“หือ อู๋เย่ว์ เจ้ามีวิธีการอะไรหรือ” เหลียงเฉินร้อนใจจนเท้าเต้น แล้วเหลียวมองมั่วชิงเฉินผู้นั่งอย่างภูมิฐานแต่แววตากลับเริ่มเขียวปัด
อีกาไฟเพลิดเพลินกับสายตาผู้คนที่จ้องมอง มันกระแอม แล้วพูดอย่างใจเย็น “จะลนลานอะไรกัน เจ้านกสองตัวนั้นใช้การไม่ได้ ทำไมไม่เปลี่ยนเสียเล่า”
เหลียงเฉินกระทืบเท้า ร้อนใจจนแทบน้ำตาไหล “แล้วจะไปหานกสีครามหนึ่งคู่มาจากที่ใดเล่า นกคู่นี้เพื่องานแต่งของนักพรตจื่อซีและนักพรตหมิงจ้าว อุตส่าห์ยืมมาจากนิกายเจิ้นโซ่วเชียวนะ”
อีกาไฟแค่นเสียงหัวเราะหนึ่งที “มีตาแต่ไร้แววเสียจริง ใครบอกกันว่าจำเป็นต้องเป็นนกสีครามเท่านั้นที่จะลากเกี้ยวได้”
นักพรตเหลียนเย่ว์ปากไวพูดตรง จึงพูดแทรกขึ้นว่า “ในสำนักมีอสูรวิญญาณ พอจะเทียบกับนกสีครามได้บ้างเล็กน้อย นักพรตลั่วหยางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ห่างจากงานมงคลของนักพรตหมิงจ้าวเพียงไม่กี่เดือน จะให้เลือกอสูรวิญญาณระดับต่ำกว่า คงดูไม่งามนัก”
อีกาไฟเดินลงฝ่าเท้าไปด้านข้างเขาน้อย แล้วใช้ปีกมันผลักตัวออกไป “พวกเจ้าดูสิ เขาน้อยเป็นอย่างไรบ้าง เขาน้อยคืออสูรเขาเดียว บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง ไม่ได้ด้อยไปกว่านกสีครามมิใช่หรือ”
เขาน้อยหน้าแดงขึ้นมา ได้แต่ก้มหน้าอย่างเขินอาย ใช้กีบเท้าสะกิดพื้น
รูปลักษณ์ของเขาน้อย ในสายตาของผู้คนคืออาชาสีขาวซึ่งตัวใหญ่สง่างามตัวหนึ่ง ดูอ่อนนุ่มละมุน บนหน้าผากมีเขาสีทองท่อนหนึ่งเป็นวงแสงส่องสว่างเป็นคลื่นภายใต้แสงตะวัน เปล่งประกายระยิบระยับ ที่โดดเด่นแตกต่างที่สุดคือดวงตาที่ต่างจากม้าสีขาวทั่วไปคู่นั้น เป็นประกายชุ่มฉ่ำ เวลาที่มองผู้คน ประหนึ่งว่าดีดเส้นสายพิณดวงใจสั่นไหว บรรเลงเป็นเพลงอันสูงส่งที่สุดไพเราะ
มันก้มหน้าด้วยความเขินอายเช่นนี้ ทำให้เหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรหญิงรู้สึกน่ารักเอ็นดู
“ว่าอย่างไรเล่า ตกลงพวกเจ้าว่าได้หรือไม่” อีกาไฟมองท่าทีตอบกลับของผู้คน แล้วเหลียวมองเขาน้อยด้วยความภาคภูมิ แอบคิดในใจว่า อ่อนหัดนัก แผนสัตว์อสูรงามของเจ้านี่ไม่เลวทีเดียว
“ได้สิ ได้สิ” ผู้บำเพ็ญเพียรอีกจำนวนไม่น้อยเคลิ้มตามพลางพูดตอบ
เหลียงเฉินถึงแม้นิสัยจะไม่ค่อยอยู่ในร่องในรอย แต่ก็ความคิดสัตย์ซื่อบริสุทธิ์ ได้รับผลไม่มาก จึงพูดขึ้นด้วยความสงสัย “เขาน้อยดีมากเลย แต่มีแค่หนึ่งตัว พิธีมงคลให้ความสำคัญกับการเป็นคู่ อย่างไรก็ไม่อาจให้เขาน้อยลากเกี้ยวเพียงลำพังมิใช่หรือ”
และด้วยเช่นนี้ ดูคนก็นึกขึ้นได้ มองไปยังเขาน้อย แล้วถอนหายใจยังผิดหวัง
อีกาไฟสาวเท้าเดินเข้าไปด้วยท่าทีสุขุมนุ่มลึก แล้วผลักหมาป่าน้อยหน้าตาดุดันนั้นออกไป “จะตัวเดียวได้เช่นใดกัน นี่ยังมีอีกตัวไม่ใช่หรือ”
