เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับหน้าแดงระเรื่อตามปกติแล้ว เขาแค่รู้สึกว่ารอยนิ้วมือในการตบครั้งนี้มันช่างขัดตาเกินไป จนฝ่ามือใหญ่กำไว้แน่นอย่างไม่พอใจ
เธอสบตาเขา และพยายามฮึดพละกำลังในการขยับปากเล็กน้อย พลันยิ้มอย่างแผ่วเบา จากนั้น ก็มองไปทางนักข่าวทุกข่าว
“สิ่งที่พวกคุณสร้างความเดือดร้อนให้ผมไในวันนี้ ผมมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องความรับผิดชอบกับพวกคุณ เตรียมตัวรอได้เลย!”
แม้ว่าลมหายใจจะอ่อนระทวยก็ตาม แต่สีหน้ายังหนักแน่นมาก เมื่อสิ้นเสียง เธอก็ใช้ปลายนิ้วกำชายเสื้อของเขาไว้แน่น พลันเงยหน้าขึ้น และกัดฟันพูด “เจ็บท้องมาก โรงพยาบาล…”
เมื่อได้ยินดังนั้น นัยน์ตาดำสองข้างพลันโลดโผนด้วยความโกรธเคือง ออกัสสาวเท้ายาว และไม่มีการหยุดชะงักแต่อย่างใด พร้อมทั้งเดินมุ่งหน้าออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นดังนั้น บรรดานักข่าวที่อยู่ด้านหลังก็ต่างเริ่มขยับฝีเท้าตาม เพื่อต้องการจะไปจากที่นี่ เพราะประธานออกัสช่างน่าเกรงขามเหลือเกิน รีบหนีไปจากที่เกิดเหตุจะดีกว่า
ออกัสหยุดเท้าลงทันที พลันหันกลับมา พลางมองสวนกลับไป นัยน์ตาไร้ความรู้สึกแต่อย่างใด พลันพูดเสียงแข็งกร้าว
“ทุกท่านจะไปไหนกัน? ผมยังต้องการจะเลี้ยงน้ำชาทุกท่านอยู่เลย ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ออกจากห้องทำงานนี้แม้แต่ก้าวเดียว…”
โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
เชอร์รีนถูกเข็นเข้าห้อง ICU และยังไม่ออกมาเลย ร่างกายสูงโปร่งของออกัสเอนพิงกับกำแพง ท่าทางเย็นชา ดั่งมีความมืดหม่นฉาบปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
“พี่…ตอนนี้พี่สะใภ้เป็นยังไงบ้างแล้ว?”
เลอแปงเพิ่งจะเห็นข่าวก็รีบแจ้นมาทันที เสื้อผ้าชุดทำงานก็ยังไม่ได้เปลี่ยน สีหน้าเป็นห่วงเป็นใย ตอนที่กำลังพูดอยู่นั้น คุณหมอก็ผลักประตูห้องผ่าตัด และถอดหน้ากากออก “ประธานออกัส…”
“อาการเธอเป็นอย่างไรบ้างครับ?” ร่างกายของ ออกัสยืดตรงทันที พร้อมทั้งขมวดคิ้วเอาไว้ด้วย
“ยังดี แม้ว่าจะมีเลือดออก แต่โชคยังดีที่ตอนกระแทกนั้นไม่ได้แรงมาก พักผ่อนไม่กี่วันก็จะหายแล้ว”
คุณหมออ้าปากพูด พร้อมทั้งสั่งกำชับกลับมา “เพราะว่าตอนนี้ตั้งท้องอยู่ ควรระมัดระวังกับทุกอย่าง เก็บไปคิดบ้างก็ดีนะ”
จากนั้นก็หันตัว เขาจ้องหน้าเลอแปง “นายไปห้องพักคนป่วย ดูแลพี่สะใภ้ของนายให้ดี…”
เลอแปงพยักหน้า และถามกลับ “แล้วพี่จะไปไหน?”
“ไปจัดการเรื่องบางอย่าง…” เขาขยับริมฝีปากบาง และหรี่ตาลง
ผ่านไปนานพอควร เชอร์รีนที่นอนอยู่บนเตียงแพขนตาก็เริ่มขยุกขยิก ดวงตาค่อยๆ ลืมขึ้น
เมื่อเห็นดังนั้น ใบหน้าหนุ่มหล่อวัยละอ่อนเลอแปงแสดงอาการดีใจออกมาอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งตื่นเต้นไปด้วย พร้อมทั้งกำฝ่ามืออันนุ่มนิ่มไร้กระดูกของเธออยู่ในฝ่ามือตนเองแน่น
“เด็กล่ะ?” เธอออกปากถามอย่างร้อนรน พร้อมทั้งหายใจอย่างติดขัด
“ไม่เป็นไรแล้ว คุณหมอพูดว่าคุณกับเด็กไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แค่พักผ่อนอีกสองสามวันก็ดีแล้ว”
ชั่วพริบตาเดียว เขาก็ถามกลับอย่างไม่ไว้ใจ “มีตรงไหนรู้สึกว่าไม่สบายไหม? ให้ผมเรียกหมอมาดูอาการไหม? หิวน้ำ หรือเปล่าครับ?”
