บทที่ 419 เดินทัพ
บทที่ 419 เดินทัพ
เมื่อเซียวเฟิงเดินออกมาจากวิหาร เขาก็ต้องพบว่าที่ด้านนอกวิหารตอนนี้ แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
กรร!
มังกรแห่งแสงทั้งสองตนกำลังบินโฉบต่ำลงมาใกล้หุบเขารวมถึงร้องคำรามจนกังวานไปทั่วฟ้าด้วย
นอกจากนั้นทั้งสองฝั่งทางเดินยังถูกเรียงรายไว้ด้วยอัศวินศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ชุดเกราะเป็นประกายอย่างหนาแน่นด้วย แม้ว่าชุดเกราะพวกนั้นจะไม่ได้ระดับสูงอะไรนัก แต่ก็ถือว่าพวกเขามีอุปกรณ์ที่ครบมือกันทุกคน
ไกลออกไปยังมีมอนสเตอร์ระดับสูงรูปทรงคล้ายเทวทูตที่รับคำสั่งจากวิหารแห่งแสง กำลังจัดขบวนทัพและรวมตัวกันอยู่เสมือนทัพหน้า
บิชอปโจลีฟและแม่ชีรูธต่างก็ยืนอยู่ที่ด้านหน้าทางเข้าวิหารทั้งคู่ ด้านหลังพวกเขามีกลุ่มของนักบวชระดับสูงกำลังสวดอะไรบางอย่างกันด้วยเสียงเบาอยู่
ครืน
ทันใดนั้น วิหารศักดิ์สิทธิ์ก็สั่นสะเทือนก่อนที่กลุ่มของสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์จะพากันเดินออกมาจากภายในวิหาร พวกมันเป็นกลุ่มของยักษ์ที่สูงกว่าสามเมตร โดยเฉพาะตัวที่เป็นผู้นำสูงมากถึงห้าเมตรเลยทีเดียว
ยักษ์เหล่านี้สวมชุดเกราะโบราณ และภายในมือของพวกมันก็มีดาบขนาดใหญ่ทรงล้าสมัยอยู่ด้วย ร่างกายที่ของยักษ์พวกนี้ดูแข็งแกร่ง สังเกตได้จากผิวที่เหมือนหินผาของพวกมัน
“พวกเขาเหล่านี้คือไททันที่ยังเหลือรอด เมื่อครั้งที่เกิดสงครามศักดิ์สิทธิ์ขึ้นครั้งสุดท้าย พวกเขาได้เข้าร่วมกับสัมพันธมิตรแห่งแสงเพื่อต่อกรกับพวกทัพแห่งความมืดด้วยกัน จากนั้นก็ถูกทำให้หลับใหลมาตั้งแต่จบสงครามครั้งนั้น การที่พวกเขาตื่นขึ้นมาในวันนี้ ก็เพราะพวกเราได้ทำการปลุกขึ้นมาเพื่อให้กลายเป็นกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของวิหารแห่งแสง!” บิชอปโจลีฟกล่าวแนะนำด้วยน้ำเสียงที่ราวกับกำลังคิดถึงความหลังเก่า ๆ
เซียวเฟิงใช้ทักษะการตรวจสอบระดับสูงเพื่ออ่านข้อมูลของยักษ์เหล่านี้ในทันที ทำให้เขาเห็นว่าพวกยักษ์ทั้งหลายคือไททันจริง ๆ จากชื่อที่ปรากฏอยู่เหนือหัว
เคร้ง ๆ