หมาป่าน้อยสองขาคู่หน้าเดิมทียันพื้น นั่งตัวตรงนิ่ง ถูกอีกาไฟผลักออกไปก็ลุกขึ้นยืน ดูขนาดร่างกายแล้ว ก็นับว่าพอๆ กับเขาน้อย
เหล่าบรรดาหญิงสาวเมื่อได้เห็นหมาป่าน้อย ก็ตื่นกลัวจนกระโดดโหยง นิ่งเงียบอยู่นานไม่มีผู้ใดพูดจาออกมา
หมาป่าน้อยขยับจมูก หรี่ตาดูบรรดาหญิงสาวปราดหนึ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น “เป็นเช่นไรหรือ ข้าใช้ไม่ได้หรือ”
สีหน้าเช่นนั้น การเคลื่อนไหวของขาเช่นนั้น เป็นการบอกกับบรรดาหญิงสาวอย่างชัดเจนว่า หากผู้ใดกล้าปฏิเสธ มันก็จะกระโจนเข้าไปจัดการเสีย
ขั้นห้าอย่างหมาป่าน้อยไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่ปราณขั้นต้น อีกทั้งที่อยู่ที่นั่นล้วนแต่เป็นหญิงสาว ในวันมงคลใหญ่เช่นนี้ใครกันที่อยากจะปะทะกับหมาป่าสีดำตัวใหญ่นี้
มู่ชิงเฉินหน้าเขียวแล้วเขียวอีก โกรธอยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เสียงกระดิ่งแว่วมาจากไกลๆ บอกให้รู้ว่าพิธีฉลองก่อกำเนิดของเยี่ยเทียนหยวนสำเร็จลุล่วง
ต้วนชิงเกอมองไปยังมั่วชิงเฉินด้วยความเห็นใจ ฝืนปั้นหน้ายิ้มแล้วพูดออกไปว่า “ชิงเฉิน ได้ฤกษ์แล้ว จะรีรอไม่ได้แล้ว หรือว่า ลองฟังอู๋เย่ว์ดี”
ไม่รอให้มั่วชิงเฉินพูดตอบ อีกาไฟก็ตะโกนขึ้น “หมาป่าน้อย เขาน้อย เร็วเข้าๆ รีบเอาผ้าแพรต่วนสีแดงลากเกี้ยวมาสวม ไม่ทันแล้ว กระเช้าดอกไม้เล่า เหลียงเฉินเหมยจิ่ง พวกเจ้าอย่าลืมเอาไปด้วย แล้วก็นักพรตซู่เหยียน อย่าลืมเตรียมจอกสุราให้นายท่านของข้าด้วยล่ะ”
อีกาไฟเร่งเร้าเช่นนี้ เป็นโอกาสอันดีที่มันจะได้เป็นฝ่ายตะโกนเจ้ากี้เจ้าการออกคำสั่งบ้าง บรรดาหญิงสาวต่างกุลีกุจอขึ้นมาทันที แต่กลับลืมถามความคิดเห็นของมั่วชิงเฉิน มั่วหนิงโหรวประคองแขนเจ้าสาว เตรียมส่งนางขึ้นเกี้ยว
“อู๋เย่ว์ เจ้าเก่งจังนะ!” มั่วชิงเฉินตั้งสติได้ แล้วหายใจหืดหอบ คว้าเอาก้อนอิฐออกมา
ต้วนชิงเกอเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน กุมมือมั่วชิงเฉินเอาไว้ แล้วพูดกล่อม “ชิงเฉิน วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของเจ้า ไม่มีเจ้าสาวคนไหนหรอกที่ยอมคลาดฤกษ์มงคลจนไม่ได้แต่งงาน เพราะมัวแต่เอาก้อนอิฐไปไล่ปาอสูรวิญญาณของตน”
“ข้า…”
มั่วชิงเฉินกำลังจะพูดต่อ ก็มีพี่น้องร่วมสำนักสองสามคนเบียดเสียดกันเข้ามาประคองอุ้มนางขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไป แล้วพูดเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดต่างๆ นานา “ศิษย์น้องซู่เหยียนพูดถูกต้อง ศิษย์พี่ชิงเฉิง อย่าได้เสียเวลาอีกเลย ปล่อยให้ลั่วหยางเจินจวินรอต่อไป คงต้องมีคนหัวเราะเยาะแน่”
มั่วชิงเฉินแม้จะมองไม่เห็น แต่เพียงแค่จินตนาการภาพเขาน้อยและหมาป่าน้อยลากเกี้ยวไปด้วยกัน ก็รู้สึกราวกับถูกถ่มน้ำลายรดหน้า ไม่ได้การ น่าขายหน้าเสียเหลือเกิน นางจะยอมให้ใครหัวเราะเยาะไม่ได้เป็นอันขาด!