ระหว่างคนสองคน เขาจงใจไม่เรียกเธอว่าคุณครูเชอร์รีน แต่เรียกว่าพี่สะใภ้แทน
ความอัดแน่นดั่งก้อนหินที่เคว้งคว้างอยู่ในอากาศ เชอร์รีนถึงถอนหายใจโล่งอก ความเคร่งเครียดที่ตรึงแน่นทั้งตัวพลันผ่อนคลายลงทันที
เธอส่ายหน้าไปมา จากนั้นเธอก็ไอออกมาทำท่าเหมือนไม่ค่อยสบาย หลายครั้งหลายครา ทั้งแหบพร่าและมีอาการคอแห้ง
วินาทีต่อมา ฝ่ามือใหญ่ของเลอแปงพลันค่อยๆ ตบแผ่นหลังของเธอ พร้อมทั้งพูดอย่างระมัดระวัง “เจ็บไหม?”
“ไม่เป็นไรเลอแปง แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายช่วงคออยู่บ้าง ตอนนี้ดีขึ้นบ้างแล้ว”
ระหว่างที่พูดอยู่ เชอร์รีนก็ใช้สายตากวาดตามองไปทั่วห้องคนไข้ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงา จนเกิดอาการผิดหวังขึ้นมาในใจอย่างแรงกล้า
จังหวะนั้นเอง พลันมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา สุนันท์เป็นคนโทรเข้ามาเลอแปงเป็นคนกดรับสาย
“เลอแปงตอนนี้โทรศัพท์ของพี่ชายแกจะโทรติดไหม?” น้ำเสียงของสุนันท์ฟังดูท่าไม่ค่อยดี
เลอแปงฟังน้ำเสียงออก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย “แม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เปิดโทรทัศน์แล้วแกก็จะรู้เรื่องเอง ยังมีอีก ติดต่อกับพี่ชายแกเลย ให้เขากลับมาที่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ก่อนเลย!”
ส่วนในบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์เวลานี้
ทับทิมนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก มองซ้ายที มองขวาที มีความสุขอย่างท่วมท้น คนมีเงิน มันไม่เหมือนกันเลย
“เชอร์รีนพูดว่ายังไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหน รอให้เธอกลับมา แล้วค่อยโทรศัพท์หาคุณ ดีไหม?” คิ้วอันงดงามของ สุนันท์ขมวดเข้าหากัน
“ไม่เป็นไร ฉันมีเวลา รอเธออยู่ที่นี่เดี๋ยวค่อยกลับไปก็แล้วกัน มีกาแฟไหม?” ทับทิมยังคงสำรวจโดยรอบ
“เอากาแฟมาแก้วหนึ่งสิ” สีหน้าของสุนันท์แสดงความหมายรังเกียจอย่างไม่มีการปิดบัง
……
เมื่อโทรศัพท์วางสายไปแล้ว เลอแปงยังคงแปลกใจอยู่ จนต้องเปิดโทรทัศน์ทันที
เชอร์รีนเองก็มองไปอย่างแปลกใจเช่นเดียวกัน เห็นแค่เพียง ออกัสยังคงสวมใส่เสื้อสเวตเตอร์สีเทา และเผชิญหน้าท่ามกลางนักข่าว ริมฝีปากบางแสยะยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา และค่อยๆ ปรับเป็นสง่างามขึ้นช้าๆ
“ในฐานะที่เป็นภรรยาของผม แต่กลับมีข่าวลือว่าไปให้ท่าพวกเขางั้นเหรอ? สำนักข่าวที่ปล่อยข่าวนี้ออกมา รู้สึกว่าผมออกัสยังสู้พวกเขาไม่ได้เหรอ?”
บรรดานักข่าวต่างมองหน้ากันไปมา แต่กลับไม่ยอมพูดจาอะไรออกมา
คนที่มีตาต่างรู้ดีว่า ผู้หญิงคนนั้นในเมืองsจะยอมไม่เข้าไปให้ท่าออกัส แต่กลับไปให้ท่าผู้ชายประเภทไหนเหรอ?
ซึ่งมันไม่มีความเป็นไปได้สักนิด ถูกไหม?
แต่ ที่ทำให้พวกเขายิ่งหวาดหวั่นมากกว่านั้นก็คือ ตกลงว่าประธานออกัสไปแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่ต่างหาก?
