การแสดงออกบนใบหน้าของเสี่ยวหลัวมืดหม่น แค่การมากินหม้อไฟ กลับมาเจอคนแบบนี้ เขาช่างอับโชคเสียจริง

จาง ซูซาน เขาลดท่าทางของเขาและโบกมือด้วยรอยยิ้มที่น่าอึดอัดใจ เขาประนีประนอมกับชายที่ชื่อ ชานซี

“คนสวย ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว คุณไปทำงานของคุณเถอะ” จาง ซูซาน พูดกับ ฮวาง รั่วหราน

“แต่คุณ …”

“มันไม่สำคัญ มันยังมีที่ว่างเหลือพออยู่ นอกจากนี้พวกเราเกือบที่จะทานกันเสร็จแล้ว ฉันแค่ต้องอดทนอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง” จาง ซูซาน ขัดจังหวะคำพูดของเธอด้วยรอยยิ้ม

ฮวาง รั่วหราน เธอพยักหน้า แล้วเดินออกไป ในใจของเธอในตอนนี้ค่อนข้างรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน่อย

ทันทีที่เธอจากไปเรื่องก็จบลง เมื่อชายคนที่ชื่อ ชานซี เห็นว่า จาง ซูซาน ไม่หือไม่อืออะไร เขาก็หยิ่งยโสมากขึ้น เขาถ่มน้ำลายลงบนพื้นเบื้องหน้าของ จาง ซูซาน จากนั้นเขาก็นั่งลงและพูดกับเพื่อนๆ ของเขาต่อด้วยเสียงอันดัง“มันก็แค่ไอพวกขี้แพ้คนหนึ่งเท่านั้น พวกเราไม่ต้องไปสนใจมันหรอกคุยกันต่อเถอะ”

“ชานซี คุณเป็นลูกผู้ชายมาก!” ผู้หญิงคนหนึ่ง พูดด้วยรอยยิ้มที่ประจบประแจง

ชานซี คว้ามับเข้าที่ต้นขาสีครีมของเธออย่างแรงและยิ้มอย่างสนุกสนาน “โอ้ใช่? จริงๆงั้นเหรอ?” เขาหยอกล้อ

“ใช่ มันเพราะความเป็นลูกผู้ชายของคุณ ฉันจึงชอบคุณมาก” ผู้หญิงคนนั้นพูด พร้อมกับขยับเข้ามาใกล้เขาด้วยรอยยิ้มที่เย้ายวน

“เจ้าผึ้งตัวน้อย ฉันจะทำให้เธอกรีดร้องจนตายเมื่อเรากลับไป!” ชานซี หัวเราะด้วยความเบิกบานใจ ในขณะที่เขาบีบไปคางแหลมของผู้หญิงคนนั้น

“คุณอย่าซนมากนักสิ!”

ผู้หญิงคนนั้นผลักมือของผู้ชายออกไปและหัวเราะอย่างสนุกสนาน

“ฮ่าๆๆๆ !”

ชายอีกสามคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน พวกเขาพากันหัวเราะออกมา

เมื่อเปรียบเทียบกับ เสี่ยวหลัว และ จาง ซูซาน ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว พวกเขานั้นเงียบกว่ามาก

เสี่ยวหลัวเขารู้จัก จาง ซูซาน ดีและเสี่ยวหลัวก็รู้ด้วยว่าเขาไม่ใช่คนแบบนี้ ที่หลังจากถูกรังแกและจะไม่ทำอะไร ตามที่คาดไว้ ทันทีที่ จาง ซูซาน กินเนื้อสัตว์ทั้งหมดเสร็จ เขาก็ส่งสัญญาณให้ เสี่ยวหลัว ด้วยสายตาที่บอกว่าได้เวลาแล้ว

จาง ซูซาน ดื่มเบียร์ลงไปอึกใหญ่และลุกขึ้นยืนในทันที เขายกหม้อที่เต็มไปด้วยน้ำซุปเดือดแล้วหันหลังกลับไป พร้อมกับสาดมันลงบนหัวของ ชานซี

“อ๊ากกกก!”

