อวิ๋นปู้หลัว “ข้าคือเจ้าสำนักอวิ๋นเยียน สำนักย่อยในแคว้นชาง ได้ยินมาว่าคุณชายมู่เป็นอัจฉริยะที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้จึงมาเยี่ยมเยือน คงจะไม่รบกวนคุณชายมู่หรอกกระมัง”
เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นปู้หลัวผู้นี้กล่าววาจาอ้อมค้อมกว่าบุตรสาวของเขามาก ทว่ามู่เฉียนซีก็ไม่อยากจะเสียเวลากับคนผู้นี้มากนัก
“เจ้าสำนักอวิ๋นมีอะไรก็ว่ามาตรง ๆ เถอะ”
อวิ๋นปู้หลัว “ข้าหวังจะให้คุณชายเข้าเป็นศิษย์ในสำนักอวิ๋นเยียน สำนักย่อยในเมืองชางของพวกเรา สำนักของพวกเราจะมอบทรัพยากรในการฝึกฝนกับคุณชายอย่างดีที่สุด เพื่อจะให้คุณชายได้ทะลวงพลังวิญญาณเป็นราชาแห่งภูตและจักรพรรดิแห่งภูตได้”
มู่เฉียนซีโบกมือมือพลางกล่าว “ข้าน้อยเป็นอิสระมาโดยตลอด อีกทั้งไม่เคยคิดจะเข้าเป็นศิษย์สำนักใด”
อวิ๋นปู้หลัว “ได้ยินมาว่าคุณชายมู่สนใจในการปรุงยา ขอเพียงคุณชายเข้าเป็นศิษย์ในสำนักของพวกเรา ข้าจะให้หัวหน้านักปรุงยาอย่างผู้เฒ่าหวงช่วยสอนและชี้แนะวิชาให้ เขาเป็นถึงนักปรุงยาระดับสูงเชียว”
ไม่มีอัจฉริยะในการปรุงยาคนใดอยากจะคารวะนักปรุงยาระดับสูงเป็นอาจารย์… เรื่องนี้มันยากเสียยิ่งกว่ายาก
เพื่อที่จะดึงชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์อันวิปริตมาเป็นพรรคพวก อวิ๋นปู้หลัวถึงขั้นต้องมายื่นข้อเสนอเช่นนี้ ทว่าเขาไม่รู้เลยว่าสิ่งเหล่านี้มู่เฉียนซีล้วนแต่ไม่ต้องการมัน
นางผู้ที่สามารถปรุงยาระดับเจ็บระดับแปดได้ด้วยตนเอง จำเป็นต้องเอานักปรุงยาระดับสูงมาเป็นอาจารย์ด้วยหรืออย่างไร ?
มู่เฉียนซีกล่าวเบา ๆ “ข้าต้องขอบคุณในน้ำใจของเจ้าสำนักมาก ตัวข้าน้อยไม่มีความคิดนี้เลย”
อวิ๋นปู้หลัวยังไม่ยอมแพ้ “คุณชายไม่คิดพิจารณาดูอีกทีหรือ ?”
มู่เฉียนซี “ข้าน้อยได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว”
เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนกัดฟันกรอด กล่าวว่า “บุตรสาวของข้าชื่นชมคุณชายมู่มานานแล้ว หากคุณชายมู่ยอมเข้าร่วมกับสำนักของพวกเรา ข้าจะยกบุตรสาวให้เป็นคู่หมั้นคุณชาย”
มู่เฉียนซีตกใจเกือบจะเป็นลมล้มพับไป ตาเฒ่าผู้นี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง บุตรสาวของเขามีความปรารถนาอันแรงกล้าอยากจะฉีกร่าง ‘มู่ซี’ ออกเป็นหมื่น ๆ ชิ้น เอาอะไรมาคิดว่านางจะชื่นชมในตัวมู่ซี
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเมินเฉย “บุตรสาวของเจ้าสำนัก เก็บไว้สร้างความเดือนร้อนให้คนอื่นจะดีกว่า ข้าน้อยมิบังอาจ”
เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนกล่าววาจากับมู่ซีเช่นนี้นับว่าเกรงใจมากแล้ว เขาคิดไม่ถึงอย่างสุดซึ้งว่ามู่ซีจะเยาะเย้ยด้วยท่าทางนิ่ง ๆ เช่นนี้ เจ้าสำนักอวิ๋นโกรธนัก ถึงแม้ว่าบุตรสาวของเขาจะมีข้อบกพร่อง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมากล่าววาจาดูหมิ่นเช่นนี้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ตามใจคุณชายมู่เถอะ!” ประกายแสงเย็นวาบผ่านดวงตาของอวิ๋นปู้หลัว
อัจฉริยะผู้นี้เขาไม่สามารถควบคุมไว้ในมือได้ อีกทั้งยังทำให้บุตรสาวเขาขุ่นเคืองใจ เขามีอัจฉริยะมากมายอยู่ในมือ ดูท่าแล้วก่อนที่เจ้าหนุ่มผู้นี้จะออกไปจากเมืองชางเฟิง คงต้องจัดการกำราบเขาให้สิ้นฤทธิ์
อวิ๋นปู้หลัวเดินจากไปด้วยความโกรธเคือง ทำให้เฟิงหลิงอวิ๋นรู้สึกเป็นกังวลใจเล็กน้อย
เฟิงหลิงอวิ๋น “มู่ซี อย่ามองว่าเจ้าสำนักอวิ๋นผู้นี้เป็นผู้มีน้ำใจ เขาเป็นคนใจแคบอย่างมาก วันนี้เจ้าไม่ตอบรับคำเสนอของเขา เกรงว่าต่อไปเขาจะลงมือเล่นงานเจ้าได้”
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ผู้นำหลิงอวิ๋น หากเขายื่นข้อเสนอนี้ให้เจ้า เจ้าจะตอบรับหรือไม่ ?”
