บทที่ 420 ดินแดนแห่งผู้ถูกขับไล่
บทที่ 420 ดินแดนแห่งผู้ถูกขับไล่
สิ่งที่ดูเหมือนหนังสือต้องสาปเล่มนี้แท้จริงแล้วเป็นอุปกรณ์ประเภทคทาจริง ๆ มันมีคุณสมบัติที่ทรงพลังเอาเสียมาก ๆ ไม่ว่าจะด้วยการเสริมพลังเวทให้อย่างมหาศาล เพิ่มระยะสกิลและระยะการร่าย เพิ่มโอกาสติดคริติคอลเวทรวมไปถึงช่วยลดระยะเวลาในการร่ายและคูลดาวน์สกิลมากถึง 80% อีกด้วย
มันเปรียบเสมือนปืนใหญ่ดี ๆ ของเหล่าผู้เล่นคลาสนักเวทเลย!
มันกระตุ้นความต้องการเซียวเฟิงได้ไม่น้อยเลย แต่น่าเสียดายที่ว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้จำกัดไว้ให้แค่คลาสนักเวทเท่านั้น ดังนั้นต่อให้เขาจะชอบมันมากขนาดไหน มันก็ไร้ประโยชน์ คัมภีร์มหาปุโรหิตเล่มนี้ ชัดเจนแล้วว่ามันจะต้องกลายเป็นอาวุธให้ใครสังคนหนึ่งได้แน่ ๆ และมันจะทำให้ผู้เล่นคนนั้นกลายเป็นนักเวทที่น่ากลัวมาก ๆ
“โอ๊ะ จะว่าไปเหมือนคลาสของเซียวหลิงจะเป็นนักเวทสินะ”
ทันใดนั้นเองเซียวเฟิงที่ลูบคางคิดตามอยู่ก็คิดถึงเรื่องที่คนอื่นเคยเล่าให้ฟัง ซึ่งมันยังคงพอจะนึกออกได้บ้างแม้จะคลุมเครือก็ตาม
เพราะงั้นเซียวเฟิงจึงเปลี่ยนใจและหยิบเอาอาร์ติแฟกต์ชิ้นนี้ใส่กระเป๋าของตนไป ไว้กลับไปฮัวเซียได้เมื่อไหร่ค่อยดูว่าเซียวหลิงมีคลาสเป็นนักเวทหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ค่อยส่งต่อให้เธอ ยังไงเสียตั้งแต่ที่เธอเข้ามาในโลกของเกมนี้ เซียวเฟิงก็ยังไม่เคยให้อะไรเป็นของขวัญเซียวหลิงเลยเหมือนกัน
นอกจากอาร์ติแฟกต์ชิ้นนี้แล้ว มหาปุโรหิตยังดร็อปเครื่องประดับระดับเทพเจ้าไว้อีกหนึ่งชิ้น และที่เห็นเป็นแสงระยิบระยับออกมาจากตัวมันเพราะว่าเครื่องประดับเทพเจ้าชิ้นนี้มีลักษณะเป็นอัญมณีหรือไม่ก็ส่วนหนึ่งของสร้อยคอ เพียงแค่มองก็รู้ว่าอัตราการดร็อปของมันค่อนข้างจะยากมาก ๆ เลย และที่มันมาอยู่ตรงหน้าเซียวเฟิงได้ก็เพราะค่าโชคของเขาล้วน ๆ
คำอธิษฐานของผู้เสียสละ
ระดับ : เทพเจ้า
ประเภทอุปกรณ์ : ต่างหู
เลเวลอุปกรณ์ : 50
ข้อบังคับการใช้งานอุปกรณ์ : ไม่มี
คุณสมบัติ :
พลังชีวิต +150 หน่วย
มานา +150 หน่วย
เอฟเฟกต์ : เมื่อสวมใส่แล้ว ผลการฟื้นฟูจะเพิ่มขึ้น 5% จากพลังชีวิตสูงสุด และ 5% ของมานาสูงสุดต่อวินาที
สกิล :
อธิษฐาน : จุดศูนย์กลางอยู่ที่ตนเอง ฟื้นฟูพลังชีวิตและมานา 100% ให้แก่พันธมิตรที่อยู่รอบตัว คูลดาวน์ 12 ชั่วโมง
