ตอนที่ 946 เพื่อนเก่าที่เหมือนจะรู้จักกันดี

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

อวี๋หมิงหลางเปิดไฟในรถ เสี่ยวเชี่ยนเพ่งมองตัวหนังสือบรรทัดหนึ่ง

“มีอะไรเหรอ?”

“ในหนังสือเขียนไว้ว่า จิตใต้สำนึกของมนุษย์มีอิทธิพลต่อจิตรู้สำนึกถึงสามหมื่นเท่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันได้ยินแนวคิดนี้”

ครั้งก่อนก็ เมื่อชาติที่แล้ว

“เกินจริงไปหรือเปล่า? สามหมื่นเท่า? ใครกันกล้าเขียนแบบนั้น?”

เสี่ยวเชี่ยนพลิกไปดูชื่อผู้เขียนที่หน้าปก “Halley—เขาเองเหรอ”

“ฮ่าๆ” เสี่ยวเฉียงหัวเราะ เขานึกถึงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง

“นายขำอะไร?”

“คำชื่อHalley ตอนผมเรียนมัธยม ในห้องมีเพื่อนพูดติดอ่างอยู่คน ให้ตายก็ออกเสียงคำนี้ไม่ได้ เขาออกได้แค่ ฮะ~ไฮ้~หลี! ฟังแล้วอย่างกับตัวบีเว่อร์[1]”

เสี่ยวเชี่ยนขำตาม เขาทำเลียนเสียงตลกมาก มีการม้วนลิ้นแล้วลากเสียงยาว

“ฮัลเล่ย์เป็นหมอประสาทที่ฉลาดมาก ฉันรู้สึกว่าความคิดของเขาค่อนข้างแปลกใหม่ เพียงแต่—”

เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงเมื่อชาติก่อนแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้

คนฉลาดๆดูเหมือนจะค่อนข้างตายง่าย สุดท้ายคนๆนี้ก็ฆ่าตัวตาย ได้ยินว่าเพราะเรื่องความรัก เสี่ยวเชี่ยนอยากนัดเขาเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้มาตลอด แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยได้เจอกันเลย เธอจึงทำได้แค่อ่านหนังสือที่เขาแต่งเพื่อรับรู้ถึงความคิดของเขา

“เพียงแต่อะไรเหรอ?” เสี่ยวเฉียงยังรอเธอพูดต่อ

“ไม่มีอะไร” เสี่ยวเชี่ยนมองเขาอย่างเงียบๆอยู่สักพัก เรื่องเมื่อชาติก่อนยังไงก็บอกไม่ได้ แอบเสียดายนิดหน่อย

เธอเก็บความรู้สึกไว้ เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงทฤษฎีสามหมื่นเท่าในหนังสือ สายตาเจือไปด้วยความเศร้าเล็กน้อย

“สืออวี้กดสามหมื่นเท่านั้นไว้เพื่อฉัน…”

ในขณะที่ต้องต่อสู้กับจิตใต้สำนึก สืออวี้ต้องแบกรับไว้เท่าไรกันถึงจะต่อต้านได้สำเร็จ นี่เป็นคำถามที่ทั้งน่าเศร้าและน่าดีใจในเวลาเดียวกัน

“เสี่ยวเฉียง ถ้าฉันบอกว่าฉันจะทำเรื่องบ้าๆนายจะทำไง?”

“เมียจ๋า…” เสี่ยวเฉียงถอนหายใจ มองเธอด้วยสายตาที่ทั้งรักและจนปัญญา

“เวลาคุณเอาจริงมีตอนไหนไม่บ้าด้วยเหรอ…ผมหมายความว่า คุณถูกเสมอจ้ะ!”

……

สืออวี้ขับรถกลับบ้าน เธอขึ้นทางด่วนจึงใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง พอไปถึงบ้านก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว

เนื่องจากดึกแล้วจึงไม่เห็นคนมาออกันหน้าบ้านอย่างที่แม่เธอบอก

คุณนายสือพอเห็นลูกสาวกลับมาก็ดุลูกด้วยความรู้สึกที่ปวดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“กลับมาทำไม แม่บอกให้หลบไปก่อนไม่ใช่เหรอ?”