เฟิงหลิงอวิ๋นส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่เด็ดขาด สำนักคุมขังเกินไป อีกอย่าง พวกเขาก็เป็นสำนักย่อยของสำนักอวิ๋นเยียน”
หลังจากที่ไล่อวิ๋นปู้หลัวไปได้ มู่เฉียนซีก็ไปสนทนากับเสี่ยวชีอย่างลับ ๆ
มู่เฉียนซี “เสี่ยวชี ข้ามีภารกิจที่อันตรายมากจะมอบให้เจ้าทำ หากเจ้ารู้สึกว่าทำไม่สำเร็จแล้วละก็ ข้าจะให้คนส่งเจ้าไปที่แคว้นจื่อเยี่ย แต่หากเจ้าทำได้ ก็ระวังตัวด้วย”
“นายท่านมีเรื่องอะไรว่ามาได้เลย”
“ข้าจะให้เจ้าฆ่าคน”
การฆ่าสังหารคนสักคนนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับเสี่ยวชี นับว่าเป็นเรื่องปกติเลยก็ว่าได้
มู่เฉียนซีหยิบใบรายชื่อออกมา กล่าวว่า “บุคคลในชื่อนี้ เจ้าจัดการได้หรือไม่ ?”
รายชื่อเหล่านี้เป็นเจ้านักอวิ๋นเยียน นอกจากเจ้าสำนักอวิ๋นเยียนในแคว้นชางแล้ว ยังมีรายชื่อของอัจฉริยะของสำนักย่อย ๆ ทั้งสี่แคว้นด้วย โดยเป็นอัจฉริยะรุ่นหนุ่มสาว
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นเจ้าสำนักย่อย ๆ ของสำนักอวิ๋นเยียนแล้วจะเอาพวกเขาอยู่ในรายชื่อสังหาร คนเหล่านี้ล้วนแต่เอาความเป็นอัจฉริยะมาเป็นเปลือกนอก แต่ความจริงแล้วกระทำเรื่องที่สิ้นมโนธรรมนับไม่ถ้วน
นางอดทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว อดทนรอที่จะแก้แค้นสำนักอวิ๋นเยียนไม่ไหวแล้ว
ใกล้จะถึงวันเกิดของอวิ๋นเฟิงแล้วมิใช่รึ ? เช่นนั้นก็ถึงเวลาเลี้ยงฉลองที่นางผู้นั้นทะลวงพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิได้แล้ว
ก่อนถึงวันเกิดอวิ๋นเฟิง มู่เฉียนซีต้องการจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ก่อนสักเล็ก ๆ น้อย ๆ
ทว่าสำหรับเสี่ยวชี มันเป็นการฝึกประสบการณ์อย่างหนึ่ง จิ่วเยี่ยเคยกล่าวเอาไว้ว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นนักฆ่า ต้องฝึกฝนการเข่นฆ่าคร่าชีวิตนับไม่ถ้วนจึงจะแข็งแกร่งขึ้นได้
เสี่ยวชี “นายท่าน เสี่ยวชีจะทำภารกิจที่นายท่านมอบหมายให้สำเร็จขอรับ”
ไม่มีความกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่สนใจว่าจะเป็นสำนักนิกายระดับหนึ่งของเซี่ยโจวอย่างสำนักอวิ๋นเยียน เสี่ยวชีพร้อมลงมือ
มู่เฉียนซี “ข้าไม่ยอมให้เจ้าเอาชีวิตไปทิ้งเปล่า เอาสิ่งนี้ไป หากบาดเจ็บอย่าได้ตระหนี่ถี่เหนียวไม่ยอมกินยาวิญญาณเหล่านี้ ต่อให้เจ้ากินเล่นราวกับกินลูกกวาด มันก็เพียงพอที่จะให้เจ้ากินได้ครึ่งปี”
มู่เฉียนซีมอบยาวิญญาณจำนวนมากให้กับเสี่ยวชี เสี่ยวชีเห็นพลันผงะไป แท้ที่จริงแล้วที่นายท่านพยายามอย่างสุดชีวิตกับการปรุงยามาหลายวันก็เพื่อที่จะปกป้องชีวิตของเขานั่นเอง
“และยังมียาพิษเหล่านี้เอาไว้ใช้เล่นงานศัตรู ข้าได้สอนการใช้พิษให้เจ้าแล้ว เจ้าคงเข้าใจดีว่าต้องใช้มันอย่างไร”
ยาวิญญาณ ยาพิษ อาวุธต่าง ๆ ช่างเหมาะกับเสี่ยวชียิ่งนัก
…
มู่เฉียนซีไปหาเฟิงหลิงอวิ๋น นางกล่าวถาม “ผู้นำกลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋น ที่เทือกเขาชีชง สัตว์ศักดิ์สิทธิ์บินได้มีอยู่ที่ใดบ้างหรือ ?”