เสียงกรีดร้องที่น่าเวทนาดังขึ้น ชานซี รู้สึกราวกับหนังศีรษะของเขากำลังถูกฉีกขาดแยกออกจากกัน ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรยายได้ก็ส่งผ่านไปทั่วทั้งร่างกายของเขา

ชายทั้งสามตกใจอย่างมาก พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า จาง ซูซาน ที่พวกเขาดูถูกจะลงมือโจมตีในทันที แบบนี้ ความเหี้ยมโหดของคนคนนี้มันทำให้พวกเขาตกตะลึง ผู้หญิงทั้งสองคนก็กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว

“ไอเหี้…ย แกกล้ามาดูถูกฉันงั้นเหรอ!!”

จาง ซูซาน เตะลงบนใบหน้าของชายผู้ที่กำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเขาก็ยกเก้าอี้และนำมันไปทุบตีคนที่กำลังกรีดร้องอย่างแรง ในพร้อมกับตะโกนเสีงดัง“ฉันอารมณ์ดีในวันนี้ แต่แก กลับมาทำลายอารมณ์นั้นของฉัน! แกเชื่อหรือไม่ว่า ฉันจะทำให้แกไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้!”

เมื่อถูกทุบตีด้วยเก้าอี้และถูกเตะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายคนนั้นที่นอนอยู่บนพื้นก็ร้องโหยหวนออกมาราวกับหมูที่ถูกเชือด

เสี่ยวหลัวทำเพียงยกคิ้วขึ้นและจิบน้ำส้มของเขาต่อไป นี่แหละคือ จาง ซูซาน ที่เขาคุ้นเคย – เมื่อตอนที่เขาใส่สูท เขาก็จะเป็นพลเมืองดี แต่เมื่อไหร่ที่ถอดสูทออกละก็ เขาก็จะกลายไปเป็นอันธพาลในทันทีเช่นกัน

ในตอนที่เขาอยู่ในวิทยาลัย เขาได้ต่อสู้กับคนมาไม่น้อยเลย แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ในช่วงปีแรกที่พวกเขาทะเลาะกัน มันเป็นเพียงเพราะว่า จาง ซูซาน นั้นชอบสูบบุหรี่ในหอพัก แต่เสี่ยวหลัวเขานั้นไม่ชอบยืนสููดดมบุหรี่มือสองต่อจากใคร และจากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ลงเอยด้วยการทะเลาะกัน

แต่หลังจากการที่พวกเขาต่อสู้กัน มันไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้พวกเขาห่างเหินกันเท่านั้น แต่มันกลับทำให้ความผูกพันของพวกเขากลับแน่นแฟ้นขึ้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของวลีที่ว่า“มิตรภาพย่อมเกิดขึ้นจากกำปั้น!”

“แกร๊ก~”

เสียงแหลมของกระดูกที่แตกหักดังขึ้น มันทำให้เสี่ยวหลัวกลับมาสู่ความเป็นจริง

เมื่อมองอย่างตั้งใจ ก็จะห็นว่า จาง ซูซาน ทุบตีจมูกของชายคนนั้นจนบิดเบี้ยวไปหมดแล้วและตอนนี้ชายคนนั้นก็กรีดร้องออกมาด้วยเสียงที่ฟังดูไม่เหมือนกับเสียงของมนุษย์เลยสักนิด ร่างกายของเขากระตุกศีรษะของเขาเอียงไปที่ด้านข้างและจากนั้นเขาก็เป็นลมสลบไป