นี่นับว่าเป็นเครื่องประดับที่มีคุณสมบัติแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว ด้วยความสามารถในการฟื้นฟูที่สูงมากขนาดนี้ สมแล้วที่ ’คำอธิษฐานของผู้เสียสละ’ ชิ้นนี้ จะมีระดับสูงถึงขั้นเทพเจ้า เห็นได้ชัดเลยว่าพลังมันไม่ธรรมดาจริง ๆ
ความสามารถในการฟื้นฟู 1% ของพลังชีวิตทั้งหมดนั้นหากไม่โดนโจมตีล่ะก็ หลอดพลังชีวิตของคนคนนั้นก็แทบจะเต็มอยู่ตลอดเวลา ต่อให้กำลังอยู่ในการต่อสู้ มันก็ใช้เวลาเพียง 1 นาที 30 วินาทีเท่านั้นในการฟื้นฟูพลังชีวิตทั้งหมด แต่เมื่อออกจากการต่อสู้แล้ว ผลของการฟื้นฟูจะเพิ่มขึ้นอีก 5 เท่า นั่นหมายถึงเขาจะใช้เวลาในการฟื้นพลังชีวิตและมานาทั้งหมดที่หายไปได้ด้วยเวลาเพียง 20 วินาทีเท่านั้น
นอกจากนี้ มันยังช่วยเพิ่มค่าสถานะพื้นฐานทั้งพลังชีวิตและมานาให้อย่างละ 150 หน่วยอีกด้วย ไหนจะมีการฟื้นฟูแบบหมู่ที่สามารถใช้ได้ 2 ครั้งต่อวันอีก ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็ถือว่าทรงพลังมาก ๆ! สมแล้วที่เป็นระดับเทพเจ้า!
สิ่งเดียวที่อุปกรณ์ระดับเทพเจ้าชิ้นนี้ขาดไป นั่นคือสิ่งอำนวยความสะดวกที่อุปกรณ์ระดับเทพเจ้าชิ้นอื่น ๆ มักจะมีกัน นั่นคือความยืดหยุ่นในการสวมใส่ ผู้เล่นที่เลเวลไม่ถึงเลเวลของอุปกรณ์สามารถสวมใส่ได้โดยหักลบคุณสมบัติตามเลเวลที่น้อยกว่าไปตามอัตราส่วน
เพราะงั้นแล้วเซียวเฟิงจำเป็นต้องรอจนกว่าเขาจะถึงเลเวล 50 เท่านั้นถึงจะสามารถสวมใส่อุปกรณ์ชิ้นนี้ได้ ระหว่างนั้นเซียวเฟิงทำได้เพียงเก็บมันไว้ในกระเป๋าเท่านั้น
ในเมื่อ NPC ไม่สามารถฆ่า NPC หรือมอนสเตอร์ใด ๆ ได้ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรสูญเสีย และหลังจากที่กองทัพของเฮียรอนแห่งจักรวรรดิพ่ายแพ้ไป ตามพื้นที่สนามรบก็เหลือไว้เพียงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่เท่านั้น
ทว่าหลังจากได้ตรวจสอบดูแล้ว นอกจากอาร์ติแฟกต์และอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าอย่างละชิ้น ก็ไม่มีอุปกรณ์ชิ้นไหนเข้าตาเซียวเฟิงอีก นั่นเพราะมันดีไม่พอสำหรับเขา
สิ่งที่คิดว่าเป็น ค่าตอบแทน ที่คุ้มค่าที่สุดเห็นทีจะไม่ใช่อุปกรณ์ที่ดร็อปมา แต่เป็นการอัปเลเวลถึง 5 เลเวลนี่เลยต่างหาก! ตอนนี้เขาเลเวล 45 แล้ว!
อีกเพียงไม่กี่เลเวล ชายหนุ่มก็จะตามกระแสผู้เล่นหลักทันแล้ว!
ใช่แล้ว! ตอนนี้ผู้เล่นที่เลเวลสูงที่สุดในเซิร์ฟเวอร์น่ะ…
คนอย่าง ‘เทพเจ้าสายฟ้า’ เอง ก็เพิ่งจะเลเวล 47 เท่านั้น!!
