงซิ่วรู้สึกเหมือนใจโดนกระแทกอย่างหนักหน่วง หัวใจเต้นรัว อ้าปากขึ้น แล้วพูดออกมาสามคำ “ศิษย์พี่เยี่ย”
ริมฝีปากบางของเยี่ยเทียนหยวนเม้มแน่น แล้วพูดขึ้นน้ำเสียงเรียบ “ศิษย์หลานหร่วน เจ้าควรเรียกข้าว่าอาจารย์อา หรือไม่ก็ผู้อาวุโส”
หร่วนหลิงซิ่วสะท้านไปทั้งกาย ลืมตาขึ้นจ้องนิ่งไปยังใบหน้าของเยี่ยเทียนหยวน
น้ำเสียงของเยี่ยเทียนหยวนเย็นชายิ่งขึ้น “ศิษย์หลานหร่วน ฟ้าก็มืดแล้ว เชิญกลับไปเถิด” พูดเสร็จก็หันตัวกลับ รีบสาวเท้าเดินเข้าที่พำนักไป
“ท่านอย่าเพิ่งไป…” หร่วนหลิงซิ่วร้องขึ้น เห็นเยี่ยเทียนหยวนไม่ได้หยุดฝีเท้าลงแม้เพียงสักก้าว กำลังจะหายลับตาที่ประตู ก็พูดขึ้นอย่างรีบร้อน “เยี่ยเทียนหยวน หากวันนี้ไม่ได้ถามให้แจ้ง ข้าจะไม่มีวันตายใจเป็นอันขาด!”
เยี่ยเทียนหยวนหยุดลง แล้วหันกายกลับ
หร่วนหลิงซิ่วรีบเดินเข้าไปรับอย่างร้อนรน
“ศิษย์หลานหร่วน มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเถิด ข้าได้ยิน” เยี่ยเทียนหยวนพูดพลางก้าวถอยหนึ่งก้าว เว้นระยะห่างระหว่างทั้งสองคน
หร่วนหลิงซิ่วหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่น สูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งทีแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ข้า…ข้าอยากอยู่ที่เหยากวง”
“ศิษย์หลานเป็นอนุชนของหรูอวี้เจินจวิน ประตูพรรคเหยากวงย่อมเปิดรับเจ้าทุกเมื่อ” เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่แท้เป็นเพราะตนเข้าใจเจตนาของนางผิดไป น้ำเสียงจึงผ่อนลง “ศิษย์หลานหร่วน เรื่องนี้เจ้าไปพูดกับผู้ดูแลหอปฏิบัติหน้าที่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ข้าช่วยหรอก”
หร่วนหลิงซิ่วอึ้งไป ครั้นแล้วใบหน้าก็แดงก่ำ หลับตาลง แล้วโพล่งออกมาว่า “ข้าหมายความว่า อยู่ร่วมกับท่าน…”
เยี่ยเทียนหยวนเย็นชาขึ้นในทันที “ศิษย์หลานหร่วนควรรู้นะ ว่าข้าแต่ไหนแต่ไรไม่ต้องการสาวใช้”
หร่วนหลิงซิ่วตัวเซ ขบริมฝีปากพูดขึ้น “ท่าน…ท่านใจดำเพียงนี้เชียวหรือ ใจของข้าแต่ไหนแต่ไรมาเป็นเช่นใดท่านรู้แก่ใจดี นางมีอะไรที่ดีกว่าข้ากันแน่”
เยี่ยเทียนหยวนหลับตาลง น้ำเสียงเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง “ภรรยาของข้า ในสายตาของข้าล้วนดีกว่าใครอื่นทั้งนั้น ยอดหญิงนับหมื่นพัน ต่อให้สายตาผู้คนบนโลกมากมายจับจ้องหมายจะแย่งนางผู้นั้น แต่ในใจข้า ก็ไม่มีใครเทียบนางได้ ศิษย์หลานหร่วนบรรลุถึงระดับก่อแก่นปราณแล้ว ไยหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ คงมีสักวันที่จะได้พบคนที่คิดกับเจ้าเช่นนี้แน่นอน ข้าขอตัวก่อน ขอโทษด้วย”
พูดเสร็จก็ไม่หันหน้ากลับ สาวเท้าเดินเข้าที่พักไป
จ้องนิ่งไปยังประตูศิลาที่ปิดสนิท หร่วนหลิงซิ่วสีหน้าซีดขาวราวกับหิมะ เรือนร่างที่ไม่มีน้ำมีนวลไม่รู้ว่าผ่ายผอมลงตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูผอมบางจนแทบใส่เสื้อผ้ามิได้ น้ำตาหยดหนึ่งไหลผ่านแก้ม นางพูดพึมพำว่า “ในเมื่อท่านรู้ดีเช่นนี้ จะไม่เข้าใจเลยหรือ ว่าต่อให้เจอคนที่ดีกว่านี้ ในใจของข้า ก็ไม่มีใครดีเท่าท่านแล้ว….”
ยืนมองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหายไปกลางรัตติกาล
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น
ยอดเขาโหวเต๋อเขียวชอุ่ม โคมไฟแพรประดับ ดูรื่นเริงครึกครื้น
หลัวอวี้เฉิงนั่งอยู่บนก้อนหินสีครามก้อนหนึ่ง ตะแคงตัวพิงต้นกุ้ยฮวาต้นหนึ่ง คมดาบสายลมลำหนึ่งหมุนวนบนปลายนิ้ว สะบัดนิ้วไป เศษไม้ก็ร่วงพรูลงมา
ผ่านไปไม่นาน ท่อนไม้ในมือก็ค่อยๆ กลายเป็นตุ๊กตารูปคน
เขาจิตใจจดจ่อ แววตามั่นคงไม่ไขว้เขว มือขยับอย่างรวดเร็ว ผ่านไปสักครู่ตุ๊กตานั้นก็กลายเป็นรูปหญิงสาว
แววตาหลัวอวี้เฉิงในที่สุดก็กลับมากระจ่างใสอีกครั้ง ก้มหน้ามองยังตุ๊กตาไม้ในมือ แล้วนิ่งเหม่อ ครั้นก็หัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมา
เขาตรากตรำฝึกบำเพ็ญมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังมีพรสวรรค์ชาญฉลาด น้อยนักที่จะมีผู้คบหาได้ เขาได้เรียนรู้วิธีการทำตุ๊กตาขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว และผูกพันกับมันจนไม่อาจแยก ทุกครั้งที่จิตใจหลุดลอย ก็จะหมกมุ่นอยู่กับการแกะสลักอย่างสบายใจ
จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความรู้สึกเป็นเช่นนี้เองหรือ
เขารู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย ขมขื่นอยู่เล็กน้อย ยกตุ๊กตาไม้ในมือขึ้นมองกับแสงสว่าง ท่ามกลางแสงยามเช้า ลักยิ้มมุมปากของตุ๊กตาไม้ดูชัดเจนเป็นพิเศษ
“สหายหลัว ไยจึงไม่พักสักครู่ก่อน” เสียงอันอ่อนโยนของหญิงสาวแว่วมาจากด้านหลัง
หลัวอวี้เฉิงเอาตุ๊กตามาให้ยัดลงไปในแขนเสื้อ ลุกขึ้นแล้วหันกาย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียง “นักพรตซู่เหยียนหรือ”
ต้วนชิงเกอพยักหน้า
“ขอบคุณอย่างมาก” หลัวอวี้เฉิงประสานมือ
ต้วนชิงเกอค้อมกาย “สหายหลัวเกรงใจไปแล้ว เจ้ามาส่งมั่วชิงเฉินกลับมาไกลกว่าหมื่นลี้ ควรเป็นชิงเกอที่ต้องขอบคุณเจ้าถึงจะถูก”
หลัวอวี้เฉิงอึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็ยิ้มขึ้น
“เอ้อ…ใช่แล้ว ชิงเฉินฝากบอก ว่าหลังพิธีเข้าคู่บำเพ็ญจะมาหาเจ้า สหายหลัวอยู่กับซู่เหยียนไปก่อนเถิดนะ”
หลัวอวี้เฉิงเหยียดมุมปากยิ้ม ยื่นมือส่งถุงเล็กๆ ใบหนึ่งออกไป “ผู้น้อยยังมีเรื่องสำคัญ เกรงว่าจะอยู่นานไม่ได้ ในถุงนี้คือของกำนัลเตรียมมาเพื่อมอบให้สหายมั่ว รบกวนนักพรตซู่เหยียนช่วยส่งต่อให้ที”
ต้วนชิงเกอนิ่งอึ้ง แล้วพูดเกลี้ยกล่อม “สหายหลัว พิธีเข้าคู่บำเพ็ญใช้เวลาไม่นาน…”
“ผู้น้อยมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ” หลัวอวี้เฉิงน้ำเสียงหนักแน่น