จนถึงตอนนี้ ชายทั้งสามเพิ่งได้สติกลับมา พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะหนี แต่เสี่ยวหลัวไม่ยอมให้พวกเขาทำเช่นนั้น เสี่ยวหลัวออกตัวพุ่งไปข้างหน้าและถีบไปที่โต๊ะอย่างแรง เท้าของเขาราวกับมีกำลังมากถึงสองพันปอนด์ โต๊ะสี่เหลี่ยมถูกถีบออกไปราวกับมันถูกวัวกระทิงชนเข้าอย่างรุนแรง มันบีบให้ชายทั้งสามคนชิดเข้าติดกับกำแพง จนพวกเขาไม่สามารถที่จะขยับตัวได้เลย

ผู้หญิงทั้งสองคนกรีดร้องออกมาเสียงดัง เสียงร้องโหยหวนของพวกเธอ ดึงดูดความสนใจของลูกค้า ทุกคนที่อยู่ในร้านอาหารหม้อไฟในทันที

“จะกรีดร้องหาสวรรค์วิมาน อะไรหา! หุบปากไปซะ!”

จาง ซูซาน ชี้ไปที่พวกเธอด้วยนิ้วมือของเขา พร้อมกับตวาดเสียงดังลั่น

พวกเธอรู้สึกกลัวมาก พวกเธอหยุดกรีดร้องในทันที และมองไปที่ จาง ซูซาน ด้วยความหวาดกลัว

จากที่ไกลๆ ฮวาง รั่วหราน ก็เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้เธอเคยคิดว่า จาง ซูซาน จะประนีประนอมจริงๆ เธอไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เมื่อมนุษย์ได้มารวมตัวกันเป็นกลุ่มก็มักที่จะหยิ่งผยอง ผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเสี่ยวหลัว ไม่มีคนที่ดีเลยสักคนจริงๆ

จาง ซูซาน ยังคงไม่พอใจ เขายังต้องการที่จะทุบตีชายที่อยู่บนพื้นอีกสองสามครั้ง แต่เสี่ยวหลัวห้ามเขาเอาไว้ก่อน เสี่ยวหลัวขมวดคิ้วและพูดว่า“พอแล้ว! ผู้ชายคนนี้จะต้องเข้าไปอยู่ในไอซียูแน่ ถ้าแกยังจะตีเขาต่ออีก!”

“ไอเชี้ยเอ้ย ฉันไม่ได้โกรธขนาดนี้มาหลายปีแล้ว ไอเหี้…ยนี่จะต้องถูกทุบตีจากฉัน มันถึงจะหลาบจำ!” จาง ซูซาน ตะโกนเสียงดัง เขาโกรธมากจนเส้นเลือดบนหน้าผากของเขาโป่งออกมา

เสี่ยวหลัวเขาเหลือบไปเห็นพนักงานของร้านอาหารหม้อไฟ มองมาที่นี้โดยที่ในมือของพวกเขากำลังถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้อยู่ จากเก้าในสิบพวกเขากำลังโทรเรียกตำรวจอย่างแน่นอน เมื่อเห็นสิ่งนี้ เสี่ยวหลัวก็หยิบเสื้อของ จาง ซูซาน ขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วก็ยื่นให้ จาง วูซาน แล้วพูดว่า “ได้เวลาไปแล้ว”

แน่นอนว่า จาง ซูซาน ไม่ใช่คนโง่ เขาจะไม่อยู่ที่นี่เหมือนคนโง่ที่รอให้ตำรวจมาจับกุมเขา

เขาโยนเสื้อของเขาอย่างสง่างามพาดลงบนบ่า เหมือนกับสวี่เหวินเฉียงที่หลุดออกจากในภาพยนตร์เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้อย่างไรอย่างนั้น ก่อนที่จะจากไปเขาโบกมือให้กับพวกลูกค้าที่กำลังสับสนและมึนงง ที่อยู่ในร้านอาหารหม้อไฟ: “อย่าบูชาพี่คนนี้มากเกินไป เพราะสิ่งที่ฉันทำ มันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น มันไม่ใช่ตำนานอะไร อย่ามองมาที่ฉันแบบนั้นสิ เพลิดเพลินกับอาหารของพวกคุณไปเถอะในขณะที่มันยังร้อนอยู่!”

