ตอนที่ 214 หินเถียนหวง

เมืองชางโจวเป็นเขตปกครองระดับเมืองในมณฑลเหอเป่ย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเหอเป่ย ทางตะวันออกติดกับทะเลโป๋ไห่ ทางเหนือติดกับเทียนจิน อยู่ตรงข้ามคาบสมุทรหลู่ตงจนถึงคาบสมุทรเหลียวตงโดยกั้นด้วยทะเล ห่างจากปักกิ่ง 200 กิโลเมตร

ขับรถสามชั่วโมงกว่า ทั้งคณะก็มาถึงชางโจว ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว

กู้ฉางซุ่นดูแลเรื่องการพาทุกคนไปกินข้าว คนขับขับรถไปถึงที่โรงแรม ก่อนจะหยุดรถ

เมื่อนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร หยางโปก็เอ่ยถึงเรื่องที่เยอรมัน หันไปถามกู้ฉางซุ่นว่า “เถ้าแก่กู้ สุดท้ายแล้วจ่ายไปเท่าไหร่กันครับ?”

 

กู้ฉางซุ่นที่กลับมาจีน อดไม่ได้ที่จะหัวร้อน “แม่มันสิ ไอ้ผู้ชายต่างชาตินั่นมันฉลาด ถ้วยลายไก่ใบเดียวก็ดึงเวลาฉันไปได้นานขนาดนี้ สุดท้ายฉันเสนอราคาเพิ่มให้อีกสามสิบล้าน จ่ายไปหนึ่งร้อยแปดสิบล้าน”

“หนึ่งร้อยแปดสิบล้าน?” หยางโปพยักหน้า “เถ้าแก่กู้ ราคานี้ยังนับว่าใช้ได้อยู่ ดูจากท่าทางของพวกเขาตอนที่เพิ่งเริ่มเจรจา ผมยังคิดว่าพวกเขาจะยืนยันราคาเดิมต่อซะอีก”

“ยืนยันราคาเดิมบ้าอะไรล่ะ! เธอยังไม่รู้ ก่อนที่จะเจรจากัน ฉันเคยตรวจสอบมาแล้ว ตระกูลเบอร์ดาทำธุรกิจค้าไม้มาหลายรุ่น ช่วงนี้นอร์เวย์ออกกฎหมายลดการตัดไม้ ธุรกิจครอบครัวของเขาเลยได้รับผลกระทบอย่างหนัก” กู้ฉางซุ่นกล่าว

 

หยางโปตระหนักได้ในทันที ก่อนจะมองกู้ฉางซุ่นด้วยสายตาทึ่งๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะเตรียมพร้อมในการทำงานก่อนจะเริ่มงานถึงขนาดนั้น เห็นได้ว่าเรื่องที่เยอรมัน ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น

ชางโจวเป็นเมืองแห่งวูซู ขณะรถวิ่งอยู่ในเมือง ก็ผ่านสวนสาธารณะจำนวนหนึ่ง หยางโปเห็นว่ามีคนฝึกวูซุกันอยู่ทุกรูปแบบ

ตาอ้วนหลิวรู้เรื่องนี้ เขาหันไปทางรถแล้วชี้ พลางแนะนำว่า “นี่คือมวยปาจี๋ นั่นคือมวยไท่จู่ โอ๊ะ ฝ่ามือปาผาน อันนี้ไม่รู้จัก…”

รถเพียงวิ่งผ่านแค่แวบเดียว แต่เพราะตาอ้วนหลิวชี้ไปชี้มา คนขับจึงลดความเร็วลง หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ทุกคนก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ดังนั้นการชี้ไปที่ด้านนอกไปมานั้น จึงไม่ทำให้รู้สึกว่าชักช้ามากนัก

 

โดยไม่รู้ตัว รถยนต์ก็มาหยุดอยู่หน้าร้านวัตถุโบราณร้านหนึ่ง หยางโปลงจากรถ ก่อนจะเงยหน้ามอง เห็นชื่อร้านวัตถุโบราณว่า “ชางล่างเก๋อ”

หยางโปยิ้ม ก่อนจะหันกายไปมองตาอ้วนหลิว “ครั้งนี้วางแผนจะซื้ออะไรครับ?”