และการที่เซียวเฟิงมีเลเวล 45 นั่นหมายความว่า เขาสามารถใช้งานคุณสมบัติของชุดเกราะพระเจ้าอวยพรนี่ได้ด้วยเช่นกัน! ถึงแม้จะได้เพียง 50% ก็ตาม!
ภายใต้ค่าสถานะพื้นฐานที่ทรงพลังของชุดเซ็ตพระเจ้าอวยพรนี้ มันทำให้ค่าสถานะพื้นฐานของเซียวเฟิงพลอยสูงไปด้วย ตอนนี้มันทะลุ 300 แต้มไปแล้ว!
นี่เป็นตัวเลขที่น่ากลัวมาก เพราะมันเกือบจะเทียบเท่าเมื่อครั้งที่เซียวเฟิงสวมชุดเกราะมังกรไว้เลย ที่ซึ่งค่าสถานะทุกย่างเกือบจะทะลุ 500 แต้มกันหมด!
แต่ข้อเสียเปรียบที่ยังคงเห็นได้ชัดก็ยังไม่ได้อุดไปแต่อย่างใด นั่นคือ ชุดเกราะเทพเจ้าอวยพรนี้เป็นเพียงอุปกรณ์ทั่ว ๆ ไปที่ไม่มีสกิลพิเศษ ดังนั้นต่อให้สถานะที่ได้จากมันจะสูง แต่ก็ยังไม่สามารถเทียบเท่าชุดเกราะมังกรได้อยู่ดี
ทว่าถึงอย่างนั้นแล้วตอนนี้เซียวเฟิงก็กลับมาอยู่ในจุดที่เรียกว่า ‘ไร้เทียมทาน’ ได้อีกครั้ง ต่อให้ผู้เล่นจากทั้งเขตฮันกึลมาล้อมเขาอีก เขาก็ไม่เกรงกลัวอีกต่อไป
หากเขาจำเป็นต้องรับมือกับสถานการณ์แบบที่เจอเมื่อครั้งอยู่ในป่ารัตติกาลอีกครั้ง เซียวเฟิงสามารถปล่อยวางได้เลย เพราะครั้งนี้เขาไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นด้วยพลังในการต่อสู้ระดับนี้!
“โฮ่! ข้าไม่ได้ต่อสู่แบบนี้มาร่วมพันปีแล้วหรือเนี่ย!”
“สบายตัวจริง ๆ! ผ่อนคลาย! สดชื่นสุด ๆ!”
“ท่านอาร์คบิชอปช่างน่าเลื่อมใสจริง ๆ!”
ระหว่างที่เซียวเฟิงกำลังมีความสุขกับอุปกรณ์และเลเวลที่ถูกพัฒนาขึ้นอยู่นี้ เหล่าสมาชิกวิหารแห่งแสงเองก็กำลังตื่นเต้นกันอยู่ พวกเขาตะโกนและร้องคำราม ความมีชีวิตชีวิตนี้ช่างแตกต่างจากความอึมครึมก่อนหน้าเมื่อครั้งที่เขามาถึงวิหารแห่งแสงที่นี่ครั้งแรกจริง ๆ
บิชอปโจลีฟเองก็เช่นกัน เขาดีใจ ตื่นเต้น และทำอะไรไม่ถูกขณะที่มองไปยังเซียวเฟิง เขาอยากจะเข้ามากล่าวชมชายผู้นี้เสียเหลือเกิน
“ปัดกวาดสนามรบซะ! เลิกดีใจกันก่อน!” เซียวเฟิงปรามเหล่าผู้คนที่กำลังดีอกดีใจเหล่านี้ไว้ก่อนเพราะเขานึกถึงเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้
“รับทราบครับ ท่านอาร์คบิชอป!” เมื่อได้ยินเสียงคำสั่งของเซียวเฟิง เหล่าสมาชิกของวิหารแห่งแสงก็พร้อมเพรียงและแยกย้ายกันไปจัดการเก็บซากตามสนามรบอย่างรวดเร็ว
“บิชอปโจลีฟ” ก่อนที่จะแยกกันไป เซียวเฟิงก็เรียกบิชอปโจลีฟออกไปด้านข้าง
“มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือครับ ท่านอาร์คบิชอป?” ชายชรามองเซียวเฟิงด้วยความเคารพและกล่าวถามด้วยความละม่อม
“จัดการชื่อสีแดงของฉันให้ที” เขาไม่รอช้าที่จะพูดจุดประสงค์ออกไป เพราะนี่เองก็เป็นเหตุผลหลักที่เขากลับมายังหุบเขาอาทิตย์อัสดงแห่งนี้ด้วย
เหลือเวลาอีก 12 ชั่วโมงสุดท้ายเท่านั้นก่อนที่อีเวนต์เซิร์ฟเวอร์จะมาถึง หรือพูดให้ง่ายกว่านั้น เซียวเฟิงเหลือเวลาครึ่งวันเท่านั้น และด้วยครึ่งวันนี้ เขาจำเป็นต้องล้างชื่อสีแดงของเขาให้ได้เพื่อกลับไปยังสนามประลองในเมืองจักรวรรดิต่อ ตอนนี้อันดับ 1,000 อยู่แค่เอื้อมแล้ว อย่างน้อยถ้ายังประลองต่ออีก 2 – 3 ชั่วโมง เขาก็น่าจะติดท็อป 5 ของสนามประลองได้ เพราะยิ่งอันดับของเขาสูงขึ้น แต้มชัยชนะที่ได้ก็จะสูงขึ้นด้วย
“เอ่อ…เอ่อ…ท่านอาร์คบิชอปผู้ยิ่งใหญ่ ข้าไม่มีพลังเช่นนั้นหรอกครับ…”
ครั้นเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าต้องการอะไร บิชอปโจลีฟก็หนาวสั่นขึ้นมาทั้งตัวทันที
“หา? นายเป็นถึงบิชอปแห่งวิหารแห่งแสง แต่นายกลับบอกฉันว่าไม่มีพลังในการล้างชื่องั้นเหรอ? แล้วแบบนี้ใครมี? แม่ชีรูธ?” เซียวเฟิงจ้องมองบิชอปโจลีฟกลับไปด้วยความสงสัยสุด ๆ
“ข้าไม่มีพลังเช่นนั้นจริง ๆ ครับ ท่านอาร์คบิชอป ค่าของบาปถูกควบคุมโดยท่านเทพผู้สร้าง และไม่อยู่ในขอบเขตพลังของวิหารแห่งแสงเช่นพวกเรา มีเพียงเฮียรอนประจำเมืองหลักแต่ละเมืองเท่านั้น ที่จะมีพลังนี้” ระหว่างที่พูดออกไป สีหน้าของบิชอปโจลีฟก็ดูหนักใจไม่คลาย
“เฮียรอนประจำเมืองหลักงั้นเหรอ?” เซียวเฟิงขมวดคิ้วอีกครั้ง ถ้าหากเขาสามารถเข้าไปยังเฮียรอนในเมืองหลักได้ล่ะก็ เขาคงไม่ต้องเลี่ยงเมืองหลักทุกเมืองแล้วหนีมาที่หุบเขาอาทิตย์อัสดงที่อยู่ห่างไกลเมืองจักรวรรดินี้หรอก
“แล้วถ้าไม่ใช่พวกนั้นล่ะ มีวิธีอื่นอีกหรือเปล่า?” หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว เซียวเฟิงก็ตัดสินใจถามออกไป
“อ้า พอจะมีอยู่บ้างครับ ท่านอาจจะต้องไปกำจัดพวกที่ถูกจักรวรรดิขับไล่อย่าง โจร หัวขโมยหรือไม่ก็อาชญากรที่อยู่ในประกาศจับอะไรพวกนี้ มันจะช่วยทำให้บาปของท่านถูกชำระล้างได้ไวยิ่งขึ้นครับ” บิชอปโจลีฟรีบหาทางรอดให้ตน
“ผู้ถูกขับไล่เหรอ? ที่ไหนน่ะ?”