เสียงของชุดเกราะกระทบกันไปมายังคงดังมาจากภายในวิหารแม้ว่าเหล่าไททันจะเดินออกมากันหมดแล้ว จากนั้นไม่นานเจ้าของเสียงอย่างพาลาดินที่สวมเกราะอัศวินทมิฬตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ได้ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาถือดาบทรงโบราณแต่ยังคงไว้ซึ่งความมันเงา ทุก ๆ ก้าวที่พาลาดินเหล่านี้ย่ำเดินแสดงให้เห็นถึงความมีระเบียนวินัยเป็นอย่างมาก
“ส่วนพวกเขานี้คือ ภาคีพาลาดินโบราณที่มาจากนครศักดิ์สิทธิ์ครับ ว่ากันว่าพวกเขาเหล่านี้อยู่รอดมาได้ถึงหมื่น ๆ ปีและผ่านสงครามศักดิ์สิทธิ์มามากมาย! แน่นอนว่าฐานันดรของเขาเองก็ทรงพลังและสูงส่งกว่าข้ามาก ๆ อีกด้วย แต่พวกเขาแข็งแกร่งมาก ๆ เลยนะครับ! ตลอดมานี้เขาประพฤติตัวอยู่ในศีลโบราณมาโดยตลอดและอยู่ภายในวิหารแห่งนี้ไม่ได้ไปใน คอยทำความสะอาดภายในอยู่เรื่อย ๆ”
คนพวกนี้คือพาลาดินจริง ๆ ถึงแม้ว่ารูปแบบของชุดเกราะจะดูเก่าแก่ แต่บิชอปโจลีฟก็แนะนำพวกเขาให้ฟังด้วยเสียงเบา
ในแววตาของเซียวเฟิงแสงความประหลาดใจเล็กน้อย นั่นเพราะเขาไม่สามารถตรวจสอบคุณสมบัติของเหล่าพาลาดินโบราณพวกนี้ได้ด้วยทักษะการตรวจสอบของเขา
สิ่งเดียวที่พอจะอธิบายได้คงมีเพียงแค่ ‘เพราะพาลาดินโบราณเหล่านี้แข็งแกร่งมาก ๆ เลเวลของพวกเขาอยู่เกินระดับที่เซียวเฟิงตรวจสอบได้’
อาจจะเป็นระดับเทพเจ้า หรือไม่ก็ระดับตำนานได้เลย!
น่ากลัวจริง ๆ!
“ร่างกายของข้าถูกชี้นำโดยแสงสว่าง! ดาบของข้าเองก็ถูกชี้นำโดยแสงสว่างเช่นกัน!”
พาลาดินศักดิ์สิทธิ์โบราณเดินเข้าเซียวเฟิงและกล่าวคำปฏิญาณกับเขาด้วยเสียงห้าวหาญ เซียวเฟิงไม่สามารถเลือกปฏิบัติสิ่งอื่นได้นอกเสียจากพยักหน้าราวกับยอมรับการกล่าวคำปฏิญาณนั้น
“นี่ข้าหลับมาถึงพันปีเชียวหรือนี่? ช่างเป็นการรอคอยที่เนิ่นนานจริง ๆ
กรร!”
ขณะนั้นเองแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นภายในวิหารก็เข้าสู่หายนะขั้นสุด ตามหลังจากทัพพาลาดินโบราณ อสูรกายขนาดยักษ์ตนสุดท้ายก็เดินตามออกมา และด้วยขนาดของมันนั้น แทบจะต้องทลายประตูออกมาเลย
มันเป็นอสูรสงครามที่ขนาดจัดว่าอยู่ในหมวดมหึมาเลยก็ว่าได้ ตัวของมันใหญ่กว่ามังกรแสงเสียอีก!