ต้วนชิงเกอรับถุงเล็กมา พูดว่า “เอาเถิด ไม่รู้ว่าสหายหลัวมีเรื่องอะไรจะฝากบอกชิงเฉินหรือไม่”
หลัวอวี้เฉิงทอดสายตาลงอยู่ครู่ใหญ่ แล้วยิ้มขึ้น “ฝากบอกว่า อวี้เฉิงขออวยพรให้นางเคียงคู่กันตราบนานชั่วนาน รักมั่นเป็นใจเดียว”
พูดจบก็ประสานมือ เกิดลมขึ้นใต้เท้า จากนั้นก็ลอยจากไป
เทือกเขาฟางจูทอดตัวยาวไกลนับหมื่นลี้ ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักจำนวนนับไม่ถ้วนต่างมารอร่วมสนุก หลัวอวี้เฉิงบินอยู่บนท้องฟ้าก้มหน้ามองลงมา ออกแรงมือหนึ่งที ตุ๊กตาไม้นั้นก็กลายเป็นเศษไม้ถูกลมหมุนพัดหายลับไปไร้ร่องรอย เงาร่างของเขา ก็หายวับไปท่ามกลางเมฆหมอก
แสงยามเช้ากำลังดี
“ชิงเฉิน เจ้าไยยังไม่แต่งหน้าทำผมอีก” ต้วนชิงเกอผู้ทันทีที่หลัวอวี้เฉิงจากไปก็รีบมายังยอดเขาลั่วเถาเห็นมั่วชิงเฉินยังคงสวมชุดเดิม ก็พูดขึ้นอย่างแปลกใจ
มั่วชิงเฉินเงยหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ชิงเกอ ข้ากำลังรอเจ้ามาอยู่ ไปหาอาจารย์เป็นเพื่อนข้าหน่อยเถิด”
ต้วนชิงเกออึ้งงัน แล้วได้สติกลับอย่างรวดเร็วพูดตอบว่า “ควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ไปกันเถิด”
ยอดเขาป่าไผ่ยังคงสงบเงียบเช่นเมื่อก่อน ป่าไผ่ยืนต้นตระหง่านสูง
มั่วชิงเฉินร่ายยันต์วิญญาณอันหนึ่งออกมา ป่าไผ่ก็แยกออก จากนั้นก็เดินเข้าไป
กู้หลีกำลังเล่นหมากรุกพลางจิบชากับผู้บำเพ็ญในชุดขาว ตู้รั่วในชุดสีดำทั้งตัวยืนอยู่ด้านหลัง คอยมองมายังป่าไผ่เป็นระยะ
เห็นพวกมั่วชิงเฉินสองคนเดินเข้ามา ผู้บำเพ็ญในชุดขาวก็ยิ้มขึ้น วางหมากลง แล้วพูดขึ้นเสียงกังวาน “พี่กู้ เจ้าแพ้แล้ว”
กู้หลีหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ทักษะการเล่นหมากรุกของพี่ไป๋ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน เหอกวงขอยอมแพ้”
พูดแล้วก็ลุกขึ้นยืน เดินไปยังมั่วชิงเฉิน “ชิงเฉิน เจ้ากลับมาแล้ว”
มั่วชิงเฉินหยุดลง แล้วคำนับลงไป “ท่านอาจารย์ ศิษย์ทำให้ท่านกังวลใจอีกแล้ว”
กู้หลีโน้มกายลงไปประคองมั่วชิงเฉินขึ้น เห็นแววตาของนางกระจ่างใสดุจสายน้ำ เสียงหัวเราะราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ “วันนี้ออกเรือนแล้ว อาจารย์ก็เป็นห่วงน้อยลงได้แล้วล่ะ”
มั่วชิงเฉินยิ่มเซ่อ “ออกเรือนแล้ว ชิงเฉินก็ยังคงเป็นลูกศิษย์ของท่านเจ้าค่ะ”
กู้หลีในที่สุดก็ทนไม่ไหว ยื่นมือเข้าไปลูบเรือนผมของมั่วชิงเฉิน แล้วหดมือกลับอย่างรวดเร็ว พูดขึ้นน้ำเสียงเรียบว่า “รีบกลีบไปเถิด เดี๋ยวจะไม่ทันผัดหน้าแต่งตัว”
พูดจบก็หันไปมองยังตู้รั่ว “ตู้รั่ว กลับไปเป็นเพื่อนอาจารย์เจ้าที”