“หินเถียนหวง” ตาอ้วนหลิวตอบเสียงค่อย

หยางโปหันไปมองกู้ฉางซุ่นแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หินเถียนหวงเป็นของที่ใช้ทำตราประทับ สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวยและสูงศักดิ์ คิดดูแล้วก็สามารถรู้จุดประสงค์ที่กู้ฉางซุ่นอยากจะซื้อ

เถียนหวงได้

 

เถียนหวงถูกเรียกว่าเป็นราชาแห่งหินนับหมื่น เหตุผลที่หินเถียนหวงหายากนั้นก็เพราะในโลกนี้ มีเพียงชั้นทรายใต้นาที่แคบและทอดยาวซึ่งมีห้วยเล็กๆ ขนาบสองด้านในหมู่บ้านโซ่วซานมณฑลฝูเจี้ยนเท่านั้นถึงจะมี นอกจากนี้เนื่องจากได้ขุดติดต่อกันมาหลายร้อยปี นาของหมู่บ้านโซ่วซานจึงถูกขุดไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ทุกวันนี้จึงขุดจนเกือบไม่มีอะไรเหลือแล้ว เถียนหวงคุณภาพยอดเยี่ยมที่ขุดได้เมื่อนานมาแล้วนั้นถือเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ สมัยโบราณมีคำพูดที่ว่า “หนึ่งสองเถียนหวงสามสองทองคำ” หินเถียนหวงในตอนนี้ราคาจึงยิ่งสูงเสียดฟ้าขึ้นไปอีก

หยางโปประหลาดใจ หันไปถามตาอ้วนหลิวว่า “ในมือเถ้าแก่ร้านนี้มีหินดีๆ อยู่เหรอ?”

 

ตาอ้วนหลิวพยักหน้า “เถ้าแก่ร้านนี้ไปซื้อหินที่โซ่วซานอยู่บ่อยๆ เป็นเวลาหลายปีหลายเดือน เขาก็สะสมเอาไว้ไม่น้อยเหมือนกัน เธอเข้าไปดูก็จะรู้เอง”

พูดแล้ว ทั้งสามคนก็เดินเข้าไปในร้าน

ตาอ้วนหลิวเดินอยู่หน้าสุด เมื่อเห็นชายวัยกลางคนที่อยู่ในห้องรับแขกก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เถ้าแก่เถียน ขอโทษด้วยจริงๆ มาช้าแล้ว”

เถ้าแก่เถียนยิ้ม “ไม่ช้าๆ”

ทั้งสองคนหัวเราะฮ่าฮ่าพลางจับมือกัน ตาอ้วนหลิวเอียงกาย แนะนำว่า “ท่านนี้คือเถ้าแก่กู้ ท่านนี้คือเถ้าแก่หยาง”

 

ต่างคนต่างก็จับมือกัน เพิ่งนั่งลง เถ้าแก่เถียนก็ยกน้ำชามารับรอง เขาหันไปทางทุกคนแล้วพูดว่า “เป็นหมู่บ้านชนบท ชาเรียบง่าย ต้องขอให้ทุกท่านให้อภัยด้วย”

“เถ้าแก่เถียนเกรงใจไปแล้ว” ตาอ้วนหลิวพูดยิ้มๆ “พวกเราได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของเถ้าแก่เถียน จึงตั้งใจมาเพื่อดูราชาหินเถียนหวงในมือของคุณก้อนนั้นโดยเฉพาะ”

เถ้าแก่เถียนเพิ่งนั่งลง รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันแข็งทื่อ “เถ้าแก่หลิว ก่อนหน้านี้ในโทรศัพท์พวกเราไม่ได้คุยกันอย่างนี้นี่?”

ตาอ้วนหลิวหัวเราะแหะแหะ “เถ้าแก่เถียน พวกเราดูหินเถียนหวงก่อนค่อยว่ากันดีรึเปล่า?”

 

เถ้าแก่เถียนลังเลเล็กน้อย ก็ผงกศีรษะพลางกล่าวว่า “ตามฉันมา!”

หยางโปสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ในใจก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เห็นกู้ฉางซุ่นไม่มีท่าทีอะไร ทำให้เขาคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะต้องปรึกษากันมาอย่างดีก่อนหน้านี้แล้วอย่างแน่นอน

เถ้าแก่เถียนพาทั้งสามคนขึ้นมาบนอาคาร เดินผ่านระเบียง ก่อนจะไปยังหน้าห้องห้องหนึ่ง เปิดประตูทางเข้าสองต่อ ทุกคนถึงได้เข้าไปในห้องสะสม

ทั้งสี่ด้านของห้องสะสมไม่มีช่องระบายลม เมื่อเข้าไปแล้วก็รู้สึกอึดอัด หายใจหอบเพราะขาดอากาศ แต่ทุกคนล้วนไม่ใส่ใจ ต่างก็จ้องมองไปยังชั้นวางของตรงหน้า

 