“เย็นไว้ก่อน ค่อย ๆ! อย่าได้ทำลายประตูวิหารของข้าเชียว!” บิชอปโจลีฟมองการเดินออกมาของอสูรยักษ์ตนนั้นด้วยความหวาดหวั่นก่อนจะหันไปแนะนำให้เซียวเฟิงรู้จักโดยที่สายตายังคงตื่นตระหนกอยู่
“นี่คือ โคโม่ ครับ เป็นสังฆราชของเหล่าอสูรนานาพันธุ์ที่เข้าร่วมกับสัมพันธมิตรแห่งแสง และเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่หลับใหลมาตั้งแต่สงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้ายด้วย”
เซียวเฟิงเคยได้ยินมาว่า อสูรโคโมโดตนนี้นั้นถือเป็นเครื่องจักรสงครามชั้นยอดเลย หากทำสงครามปิดล้อมเมือง ในแง่ของความสามารถนั้น แม้มันจะไม่ได้มีพลังโจมตีหรือสกิลที่รุนแรงเหนือกว่าอสูรตนอื่น ๆ แต่ในแง่ของพลังป้องกันและพลังชีวิตที่มากนั้น เรียกได้ว่าโดดเด่นมากทีเดียว
ไหนจะความสามารถพิเศษอย่าง สกิลที่เสริมให้การทำลายเมืองรุนแรงขึ้นของมัน ที่จะช่วยทำให้พลังในการทำลายตึกรามบ้านเมืองได้สบาย ๆ เหมือนกับกำแพงหรือประตูเมืองนั่นอีก
“พวกข้าต่างรอเวลานี้กันมานานมากแล้ว ท่านอาร์คบิชอป! ข้าหวังว่าท่านจะไม่ทำให้พวกข้าผิดหวังนะ!” มังกรแห่งแสงทั้งสองตนพูดพร้อมกันขณะกระพือปีกช้า ๆ และลงมายืนอยู่บนพื้นทั้งสองข้างของเซียวเฟิง
นี่เป็นทัพที่ทรงพลังมาก เหล่านักรบที่แข็งแกร่งที่พากันเดินออกมาจากวิหารทีละส่วน ๆ นั้นคือเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มีชีวิตรอดมาจากสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้าย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนไม่มาก แต่พลังในการต่อสู้ของพวกเขาก็นับว่าสูงจนน่ากลัว
พวกเขาถูกเรียกกลับมายังโลกใบนี้อีกครั้งจากการหลับใหลอันยาวนาน ไม่มีใครที่แสดงท่าทีหงุดหงิดที่ถูกปลุกขึ้นมาเช่นนี้ กลับกันพวกเขากลับเปี่ยมไปด้วยเลือดและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้!
ในเมื่อพวกเขาเกิดมาเป็นนักรบ ความสงบและการหลับใหลย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากการรอคอยมานานนับพันปี นักรบเลือดร้อนเหล่านี้จึงออกมารวมตัวกันได้โดยง่ายเพียงแค่ประโยคเดียว
“ถ้างั้นก็ลุยกันเถอะ!”
เซียวเฟิงมองพลังต่อสู้โดยรวมของเหล่าทัพที่อยู่ในหุบเขาอาทิตย์อัสดงตรงหน้านี้ พร้อมกับความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาจึงตัดสินใจโบกมือเพื่อให้เคลื่อนทัพ ยามที่ทัพขนาดมหึมาเริ่มออกเดิน แรงสั่นสะเทือนเฉกเช่นแผ่นดินไหวก็ทำเอาสภาพแวดล้อมรอบ ๆ พลอยสั่นสะเทือนตามไปหมด ขนาดที่เขานำหน้าขบวนนี้มาแล้ว เขายังรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ตามหลังมาตลอด
เส้นทางในหุบเขาอาทิตย์อัสดงนี้ค่อนข้างที่จะยาวมาก เมื่อครั้งที่เขาเข้ามากับแม่ชีรูธนั้น ชายหนุ่มต้องใช้เวลาเดินกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงปลายทาง ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันต่างออกไป เพียงแค่เดินมาได้แค่ 10 กว่านาที ก็ดูท่าว่าจะไปต่อไม่ได้แล้ว
สิ่งที่ปรากฏตัวขวางทางเขานั้น คือทัพของ NPC ที่หลัก ๆ เป็นนักบวชและซามูไร ที่ตรงกลางทัพเป็นปุโรหิตและมหาปุโรหิต พวกเขาเหล่านี้ปัดเป่าเหล่ามอนสเตอร์ป่ามาตลอดทางและมุ่งหน้าเข้ามายังจุดที่อยู่ลึกที่สุดของหุบเขาอาทิตย์อัสดงนี้ ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นมีอยู่มาก สังเกตได้จากขนาดเหล่ามอนสเตอร์ที่อยู่บริเวณนี้ยังไม่สามารถสกัดกั้นพวกเขาจนมาถึงที่นี่ได้
NPC เหล่านี้เป็นของเฮียรอนและจักรวรรดิ ก่อนหน้านี้เซียวเฟิงเคยเข้าไปในเฮียรอนอยู่ ดังนั้นเพียงแค่เหลียวมองเขาก็รับรู้ได้แล้ว
“ยังมีพวกวิหารแห่งแสงหลบซ่อนอยู่ในอาณาจักรของพวกเราจริง ๆ ด้วย!” ทั้งสองฝ่ายได้พบกันแล้วระหว่างเดินทัพ พวกเขาหยุดเดิน เป็นแม่ทัพฝ่ายเฮียรอน มหาปุโรหิต ที่เผชิญหน้ากับเซียวเฟิงพร้อมกับตะโกนออกมาเสียงดัง
“อาณาจักรแห่งนี้ไม่ต้อนรับพวกนอกรีต! ดังนั้นแล้วได้โปรด ออกจากอาณาจักรของพวกเราไปเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้นแล้วเฮียรอนแห่งชีวิต จะเป็นผู้ขับไล่พวกเจ้าเอง!”