นางง้างประตูเกี้ยวไว้ แล้วดิ้นรนพยายามพูด “ไม่ได้ๆ ข้าไม่เห็นด้วยเป็นอันขาด…”
มั่วหนิงโหรวกลอกสายตาไปอย่างทนไม่ไหว แล้วพูดกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ชิงเฉิน อดทนหน่อยเถอะ อย่างไรเจ้าก็ไม่สามารถเดินไปลำพังได้ เกิดเป็นเช่นนั้น…ยิ่งน่าอับอาย…”
นี่หมายความว่า นางไม่สามารถหลีกพ้นจากความขายหน้าได้อย่างนั้นหรือ
ภาพเบื้องหน้าคือความมืดดำ นางถูกยัดเข้าไปในเกี้ยว
เหล่าหญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก ส่งสัญญาณให้รีบยกเกี้ยว ในขณะเดียวกันนั้นเองอีกาไฟก็กางปีกน้อยๆ ของมัน บินลงไปเกาะที่ลำคอเขาน้อย
ในวินาทีนั้น บรรดาหญิงสาวต่างอึ้งงัน บรรยากาศดูเงียบงันอึมครึมอย่างหน้าขนลุก
แล้วก็ได้ยินเสียงตวาดด่าของมั่วชิงเฉินแว่วออกมา “อู๋เย่ว์ เจ้าไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
หนึ่งสุนัขป่าหนึ่งอาชาลากเกี้ยวก็น่าขายหน้าพออยู่แล้ว ยังจะมีอีกาอ้วนกลมอีกตัวมานั่งอยู่บนคอม้าขาวหน้าตาไม่ชวนมองอีก สวรรค์ ให้นางตายไปเสียไม่ดีหรือ
อีกาไฟกอดคอเขาน้อยเอาไว้แน่น แล้วพูดขึ้นอย่างน้อยใจ “ไม่ไปๆ นายท่าน ข้าติดตามมาตั้งเนิ่นนาน เขาน้อยและหมาป่าน้อยไปส่งท่านออกเรือนได้ แล้วจะทิ้งให้อู๋เย่ว์ไว้ผู้เดียว ข้าช่างน่าเวทนานัก ฮือๆๆ…”
ยอดเขาโฮ่วเต๋อในอีกฟากหนึ่ง เห็นเจ้าสาวยังไม่ถึงเสียที ก็เริ่มมีผู้คนซุบซิบนินทา
เยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่บนแท่นสูงเงยหน้าขึ้นทอดสายตามองออกไปยังทิศตะวันออก แววตาเต็มไปด้วยความยินดี เปี่ยมด้วยความคาดหวัง และเจือด้วยความร้อนใจอย่างมิอาจปิดบังได้อยู่เล็กน้อย
เสวียนหั่วเจินจวินแคะหู แล้วพูดขึ้นพึมพำ “แปลกจัง ทำไมถึงได้ยินเสียงอีการ้องอยู่แว่วๆ”
ยอดเขาลั่วเถาที่อยู่อีกฟากนั้น อีกาไฟกำลังร่ายลีลาวาทะศิลป์อ้อนวอน พล่ามน้ำลายกระเซ็นไปทั่วทิศ พูดจนเหล่าบรรดาหญิงสาวรู้สึกว่าถ้าไม่ให้มันตามมาด้วย ผู้เป็นนายก็ดูจะใจจืดใจดำเกินไป
ด้วยคำพูดที่เกลี้ยกล่อมซึ่งแฝงด้วยน้ำเสียงเวทนาต่ออีกาไฟอยู่หลายรอบ มั่วชิงเฉินจึงได้สะบัดมืออย่างเหนื่อยหน่าย “ไม่ต้องพูดแล้ว ไปกันเถอะ”
นางรู้ดีว่าสิ่งผิดพลาดควรรีบแก้ไขไม่ใช่ฝืนดื้อรั้น นึกไม่ถึงว่าเมื่อเป็นตัวเอง อารมณ์ความรู้สึกจะรุนแรงเช่นนี้
เทือกเขาฟังจูได้หักร้างถางพงจัดสถานที่เฉพาะแห่งหนึ่งขึ้นเพื่อสำหรับผู้บำเพ็ญที่ไม่ได้รับเชิญเพื่อเข้ามาร่วมงาน ผู้คนมากมายราวกับเวิ้งทะเล ต่างชะเง้อคอมองเข้าไปยังด้านทิศตะวันออก