“ขอรับ” ตู้รั่วขานรับอย่างนอบน้อม เดินไปยังมั่วชิงเฉิน ในขณะที่กำลังจะผ่านกายกู้หลีไป กู้หลียื่นของสิ่งหนึ่งให้
ตู้รั่วอึ้งงัน กำของสิ่งนั้นไว้แน่นในมือ
แสดงคารวะต่อกู้หลีอีกครั้ง ทั้งสามคนก็จากยอดเขาป่าไผ่ไป ตลอดทาง ตู้รั่วเอาแต่นิ่งเงียบ
มั่วชิงเฉินยื่นมือออกไป บีบแก้มตู้รั่ว “เจ้าเด็กน้อย ไม่เจอกันตั้งนาน เจ้าเก่งขึ้นเยอะเลยสินะ หรือว่าติดตามท่านอาจารย์ของข้าอยู่นาน จนไม่เห็นอาจารย์อย่างข้าอยู่ในสายตาเสียแล้ว”
“ศิษย์มิกล้าขอรับ” ตู้รั่วมองไปยังต้วนชิงเกอแววตาเขียวปัด น้ำเสียงดูหงุดหงิด
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “ไม่กล้า เช่นนั้นไยพบอาจารย์แล้ว กลับไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ไม่รู้หรือว่าวันนี้เป็นวันมงคลของข้า ของกำนัลเตรียมแล้วหรือยัง”
ตู้รั่วกระตุกมุมปาก เพราะอะไรกัน นี่มันเพราะอะไรกัน หลายปีมานี้ตัวเขาแม้ของรับขวัญศิษย์จากอาจารย์ก็ไม่ได้รับ กลับต้องเป็นฝ่ายเตรียมของกำนัลมอบให้กับอาจารย์ก่อน!
บ่นอุบอยู่ในใจ แต่ก็ได้เพียงพูดตอบคำ “เตรียมแล้วขอรับ”
มั่วชิงเฉินได้ยินก็ยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ
ความรู้สึกของการเป็นคนตาบอดนั้นไม่ค่อยดีเท่าไร หากคนอื่นไม่พูดจาส่งเสียง นางก็ทำอะไรที่ถูก เจ้าเด็กนี่ยังจะมานิ่งเงียบ เช่นนี้แล้วสมควรโดนสั่งสอนไม่ใช่หรือ
ตู้รั่วมองไปยังต้วนชิงเฉิน แล้วพูดขึ้นอย่างสงสัย “อาจารย์ ท่าน…มองไม่เห็นหรือ”
มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกใจอย่างห้ามไม่ได้ “ไยเจ้าจึงมองออก”
นับแต่กลับถึงพรรค นางก็จงใจปิดบัง ผู้คนที่ยอดเขาลั่วเถาจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดสังเกตถึงความผิดปกติของนาง
ตู้รั่วอยากพูดความจริงออกมาตรงๆ เต็มประดา ว่านั่นเป็นเพราะดวงตาของท่านนั้นช่างกระจ่างใสเสียเหลือเกิน ต่างจากประกายที่มองเขาเหมือนที่ผ่านมา จนทำให้สัญชาตญาณของเขารับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาตามตรง เขาจึงพูดว่า “เมื่อครู่นี้ท่านอาจารย์มอบของสิ่งหนึ่งให้กับศิษย์ บอกว่าให้ท่านสวมมันไว้”
“ของอะไรหรือ”
“คือขนอินทรีวิญญาณหยกหิมะ เมื่อสวมสิ่งนี้ไว้กับตัวจะทำให้ความสามารถในการรับรู้กลิ่นอายเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก หากเป็นเช่นนั้น ต่อให้มองไม่เห็น ก็จะไม่มีผลอะไรกับท่านมากนัก เพียงแต่ผลของมันอยู่ได้เพียงไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น” ตู้รั่วพูดพลางยื่นขนนกสีขาวสะอาดดั่งหิมะออกไป
มั่วชิงเฉินอึ้งงัน ที่แท้ท่านอาจารย์ก็รู้นี่เอง!