เมื่อคิดตาม เขาก็ตระหนักได้ว่ามันมีวิธีนี้อยู่จริง ๆ เพราะในเขตฮัวเซียเองเขาก็พอจะเคยได้ยินวิธีนี้อยู่บ้าง มีผู้เล่นบางคนใช้การล่าโจรเหล่านี้เพื่อล้างชื่อสีแดง ตอนนี้เซียวเฟิงเองก็อยู่ในสถานะไม่ต่างกัน แถมเขายังมีค่าสถานะต่าง ๆ สูงขึ้นแล้วอีก ขนาดต่อสู้กับมอนสเตอร์ยังสบาย ๆ เพราะงั้นปราบโจรนั้นไม่เกินความสามารถหรอก ดังนั้นแล้วเซียวเฟิงจึงถามต่อ
“เท่าที่ข้ารู้มา เหล่าผู้ถูกขับไล่จากจักรวรรดิ จะอยู่ทางฟากเหนือครับ ส่วนเรื่องระยะทาง…” เมื่อเห็นว่าเซียวเฟิงไม่อารมณ์เสียใส่ บิชอปโจลีฟก็ยิ่งให้ความร่วมมืออย่างดีในการให้ตำแหน่งของสถานที่ดังกล่าว ซึ่งตัวเขานั้นจำสถานที่ที่ว่าได้เป็นอย่างดี เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยถูกไล่ไปที่นั่นมาแล้ว
“โอเค ถ้างั้น ฉันจะรีบไปตอนนี้เลย นายก็คอยนำทัพกลับไปวิหารก่อนก็แล้วกัน” เซียวเฟิงพยักหน้า
“เอ่อ…ท่านอาร์คบิชอปครับ ตอนนี้ทัพของเฮียรอนแห่งชีวิตที่อยู่ในเมืองเซียนรี่ก็ถูกทำลายไปแล้ว เพราะงั้นตัววิหารเองก็น่าจะร้างผู้คนด้วย อยากจะให้ยึดครองไหมครับ? ข้าจะได้เปลี่ยนไปบุกที่เมืองเซียนรี่ต่อแทน?”
อย่างไรก็ตาม บิชอปโจลีฟที่ไม่สามารถข่มความคึกคักที่ปะทุจากการต่อสู้ครั้งล่าสุดลงได้ก็ถามขึ้นมา เลือดนักสู้ของเขามันเริ่มพลุกพล่านอีกครั้งแล้ว ดังนั้นเขาจึงอยากจะสู้ต่อ
“นายกำลังหาเรื่องตาย ต่อให้ตัววิหารจะไม่มีคนอยู่แล้วก็จริง แต่เพราะตัววิหารยังอยู่ ดังนั้นเวทมนตร์เคลื่อนย้ายก็ยังทำงานอยู่ด้วยเช่นกัน อยากจะเป็นหมูในอวยให้พวกนั้นฆ่าหรือไง? ไม่กลัวโดนล้อมกรอบในถิ่นศัตรูบ้างเหรอ? เพราะงั้นอันดับแรก กลับไปที่วิหารก่อนแล้วอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวใด ๆ เดี๋ยวฉันจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จแล้วจะกลับไปที่นั่นด้วย”
ความเลือดร้อนไม่สมวัยของบิชอปโจลีฟนี้ทำเอาเซียวเฟิงพูดไม่ออกอีกครั้ง เขาได้แต่ปรามอีกฝ่ายไว้
“คะ…ครับ! เข้าใจแล้วครับท่านอาร์คบิชอป!”
บิชอปโจลีฟคิดตามและเริ่มเห็นภาพตามที่เซียวเฟิง ร่างกายของเขาสั่นเทาไปทั้งตัวพร้อมกับเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลพรากไปทั่วหน้า
เมื่อมั่นใจแล้วว่าทางด้านนี้จะไม่มีปัญหาอะไร เซียวเฟิงก็อัญเชิญเสี่ยวเสวียออกมา ทะยานขึ้นไปบนฟ้าแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังตำแหน่งที่บิชอปโจลีฟให้ไว้อย่างรวดเร็ว
ดินแดนผู้ถูกขับไล่นั้นไม่ได้อยู่ห่างไกลจากที่นี่นัก ด้วยความเร็วของเสี่ยวเสวีย เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็สามารถพาเซียวเฟิงข้ามเมืองหลักสองเมืองมายังจุดหมายได้อย่างง่ายดาย
[ท่านได้ค้นพบดินแดนแห่งผู้ถูกขับไล่ ค่าชื่อเสียงของท่านเพิ่มขึ้น +300!]