ไปออกไปนั้น มีเงาสีดำค่อยๆ ปรากฏขึ้น ใกล้เข้ามาเรื่อย
“มาแล้ว มาแล้ว” ฝูงชนเริ่มเคลื่อนไหว
“พวกเจ้าได้ยินกันหรือยัง ว่ากันว่าเจ้าสาวยังสวยกว่านักพรตซู่เหยียนผู้บำเพ็ญเพียรคนงามอันดับหนึ่ง ตั้งสามส่วน คราวนี้ล่ะ ข้าจะเบิกตาดูให้ชัดเลย” มีคนตะโกนร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“จริงหรือ” มีคนสงสัย
“เลิกโวยวายได้แล้ว เดี๋ยวอีกสักครู่ได้เห็นก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ จะว่าไปแล้ว ธรรมเนียมของสำนักบำเพ็ญพรตก็ดีไปอย่าง เจ้าสาวไม่ต้องคลุมแดงผ้าปิดหน้า”
“ใช่แล้ว คราวนี้ พวกเราจะได้มีบุญตากับเขาบ้าง”
ทันใดก็มีคนก็โห่ด้วยความประหลาดใจ “ไอ้หยา พวกเจ้าดูสิ นั่น นั่นอะไรกัน”
ภายใต้สายตานับหมื่นจับจ้อง อสูรวิญญาณสองตัวขาวหนึ่งดำหนึ่งดูช่างสะดุดตาอย่างยิ่ง ผู้คนต่างตาเบิกโพลงโดยไม่รู้ตัว สายตาจดจ้องไปยังพวกมัน
“นั่น…นั่นมันอะไรกันแน่” คนจำนวนไม่น้อยถามขึ้นด้วยสีหน้าอึ้งเหม่อ
“เหมือนจะ…เหมือนจะเป็นม้าขาวหนึ่งตัว แล้วยังมีหมาป่าหนึ่งตัว” มีคนขยี้ตาไม่เชื่อสายตาตนเอง และก็พบว่าไม่ได้ตาฝาด
ผู้บำเพ็ญเพียรผู้มีสายตากว้างขวางคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นว่า “นั่นไม่ใช่ม้าขาว นั่นคือสัตว์อสูรเขาเดียว สัตว์อสูรเขาเดียวระดับหกนะ!”
“หมาป่าโลภฟ้าหรือ” ท่ามกลางฝูงชน มีผู้บำเพ็ญเพียรผู้หนึ่งยืนขึ้นโดยใช้มือไขว้หลัง มองไปยังสุนัขป่าน้อยไม่ละสายตา แล้วพูดพึมพำ
ทันใดนั้น สายตาของผู้คนก็มองไปยังลำคอของเขาน้อย ทำสีหน้าไปคนละอย่าง “ไอ้เจ้าก้อนดำๆ นั่นคืออะไร”
ดวงตาของอีกาไฟที่กำลังหรี่มองในตอนแรก เริ่มรู้สึกอึดอัดจนยากจะบรรยาย สำหรับมันแล้ว การส่งตัวมั่วชิงเฉินออกเรือน ก็ทำให้มันรู้สึกมีความสุขราวกับตนได้ออกเรือนไปด้วย แต่คำพูดทำลายบรรยากาศที่แว่วมาจากฝูงชนด้านล่างนั้นกระทำให้มันหน้าบึ้งตึง ตาของมันเบิกโพลงขึ้นมาทันใด ประกายฉายออกมาจากตา “ก้อนอะไรกัน ไร้แววตากันนัก ไม่เคยเห็นอีกาผู้สูงส่งสง่างามเช่นนี้มาก่อนหรือ ต่อให้พญาหงส์เจ็ดสีเห็นข้า ยังต้องอายหลบเลย ความงามของข้า พวกชาวบ้านสามัญชนอย่างพวกเจ้าจะมีปัญญาเชยชมหรือ”
มั่วชิงเฉินกุมหน้า ตอนแรกนางไม่กลัวเสียหน้าแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะน่าอับอายถึงเพียงนี้!