ยื่นมือไปรับขนนกปักแซมลงบนเส้นผม เสียงเล็กน้อยที่แว่วเข้ามาในหูดูชัดเจนมากยิ่งขึ้นตามคาด จมูกไวยิ่งขึ้น เพียงอาศัยแค่ลมหายใจที่แตกต่างกันของต้วนชิงเกอและตู้รั่ว ก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
กลับมาถึงยอดเขาลั่วเถา เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งรีบแต่งหน้าทำผมให้มั่วชิงเฉินอย่างรวดเร็ว
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณจากสำนักต่างๆ ทยอยบินกันมา ไปรอเกี้ยวเจ้าสาวเป็นเพื่อนนาง
เมื่อถึงฤกษ์ ก็เห็นนกสีครามคู่หนึ่งลากเกี้ยวเจ้าสาวประดับโคมมาช้าๆ อยู่ไกลออกไป
“มาแล้ว มาแล้ว” เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น
อีกาไฟกระพือปีกขึ้นอย่างเบื่อหน่าย แล้วแผ่นเสียงเยาะ “ขี้ริ้วขี้เหร่เพียงนี้ มีดีอะไรกัน!”
หมาป่าน้อยพูดเสริมทันที “ก็ใช่นะสิ!”
เขาน้อยมองไปยังนกสีขาวซึ่งงดงามหาที่เปรียบมิได้ ก็พูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “เขาน้อยดูก็ว่าดีออก สวยจะตายไป”
อีกาไฟยิ้มเยาะแล้วพูด “อัป…อัปลักษณ์ไร้รสนิยม เจ้านกทึ่มสองตัวนั้น ไม่นานมานี้ยังเคยลากนักพรตจื่อซี ยังไม่ทันผลัดขน ก็มาลากนายท่าน ช่างหน้าด้านจริงเชียว!”
“อืม ฟังดูเหมือนมีเหตุผล” เขาน้อยกระพริบตา พูดขึ้นอย่างจริงจัง
ดวงตาน้อยๆ ของอีกาไฟเป็นประกาย เหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วยื่นปีกกวักเรียกอสูรวิญญาณอีกสองตัว กระซิบกระซาบอยู่สองสามคำ
“เช่น…เช่นนี้ก็ได้หรือ” เขาน้อยพูดขึ้นอย่างไม่สบายใจ
หมาป่าน้อยสีหน้าเยือกเย็น แล้วพูดขึ้น “ได้ เอาเช่นนี้แล้วกัน!”
ครั้นแล้ว เมื่อเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งยกตระกร้าดอกไม้โปรยด้วยกลีบดอกท้อ อีกคนก็สวมมงกุฎเจ้าสาวให้กับเจ้าสาว ทันใดนั้นก็พบว่านกสีครามสองตัวเริ่มสั่น แล้วหลับไปราวกับเมาสุรา
“อ๊ะ นกสีครามเกิดเรื่องแล้ว ทำ…ทำอย่างไรดี!” เหลียงเฉินร้องขึ้นด้วยความตกใจ
ในขณะที่ผู้คนลนลานรับมือไม่ถูก อีกาไฟก็ลุกขึ้นอย่างผยอง กระแอมแล้วพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าอย่าเพิ่งลนลาน ข้ามีวิธี”