ผู้ชายขี้โม้คนนี้เป็นใคร?

เขาสงบนิ่งขนาดนี้หลังจากที่เกือบฆ่าใครบางคนไปได้อย่างไร เขาราวกับหลุดออกมาจากหนังเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้อย่างไรอย่างนั้น! ใจของเขาใหญ่แค่ไหนกัน!

หลังจากที่เขาจากไป ลูกค้าทั่วทั้งร้านอาหารหม้อไฟทั้งหมดก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย

ฮวาง รั่วหราน ก็ตกตะลึง เธอยังไม่สามารถฟื้นจากอาการช็อคได้เป็นเวลานาน

******

หลังจากออกจากร้านอาหารหม้อไฟ จาง ซูซาน ก็ขับรถไปที่ชานเมืองพร้อมกับเปิดหน้าต่างซันรูฟและเปิดเพลงเสียงดังพร้อมกับขับรถไปตลอดทาง

“เฮ้ ขับช้าลงหน่อยเพื่อน!”

เสี่ยวหลัว ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆคนขับรู้สึกไม่ปลอดภัยเอาซะเลยในตอนนี้ เขาคิดว่ารถสามารถพลิกคว่ำได้ทุกเวลา

“แก…..พูด…..อะไร ฉัน…..ไม่….ได้……ยิน!” จาง ซูซาน ตะโกนผ่านเสียงเพลงที่ดังก้อง

“ฉันบอกให้แก ขับช้าลง!”

ตอนนี้เสี่ยวหลัว รู้สึกราวกับว่าเขากำลังบินด้วยความเร็ว 130 ไมล์ต่อชั่วโมง ความเร็วขนาดนี้มันเป็นอันตรายต่อชีวิตอย่างชัดเจน

“ฉัน … ไม่ได้ยิน … ! ฮ่าๆๆ!” จาง ซูซาน หัวเราะอย่างตื่นเต้น

ในขณะที่เสียงเพลงอึกทึกดังก้องอยู่ในหูของเขา จาง ซูซาน ก็ร้องเพลงไปพร้อมกัน “ถ้าฉันเป็นดีเจคุณจะรักฉัน … คุณจะรักฉัน … ”

เขาร้องเพลงตลอดเวลา เพื่อระบายที่ไม่ดีออกไป

ตอนนี้เสี่ยวหลัวก็มีความรู้สึกที่หดหู่อยู่ในใจอยู่มากเหมือนกัน เขาต้องได้รับการระบายอย่างเร่งด่วน เขาเริ่มโยกตัวไปตามเสียงเพลง ตอนนี้เขาไม่สนแล้วว่ามันจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์หรือไม่

เสียงเพลงดังอึกทึกสั่นสะเทือนอยู่ในอากาศรอบตัวพวกเขา เสี่ยวหลัว รู้สึกเหมือนเขากำลังอยู่ในห้องเต้นรำอย่างไรอย่างนั้น ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเขาเริ่มเดินทางไปในเส้นทางที่แสนมหัศจรรย์

นี่แหละคือความตื่นเต้นที่ฉันต้องการ! ฉันต้องการความตื่นเต้นที่บ้าคลั่งแบบนี้!

เสี่ยวหลัว ในที่สุดก็เข้าร่วมร้องเพลงกับดีเจอย่าง จาง ซูซาน พวกเขาร้องเพลงไม่ได้เพื่อจะแข่งว่าใครเสียงดีกว่ากัน พวกเขาร้องเพลงเพื่อแข่งว่าใครจะเสียงดังกว่ากันต่างหาก! พวกเขาจะไม่หยุดจนกว่าเสียงของคนใดคนหนึ่งจะพังทลาย!!