พวกพนักงานที่โรงงานมาประท้วงเพื่อเรียกร้องขอเงินเดือน อาจไปได้ยินข่าวกันมาว่าบริษัทขาดเงินทุนหมุนเวียนกำลังจะปิดตัว คนพวกนี้กลางวันมาออกันอยู่ที่หน้าบ้านเธอ คุณนายสือไม่อยากให้ลูกสาวมาเจอเรื่องนี้

ยังไม่มีข่าวคราวของพ่อสือ เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันก็จะถึงเส้นตายที่ธนาคารกำหนด คนใช้ในบ้านก็ออกไปกันหมดแล้ว บ้านที่ใหญ่โตเหลือกันอยู่แค่สามคน แม้แต่แมวเปอร์เซียที่เลี้ยงไว้ก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ว่าเจ้าของกำลังจะตกอับถึงได้หนีไปข้างบ้านไม่กลับมาอีกเลย

จิตใจยามนี้ ช่างน่าหดหู่

“หนูจะหลบไปไหนล่ะคะ? ที่นี่บ้านหนู เกิดเรื่องขนาดนี้จะให้หนูหนีเอาตัวรอดคนเดียวได้ยังไง?”

คุณนายสือถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ลูกเอ๊ย เรายังไร้เดียงสาเกินไป ยังไม่รู้ถึงความโหดร้ายของสังคมนี้ แม่ว่าลูกหลบไปก่อนดีกว่า ร้านน้ำที่อยู่เมืองหลินก็ปิดไปก่อน แล้วหาที่ๆไม่มีคนรู้จักซ่อนตัว”

คนงานที่มาเรียกร้องเอาเงินเดือนไม่รู้ว่าจะมีพฤติกรรมที่เกินเลยอะไรบ้าง คุณนายสือกลัวลูกสาวตัวเองจะถูกทำร้ายที่สุด

“รู้แล้วค่ะ แม่นอนก่อนเถอะค่ะ”

สืออวี้ส่งแม่เข้านอน หลังจากไฟห้องแม่ดับลงแล้วเธอจึงไปหยิบตู้เซฟแบบพกพาออกมาจากท้ายรถ เธอแวะไปเอามันมาจากที่บ้านตัวเองหลังกลับจากบ้านประธานเชี่ยน ในนั้นมีของขวัญล้ำค่ามากมายที่พ่อแม่ให้เธอตั้งแต่เล็กจนโต

มีทั้งเครื่องประดับ โฉนดที่ดิน ล้วนเป็นของที่มีแต่ชื่อเธอเป็นเจ้าของทั้งนั้น ถ้าที่บ้านล้มละลายถูกศาลสั่งยึดทรัพย์ขึ้นมา ทรัพย์สินส่วนตัวของเธอเหล่านี้ก็จะไม่ถูกยึดไปด้วย

ปกติเธอไม่ได้สนใจของพวกนี้ พอถึงช่วงเวลาสำคัญของนอกกายเหล่านี้ก็มีที่ได้ใช้ประโยชน์

แม่เธอต้องการให้เธอใช้มันเลี้ยงดูตัวเองไปตลอดชีวิตจึงพยายามให้เธอออกจากบ้านไป เพราะทรัพย์สินเหล่านี้สำหรับคนทั่วไปแล้วถือว่าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อน แต่มันกลับช่วยบรรเทาความทุกข์ของครอบครัวไม่ได้ มูลค่าน้อยเกินไป

ถ้าขายบ้าน ขายร้าน ขายรถ ก็น่าจะพอจ่ายเงินเดือนให้คนงาน

เธอหยิบของออกมาจากตู้เซฟแบบพกพาทีละชิ้น นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปพวกมันจะไม่ใช่ของเธออีกต่อไป เพียงแต่พอเห็นสร้อยลูกประคำไม้จันทน์แดงในมือเธอก็หวั่นไหว

ชิ้นนี้เธอไม่ขาย ประธานเชี่ยนให้เธอมา

ถอดเครื่องดักฟังออกไปแล้ว แต่สร้อยข้อมือเส้นนี้เปรียบเสมือนเครื่องยืนยันว่าเธอกับประธานเชี่ยนได้ร่วมกันต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย

สืออวี้ลูบสร้อยเส้นนั้น ดวงตาเธอกำลังยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ใจมั่นคง เธอกอดกล่องใส่สร้อยนั้นไว้พลางหลับตา

วันต่อมา พอคุณนายสือตื่นก็พบว่าลูกสาวไม่อยู่ที่เตียงนอนแล้ว

“เด็กคนนี้ไปไหนกันนะ…”

จนกระทั่งโทรศัพท์ภายในบ้านดังขึ้นคุณนายสือถึงได้รู้ว่า ลูกสาวออกไปที่โรงงานตั้งแต่เช้าแล้ว! ไม่ได้ไปแค่คนเดียว ยังเรียกพวกผู้ถือหุ้นไปด้วย!