เฟิงหลิงอวิ๋นผงะไปครู่หนึ่ง “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์บินได้รึ ? ฮ่า ๆ ๆ เจ้าถามถูกคนแล้ว การไปตามล่าหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในเทือกเขาชีชงนั้นค่อนข้างอันตรายนัก แต่ในเมืองชางเฟิงมีสถานที่ที่แลกเปลี่ยนซื้อขายสัตว์วิญญาณกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่บินได้อยู่ เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไรรึ ?” มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว
“เพียงแต่สัตว์วิญญาณกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นส่วนมากยังไม่ถูกฝึกให้เชื่อง โดยเฉพาะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ฝึกสัตว์นั้นหายากอย่างยิ่ง”
“โอ้! ไม่เป็นไรเลย”
มีพร้อมอยู่แล้วก็ดีเช่นกัน นางจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาในเทือกเขาชีชง
สถานที่ซื้อขายสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นลานกว้างใหญ่ เพียงเดินเข้าไปยังไม่ทันใกล้มากก็ได้ยินเสียงสัตว์คำรามออกมาจากด้านในนับไม่ถ้วน ทันทีที่มู่เฉียนซีกับเฟิงหลิงอวิ๋นเข้าไปในลานซื้อขายสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ก็เห็นอวิ๋นอี๋กับผู้เฒ่าผู้หนึ่งกำลังเลือกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่
เมื่ออวิ๋นอี๋เห็นมู่เฉียนซี ดวงตานางพลันลุกโชน นางกล่าวเย้ยหยันในทันใด “เจ้ามาที่นี่ทำไมรึ ? เจ้าคิดว่าเจ้าจะทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้งั้นรึ ?”
การที่คนผู้หนึ่งมีพันธัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัว นับว่าเต็มขีดจำกัดแล้ว หากมีมากกว่านี้ ก็คงจะเป็นการฆ่าตนเองตายเสียเปล่า ด้วยเพราะพลังจิตคงจะไม่เพียงพอที่จะควบคุมได้
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า… “คุณหนูใหญ่อวิ๋นคิดว่าข้าซื้อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้ตนเองได้อย่างเดียวหรือ ? ข้าจะซื้อให้เสี่ยวชี”
“ต่อให้เจ้าซื้อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปได้ ก็เกรงว่าจะหาผู้ฝึกสัตว์ไม่ได้ ไม่เหมือนเช่นข้า ท่านปรมาจารย์หม่าท่านนี้เป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์ของสำนักข้า รอให้ข้าหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะกับข้าได้แล้ว ท่านก็จะฝึกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้ข้า”
เมื่อเห็นมู่เฉียนซีมีพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ อวิ๋นอี๋อิจฉาอย่างที่สุด ดังนั้นนางจึงรบเร้ากับท่านพ่อของนางให้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อเชิญปรมาจารย์ฝึกสัตว์ท่านนี้มาจากสำนักใหญ่
ทว่าถึงอย่างไร มู่เฉียนซีสังเกตว่าท่าทางของปรมาจารย์หม่าเย็นชาเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เห็น ‘มู่ซี’ อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงแผ่วเบา “ไร้สาระสิ้นดี เสี่ยวชี เราไปเลือกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กันดีกว่า”
มู่เฉียนซีมองไปรอบ ๆ มุมปากค่อย ๆ ยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มก่อนจะชี้ไปที่กลุ่มสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม—นกยูงสามสี
“เถ้าแก่ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ราคาเท่าไหร่หรือ ?”
.