“ไม่ทราบว่า ประธานออกัสไปแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วงานแต่งงานจัดที่ไหน?” ในที่สุดก็มีนักข่าวที่กล้าหาญชาญชัยพูดคำถามที่ทุกคนต่างสงสัยอยู่ในใจที่สุดออกมา
เขาย่นคิ้วหากัน พร้อมทั้งใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่กลับทุ่มพลังลงไปด้วย รัศมีที่แผ่ออกมาจากร่างกายราวกับเป็นราชาแห่งโลก ซึ่งไม่สามารถยั่วอารมณ์ได้
“’ งานแถลงข่าวก็จะจัดงาน แต่เรื่องข่าวที่ลือกันหนาหูในวันนี้ ตกลงว่าใครเป็นคนสร้างข่าวบิดเบือนนี้ขึ้นมา ผมจะสืบหาต้นตอให้ได้!”
โทรทัศน์ถูกปิดลง ความคิดของเชอร์รีนกลับเตลิดเปิดเปิงไปเรื่อย แถมยังตะลึงอยู่
ที่แท้ ความรู้สึกที่มีผู้ชายคนหนึ่งช่วยยันท้องฟ้าทั้งผืนเอาไว้ให้กับคุณมันเป็นแบบนี้เอง มันทำให้คุณรู้สึกไร้กังวล เพราะเรื่องในสิ่งที่คุณกังวลอยู่ มันไม่ถล่มลงมา
แต่ว่า เมื่อคิดถึงประโยคที่นักข่าวคนนั้นพูดออกมาต่อหน้าเขาแล้ว หัวคิ้วของเธอขยับเล็กน้อยอย่างอดเสียไม่ได้
“ในฐานะที่เป็นภรรยาของผม แต่กลับมีข่าวลือว่าไปให้ท่าพวกเขางั้นเหรอ? สำนักข่าวที่ปล่อยข่าวนี้ออกมา รู้สึกว่าผมออกัสยังสู้พวกเขาไม่ได้เหรอ?”
คำพูดที่แสนเย่อหยิ่งและอวดดีเช่นนี้ เกรงว่ามีแค่ออกัสคนเดียวที่สามารถพูดออกมาได้ อีกทั้งสามารถทำให้ฝูงชนเชื่อสนิทใจโดยไม่มีเงื่อนไข
ห้องทำงานในโรงเรียน
กล้องบันทึกเทปของบรรดานักข่าวหยุดถ่ายแล้ว ออกัสหันใบหน้าอันหล่อเหลาอันลึกซึ้งของเขา พลางจ้องมองนักข่าวคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด “ภาพที่เพิ่งถ่ายได้เมื่อครู่ กรอภาพให้ผมดูสักครั้ง”
นักข่าวไม่กล้ามีปากมีเสียง พลันเปิดกล้องบันทึกเทปทันที ภาพมันเริ่มตั้งแต่เข้ามาในห้องทำงานแล้ว
หัวใจของนลินเต้นอย่างบ้าคลั่ง เธอกลัว ว่าออกัสจะเจอร่องรอยอะไรขึ้นมา
เธอเกิดอาการประหม่า สายตาของเธอมองภาพเหตุการณ์นั้นทันที มือของเธอก็บีบเข้าหากันจนแน่นตามสัญชาตญาณ พร้อมทั้งหัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ ตาม
แต่ว่า ยังดี ที่การกระทำของเธอนั้นเป็นธรรมชาติมาก แค่เล็กน้อย ดังนั้นจึงมองไม่เห็นความผิดแปลกอะไร
บวกกับ ตอนนี้คนเบียดเสียดยัดเยียดกันมากมายเป็นพิเศษ โดยส่วนใหญ่คือด้านหน้าแน่นด้านหลังก็เบียดเข้าหา เลยมองไม่เห็นว่าตกลงใครเป็นคนก่อเรื่อง ในที่สุด ก็วางใจไปเปลาะหนึ่ง
เมื่อเปิดกล้องบันทึกเทปได้แล้ว นัยน์ตาอันลึกซึ้งของออกัสกวาดตามองไปยังทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้น แต่กลับไม่ได้พูดอะไร จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน และเดินออกไปยังด้านนอกของห้องทำงาน
แต่ว่า เมื่อเดินผ่านด้านหน้าของคุณหญิงเกตุแก้วแล้ว เขากลับหยุดฝีเท้าเอาไว้ และใช้สายตาเฉียบแหลมมองลงบนตัวของเธอ พร้อมทั้งเงียบขรึมอยู่ชั่วครู่ ราวกับต้องการจะทิ่มแทงเธอทั้งตัว
คนที่อยู่รอบๆ ต่างเงียบฉี่ ความโอ้อวดโกรธแค้นของคุณหญิงเกตุแก้วพลันมลายหายวับไปทันที ขนาดยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ
ผ่านไปชั่วครู่ สายตานั้นก็มลายหายไป ขาเธออ่อนระทวย จนใกล้จะยืนไม่ไหวและลงไปนั่งกองกับพื้นแล้ว