พื้นที่นี้เป็นเขตรกร้างเหมือนกับเมืองที่ยังสร้างไม่เสร็จและปล่อยให้ร้างคน บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยต้นไม้ที่งอกขึ้นมาตามกาลเวลา แต่แล้วขณะนั้นแล้ว เซียวเฟิงก็มองเห็นบางสิ่งบางอย่างจากบนท้องฟ้า เขาเห็นกลุ่มของมอนสเตอร์รูปร่างมนุษย์ โจรและหัวขโมยที่กำลังเดินไปมาอยู่
เสียงของระบบที่แจ้งเตือนทำให้เซียวเฟิงรู้ว่าเขามาถูกที่แล้ว เพราะงั้นเขาจึงไม่รอช้าที่จะดิ่งลงพื้นอย่างรวดเร็ว
“นี่มันเหมือนอะไรนะ…”
ทว่าเมื่อลงมายังดินแดนแห่งผู้ถูกขับไล่ เซียวเฟิงก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่สบายเนื้อสบายตัวไปทั่วทั้งร่างกาย มันทำให้ชายหนุ่มต้องแหงนหน้าขึ้นมองด้วยความสับสน แต่ก็ยังไม่เจอต้นเหตุใด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเซียวเฟิงก็ค่อนข้างมั่นใจว่าการคาดการณ์ของเขานั้นถูกต้อง ไม่มีทางที่บรรยากาศน่าพิศวงเช่นนี้จะเกิดขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
ความอึดอัดที่มันเกาะกินร่างกายเขาคือตัวยืนยันว่าเขาไม่ควรมองข้ามมันไป นอกจากนี้ บรรยากาศนี้มันยังทำให้เซียวเฟิงคุ้นเคยขึ้นมาอีก ราวกับว่า เขาเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เซียวเฟิงรู้สึกมันเพียงบรรยากาศเลือนรางเท่านั้น นอกเหนือจากสิ่งนี้ แม้จะรู้สึกถึงมันได้บ้าง แต่ก็ยังไม่พบอะไรที่ดูน่าสงสัย
“ฮ่า ๆ ดูซิว่าอะไรกันที่มาหาถึงหน้าประตู! เจ้าแกะอ้วนหลงทางนี่หว่า!”
เซียวเฟิงไม่สามารถครุ่นคิดได้นานนัก เพราะตอนนั้น กลุ่มของมอนสเตอร์รูปแบบมนุษย์ก็เข้ามาขัดเขาเสียก่อน
กลุ่มพวกนี้เป็นเหล่าหัวขโมยที่แต่เดิมเดินไปเดินมาอยู่รอบ ๆ บริเวณนี้ แต่เพราะเซียวเฟิงเข้ามาในเขตของพวกมัน พวกมันจึงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเดินเข้ามาหาช้า ๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ล็อกเซียวเฟิงเป็นเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว เหล่าหัวขโมยล้อมตัวเซียวเฟิงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้น จากนั้นตัวที่ดูเป็นหัวหน้าของหัวขโมยกลุ่มนี้ถึงได้ตะโกนออกมาเสียงดัง
เซียวเฟิงใช้ทักษะตรวจสอบตรวจดูมอนสเตอร์เหล่านี้อย่างรวดเร็ว และมันก็ทำให้เขาแอบตกใจนิดหน่อยเพราะว่ากลุ่มของมอนสเตอร์พวกนี้ เป็นถึงมอนสเตอร์ระดับสูงเลเวล 45 กันเลย โดยเฉพาะตัวที่เป็นหัวหน้านั้นเป็นถึงบอสระดับสูงเลเวล 45 เลยด้วย!
แต่เพราะในตอนนี้ เซียวเฟิงสามารถใช้ค่าสถานะของชุดเกราะเทพเจ้าอวยพรได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ดังนั้นพลังต่อสู้ของเขาจึงอยู่ในระดับน่ากลัวมากเลยทีเดียว
เขาไม่ได้เกรงกลัวกลุ่มของมอนสเตอร์ระดับสูงเลเวล 45 เหล่านี้เลย หากไม่ใช่ว่ามอนสเตอร์พวกนี้มาขัดจังหวะเขาคิดอะไรบางอย่างอยู่ เขาก็คงไม่รู้สึกรำคาญจนอยากฆ่าขนาดนี้ เพราะงั้นเห็นทีต้องสั่งสอนให้จบเร็ว ๆ!