เซียวเฟิงจับบิชอปโจลีฟที่ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรไว้แล้วพูดออกมาอย่างโผงผาง “นายไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น อยากเป็นตัวตลกให้พวกมันหัวเราะเยาะหรือไง? เลิกลังเลแล้วลงมือได้แล้ว!”
“ฮึก…ทุกตนภายใต้การชี้นำของวิหารแห่งแสง! แด่แสงสว่าง!” บิชอปโจลีฟที่ถูกเซียวเฟิงขัดคอไว้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันแล้วตะโกนออกมา
“แด่แสงสว่าง!” เหล่าสมาชิกของวิหารแห่งแสงภายในหุบเขาอาทิตย์อัสดงตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาถูกปลุกให้ลุกโชนขึ้นมามากขึ้นไปอีก
“ดูเหมือนว่าเฮียรอนแห่งชีวิตจำเป็นจะต้องใช้กำลังในการขับไล่พวกเจ้าสินะ! งั้นก็…โจมตี! ขับไล่พวกนอกรีตออกไปจากอาณาจักรให้ได้!” มหาปุโรหิตตะโกนสั่งการ
“กำจัดพวกมันซะ!” ท้ายที่สุด บิชอปโจลีฟก็พูดคำสั่งออกมาด้วยเช่นกัน
สิ้นเสียงคำสั่งจากทั้งสองฝ่าย ทัพของผู้มีความเชื่อต่างกันทั้งสองก็พุ่งเข้าปะทะกันทันที! โดยที่นักบวชและซามูไรเองก็ไม่ได้เกรงกลัวฝั่งวิหารแห่งแสงเลยด้วย
เซียวเฟิงไม่ได้เร่งรีบที่จะไปด้านหน้า เขาให้พาลาดินศักดิ์สิทธิ์กระจายตัวออกไปรับการปะทะของศัตรูจากทั้งสองฝั่ง ส่วนตัวเขานั้นก็ถอยออกมานิดหน่อยและเรียกเสี่ยวเสวียออกมาเพื่อทะยานขึ้นฟ้าไป ยามที่สายตาของเขาสามารถมองเห็นสนามรบทั้งหมดได้แล้ว เซียวเฟิงก็เริ่มโบกคทาทันที!
อวยพรอาวุธ!
พรความกล้า!
อวยพรชีวิต!
อวยพรชีวิต!
สี่บัฟขนาดใหญ่ถูกร่ายให้แก่ผู้เชื่อในแสงสว่างของวิหารศักดิ์สิทธิ์สาขาหุบเขาอาทิตย์อัสดงอย่างพร้อมเพียงกัน ทีละอย่าง ๆ และเมื่อบัฟถูกร่ายจนครบแล้ว เกราะของพวกเขาก็เปล่งประกายมากขึ้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาเองก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน!
บัฟของเซียวเฟิงนี้ทำให้สมาชิกของวิหารแห่งแสงสาขาหุบเขาอาทิตย์อัสดงต่างพากันตกตะลึง
“นี่มัน…นี่มัน…พลังแห่งทวยเทพ! โอ้ ขอบคุณในความเมตตานี้มาก ๆ เลยครับท่านเทพเจ้า! ในที่สุด ข้า โจลีฟ ก็ได้รับรู้ถึงพลังแห่งทวยเทพอีกครั้งแล้ว!”