หลังได้ยินข่าวนี้คุณนายสือก็ถึงกับหน้ามืด เด็กคนนี้คิดจะทำอะไรกัน?

สถานการณ์แบบนี้ลูกสาวเธอไปที่นั่นจะไม่ถูกรุมด่าเหรอ?

พวกคนงานที่มาทวงนี้ช่วงหลายวันนี้อาละวาดเหมือนคนบ้า ไหนจะพวกที่สร้างกิจการร่วมกันมากับสามีเธออีก พอรู้ว่าสามีเธอหายไปก็ผลัดเปลี่ยนกันมาโวยวายที่บ้านเธอ แล้วนี่ลูกสาวเธอกลับวิ่งเข้าไปหาเองถึงที่ คนพวกนั้นจะปล่อยลูกเธอไว้เหรอ?

คุณนายสือรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความร้อนใจหวังจะไปช่วยลูกสาวกลับมา ส่วนสืออวี้ในเวลานี้อยู่ในชุดทำงาน นั่งอยู่ในห้องประชุมของบริษัท

โรงงานหยุดผลิต มีข่าวลือว่าประธานใหญ่หอบลูกเมียหนีหนี้อพยพไปอยู่ต่างประเทศแล้ว พนักงานทั้งโรงงานจึงใจคอไม่ดี พากันไปปิดล้อมทวงเงินเดือนที่บ้านประธานใหญ่ แต่ก็ไม่รู้ว่าข้างในบ้านมีคนหรือเปล่า ในขณะที่สถานการณ์กำลังเลวร้าย ไม่มีใครนึกเลยว่าสืออวี้ที่เพิ่งเรียนจบจะออกหน้ามาเองแบบนี้

ภายในห้องประชุมมีแต่ผู้บริหารระดับสูงของโรงงานยา แต่ด้านนอกห้องประชุมเต็มไปด้วยคนงานที่ได้ข่าวมาก่อนหน้า พวกเขากำลังรอการเจรจา

“หลานใหญ่ ทำไมพ่อหนูไม่มาล่ะ?” ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งถามขึ้น

“ตอนนี้พ่อมอบอำนาจทั้งหมดให้หนูมาจัดการเรื่องนี้ค่ะ วันนี้ที่หนูมาก็เพื่อปรึกษากับผู้ถือหุ้นทุกท่านเกี่ยวกับอนาคตของโรงงานเราค่ะ”

“เด็กอย่างเธอมานั่งพูดปาวๆไม่มีน้ำหนักหรอกนะ ใครจะเชื่อ ตอนนี้เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ตระกูลสือของพวกเธอยังเชื่อถือได้อีกหรือเปล่า!”

“ไปบอกให้พ่อเธอมา พวกเราไม่มีอะไรจะพูดกับเด็กอย่างเธอหรอกนะ!”

“ใช่!”

ภายในห้องประชุมเริ่มวุ่นวาย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความโกรธของทุกคน สืออวี้ได้แต่นั่งนิ่งอยู่ในที่ของตัวเองมองทุกคนที่แย่งกันต่อว่าเธอ

ที่แท้เงินแต่ละบาทของพ่อเธอก็ได้มาไม่ง่าย แต่เธอก็ไม่ใช่สาวน้อยบอบบางแบบเมื่อก่อนแล้ว

“คุณลุงคุณอารู้จักพ่อหนูมาตั้งหลายปีก็น่าจะรู้ว่าพ่อหนูเป็นคนยังไงนะคะ เขาไม่มีทางทิ้งทุกคนแล้วหนีเอาตัวรอดคนเดียวแน่ค่ะ”

“เธอคิดว่าพูดแบบนี้แล้วเราจะเชื่อเหรอ? ให้เขามาคุยด้วยตัวเอง!”

“ใช่!”

“พอได้แล้วค่ะ!” สืออวี้ตบโต๊ะ ทั้งห้องประชุมจึงสงบลง

[1] ตัวบีเวอร์ภาษาจีนออกเสียงว่าไห่หลี