ผู้คนที่อยู่ด้านล่าง กลับเงียบขึ้นมาทันทีเสียเฉยๆ มีเพียงเสียงสายลมที่พัดหวิวเท่านั้น
มั่วชิงเฉินมองอะไรไม่เห็น สัมผัสได้เพียงว่ามีคลื่นพลังวิญญาณเคลื่อนไหวอยู่ด้านหน้า แต่ไม่มีกลิ่นอายของวิญญาณชีวิต จึงถามเหม่ยจิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ เบาๆ ว่า “เหม่ยจิ่ง เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เหม่ยจิ่งเป็นคนรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้พิธีเข้าคู่บำเพ็ญเกิดเหตุอะไรขึ้น มั่วชิงเฉินจึงได้บอกเรื่องที่ตนมองไม่เห็นกับนาง
สักครู่ใหญ่ เหม่ยจิ่งจึงได้สติกลับ กดเสียงต่ำ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดูสั่นเครือเบาๆ “คุณหนู จู่ๆ มีพญาหงส์เจ็ดสีสองตัวลงมาจากฟ้า”
มั่วชิงเฉินเผยอปาก ไม่ได้พูดจาสิ่งใด
“คุณหนูเจ้าคะ” เหม่ยจิ่งเห็นมั่วชิงเฉินนิ่งไป ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินสะบัดมืออย่างอ่อนแรง “ไม่มีอะไร ต่อให้พญาหงส์สองตัวนั้นเห็นบอกว่าอู๋เย่ว์เป็นแม่บุญธรรมของพวกมัน ข้าก็ไม่ประหลาดใจหรอก ไปบอกให้เขาน้อยและหมาป่าน้อยให้เร็วเข้าหน่อย!”
เกี้ยวเจ้าสาวประดับโคมลอยผ่านกลางอากาศ นานอยู่ครู่หนึ่ง ฝูงชนจึงได้ถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนขึ้นมา
จากเขาน้อยถึงหมาป่าน้อย จนไปถึงอีกาไฟและพญาหงส์เจ็ดสี ต่างถกเถียงกันจนครบ ในที่สุดก็มีคนรู้สึกตัวแล้วร้องขึ้น “แย่แล้ว พวกเรามีใครเห็นหน้าตาเจ้าสาวบ้างไหม”
ผู้คนต่างเงียบงัน
คลื่นพลังวิญญาณอันแข็งกล้าแผ่เข้ามา เจินจวินระดับก่อกำเนิดสองสามคนนั่งอยู่บนแท่นสูงมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างห้ามไม่ได้
“ภรรยาคนนี้ของลั่วหยาง ช่างทำให้คนคอยเป็นห่วงเสียจริง ทำอะไรแผลงๆ อีกเล่านี่…” เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดกก ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลง ลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว
ไกลออกไปนั้น พญาหงส์เจ็ดสีคู่หนึ่งเกี่ยวคอกันแล้วแยกออก โบยบินร่ายรำไปกลางอากาศ แพนหางอันยาวเฟื้อยส่องลำแสงเจ็ดสี แสงวิญญาณหลากสีเหล่านั้นหยุดนิ่งกลางอากาศ กลายเป็นสะเก็ดไฟร่วงโปรยลงมา แล้วเลือนหายไป ทั่วทั้งลานโฮ่วเต๋อ ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยดวงแสงเจ็ดสี ราวกับอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน
เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักพรรพต่างๆ จำนวนมาก ต่างลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ
ลานโฮ่วเต๋ออันกว้างใหญ่ กลับเงียบสงบขึ้นมาชั่วพริบตา