บิชอปโจลีฟหลั่งน้ำตาออกมาอย่างหยุดไม่ได้ นี่มันเป็นน้ำตาแห่งความหลังเลยจริง ๆ
“โอ้..!”
มังกรแห่งแสงทั้งสองตนกับอสูรโคโมโดเองก็ร้องคำรามออกมาด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
“ความศักดิ์สิทธิ์คือนิจนิรันดร์! แสงสว่างจะอยู่กับเราตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต! ท่านอาร์คบิชอปจงเจริญ! ฆ่าพวกมันเลย!!”
แม้จะเป็นมื้ออาหารเพียงเล็กน้อย แต่มันก็ช่วยทำให้เหล่าสมาชิกของวิหารแห่งแสงมีพละกำลังและความฮึกเหิมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก พวกเขาตื่นเต้นและมุ่งเข้าจู่โจมใส่ทัพของเฮียรอนแห่งชีวิตด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ล้นทะลักออกมาจากร่างกาย
ไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้ ด้วยบัฟของเซียวเฟิงที่เพิ่มพลังให้แก่เหล่าทัพในทุก ๆ ด้าน มันทำให้สมาชิกของวิหารแห่งแสงสาขาหุบเขาอาทิตย์อัสดงสามารถเอาชนะทัพของเฮียรอนแห่งชีวิตได้โดยที่ไม่เสียใครไปเลย! แถมมันยังใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ! เนื่องจากพลังในการต่อสู้ของวิหารแห่งแสงนั้นสูงกว่าเฮียรอนแห่งชีวิตอยู่มาก แล้วไหนจะได้เซียวเฟิงคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลังอีก การต่อสู้ในครั้งนี้มันจึงง่ายเสียยิ่งกว่าลงดันเจี้ยนอีก
ในการศึกครั้งนี้ มีสองสิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง อย่างแรก นั่นคือ เซียวเฟิงตระหนักได้แล้วว่า พลังต่อสู้ของวิหารแห่งแสงนั้น มันอยู่สูงกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มาก ๆ ยกตัวอย่างเช่นพลังของบิชอปโจลีฟและเหล่าพาลาดินโบราณ ทั้งสองเป็นถึงบอสระดับตำนาน! สิ่งนี้มันคือความน่ากลัวที่ถูกซ่อนเร้นมาตั้งแต่แรก!
แล้วนอกจากแม่ชีรูธแล้ว ในทัพนี้ยังมีบอสอีกขั้นต่ำห้าตนที่เป็นระดับเทพเจ้า กับบอสขนาดเล็กอีกจำนวนนับไม่ถ้วน เหมือนกับเหล่านักบวชระดับสูงที่อยู่ใต้คำสั่งของบิชอปโจลีฟ แต่ถึงอย่างนั้นพวกบอสขนาดเล็กเหล่านี้ก็เป็นบอสระดับสูงเลเวล 50 กันทั้งหมด!
ส่วนสิ่งที่ต้องพูดถึงอย่างที่สอง นั่นคือสิ่งที่เป็นผลลัพธ์โดยตรงของการต่อสู้ครั้งนี้ นั่นคือ เลเวลของเซียวเฟิงเพิ่มขึ้นถึง 5 เลเวล และตอนนี้เขาก็อยู่เลเวล 45 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
เพราะเซียวเฟิงต้องเจอกับ NPC ระดับสูงในเฮียรอน พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นบอสและมีค่าประสบการณ์หากปราบลงได้ โดยเฉพาะมหาปุโรหิตที่เป็นเป้าหมายของเซียวเฟิงเองก็เป็นบอสที่ระดับสูงที่สุดในบรรดาบอสเหล่านี้ด้วย
เหล่าพาลาดินโบราณมีหน้าที่รับมือกับมหาปุโรหิต ดังนั้นเซียวเฟิงจึงตามพวกเขาไปเพื่อหาโอกาส และเมื่อจังหวะที่มหาปุโรหิตเหลือพลังชีวิตเพียงส่วนหนึ่งมาถึง เขาก็สั่งให้เหล่าพาลาดินโบราณหยุดโจมตีชั่วคราว เพื่อที่ตนเองจะได้ร่ายถ้อยคำแห่งเงาเข้าปิดฉากชีวิตของ NPC ตนนั้นไปอย่างสวยงามในที่สุด!
มหาปุโรหิตนั้นเป็นบอสระดับเทพเจ้าเลเวล 50 ดังนั้นค่าประสบการณ์ของ NPC ตนนั้นตนเดียวก็มากพอที่จะทำให้เซียวเฟิงอัปเลเวลได้ถึง 4 เลเวลแล้ว แล้วเมื่อเขาร่ายถ้อยวาจาแห่งเงาที่ทำให้มอนสเตอร์ หรือ NPC ทุกตนที่เป็นศัตรูได้รับความเสียหายได้อีก การเผอิญตายเพราะสกิลนี้ของ NPC บางตัวเลยทำให้เซียวเฟิงอัปเพิ่มอีก 1 เป็น 5 เลเวลจนได้!
นอกจากนี้ เมื่อตอนที่มหาปุโรหิตตายลงไป มันได้เกิดการระเบิดรุนแรงขึ้นมาก่อนจะกลายเป็นอุปกรณ์และเหรียญทองตกกระจายไปทั่ว แสงสว่างที่มาจากอุปกรณ์และอาวุธมีให้พบเห็นได้โดยรอบ แต่ที่น่าสนใจสุดดูจะเป็นแสงสีม่วงที่สว่างแพรวพราวนี้
มันเป็นแสงของอาร์ติแฟกต์! เจ้ามหาปุโรหิตนี่ดร็อปอาร์ติแฟกต์มาด้วย!
เซียวเฟิงรีบสาวเท้าเดินเข้าไปด้วยความตื่นเต้นก่อนจะรีบคว้าเอาสิ่งที่กำลังเปล่งประกายแสงสีม่วงนั้นขึ้นมา ทว่าเมื่อได้เห็นได้สัมผัสมันจริง ๆ สิ่งที่กำลังเปล่งแสงนั้นก็ทำให้เซียวเฟิงประหลาดใจ เพราะมันมีรูปร่างเป็นหนังสือ หนังสือที่มีสีดำเหมือนหนังสือจอมเวท
สีหน้าของเซียวเฟิงดูจะงุนงงสุด ๆ และหลังจากได้สติแล้วเขาก็รีบเปิดอ่านคุณสมบัติของสิ่งที่ดูเหมือนหนังสือต้องสาปเล่มนี้
คัมภีร์แห่งมหาปุโรหิต
ระดับ : อาร์ติแฟกต์
ประเภทของอุปกรณ์ : คทา
เลเวลของอุปกรณ์ : ไม่มี
สิ่งที่อุปกรณ์ต้องการ : ผู้เล่นคลาสนักเวท
คุณสมบัติ :
พลังเวท + (เลเวลของผู้เล่น x10)
ความแม่นยำ +30%
ความเร็วในการร่าย +30%
ความแข็งแกร่ง + (เลเวลผู้เล่น x2)
ค่าร่างกาย + (เลเวลผู้เล่น x2)
ความคล่องแคล่ว + (เลเวลผู้เล่น x2)
ค่าพลังเวท + (เลเวลผู้เล่น x2)
ค่าจิตวิญญาณ + (เลเวลผู้เล่น x2)
สกิล :
คัมภีร์มนตราโบราณ : สกิลติดตัว – ทุกสกิลเพิ่มระยะการใช้งาน 100% , เพิ่มระยะการร่าย 100%
คัมภีร์มนตราโบราณ : สกิลติดตัว – ทุกความเสียหายที่เกิดจากสกิลจะสร้างความเสียหาย 200% นับเป็นความเสียหายคริติคอลของพลังเวท
คัมภีร์มนตราโบราณ : สกิลกดใช้ – หลังจากสั่งใช้งานแล้ว คูลดาวน์ของทุกสกิลจะลดลง 80%, เวลาร่ายจะลดลง 80% เป็นเวลา 20 วินาที คูลดาวน์ 2 ชั่วโมง