ทั้งห้องมีขนาดประมาณสิบตารางเมตร ตรงกลางวางชั้นวางไว้แค่ชั้นเดียวเท่านั้น ชั้นวางถูกแบ่งเป็นช่องสิบกว่าช่อง ทุกช่องล้วนมีหินเถียนหวงอยู่หนึ่งก้อน อยู่ที่มุม มีกระดานไม้อันหนึ่ง ด้านบนวางหินกองหนึ่งเอาไว้

พริบตาเดียวกู้ฉางซุ่นก็เห็นหินเถียนหวงที่วางอยู่ตรงกึ่งกลางสุดของชั้นหนังสือ หินเถียนหวงก้อนนั้นมีความหนาสองหัวแม่มือ สูงห้าเซนติเมตร เถียนหวงทั้งก้อนราวกับไก่ที่ฟักจากไข่ ด้านนอกมีลักษณะเป็นผิวสีขาวอ่อนๆ ชั้นหนึ่ง มันวาวเป็นประกาย ส่วนด้านในเป็นสีเหลืองสดใส

หินเถียนหวงยิ่งเหลืองก็จะยิ่งแพง แม้ว่าหยางโปจะไม่เคยเห็นเถียนหวงมามากนัก แต่ก็รู้ถึงความหายากของหินเถียนหวงก้อนนี้

 

ใบหน้าเถ้าแก่เถียนปรากฏสีหน้าภาคภูมิใจ “นี่เป็นลักษณะที่เรียกว่าเงินหุ้มทอง นับเป็นลักษณะที่ดีที่สุดในบรรดาหินเถียนหวง แถมเงินหุ้มทองก้อนนี้ยังเป็นก้อนที่ฉันได้มาโดยไม่ตั้งใจเมื่อสิบกว่าปีก่อน”

“ตอนนั้นฉันควานหาหินในนามาทั้งวัน ก็ไม่เจออะไร หลังจากนั้นเพื่อที่จะไปล้างโคลนที่ติดเต็มตัว เลยลงไปอาบน้ำในแม่น้ำ แล้วก็เหยียบมันเข้าไปทีหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงได้ควานหินก้อนนี้ออกมาได้ มีคนเสนอให้แปดล้าน ฉันก็ไม่ขาย เพราะฉันจะเอาหินเถียนหวงก้อนนี้เก็บไว้เป็นสมบัติประจำตระกูลให้สืบทอดกันต่อไป!”

กู้ฉางซุ่นที่ไม่เปิดปากมาโดยตลอด เมื่อได้ยินเถ้าแก่เถียนเอ่ยปากไม่ยอมขายหินเถียนหวงก้อนนี้ ก็รีบพูดทันทีว่า “เนื้อหินก้อนนี้ไม่เลว ถ้าฉันให้สิบล้านล่ะ?”

 

เถ้าแก่เถียนชะงักเล็กน้อย ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ขาย!”

ใบหน้ากู้ฉางซุ่นปรากฎรอยยิ้ม เขาไม่กระวนกระวายใจเลยแม้แต่นิดเดียว ขอเพียงเถ้าแก่เถียนมีปฏิกิริยากับราคา อย่างนั้นต่อไปก็ใช้เงินทุ่มซื้อปัญหาอยู่ที่เวลาเท่านั้นแล้ว

หยางโปเดินเข้าไปใกล้ชั้นวาง มือทั้งคู่ไขว้กันอยู่ด้านหลังขณะจ้องมองหินเถียนหวง

บนชั้นวางแม้ว่าจะจัดวางหินไว้ไม่น้อย แต่ชิ้นที่อยู่ตรงกลางมีสีที่ดีที่สุดจริงๆ หยางโปเห็นสีเหลืองมันไก่ที่ด้านข้าง ยังมีเหลืองผิวส้ม ที่เหลืออีกหลายก้อนเป็นเหลืองผิวดำ

กู้ฉางซุ่นเดินเตร่อยู่หน้าชั้นวาง เขาหันกายไปมองหยางโป “เถ้าแก่หยางรู้เรื่องหินเถียนหวงมากไหม? ไม่สู้อธิบายให้ฉันฟังสักหน่อยละ?”

 

หยางโปเองก็เคยอ่านหนังสือ เขาก็สามารถมองของจริงของปลอมออกเช่นกัน แต่ถ้าอยากจะให้เขาอธิบาย เขากลับอธิบายไม่ได้ จึงได้แต่ส่ายหน้า “ผมรู้ไม่มากหรอกครับ”

กู้ฉางซุ่นผิดหวังเล็กน้อย มองไปทางตาอ้วนหลิว ตาอ้วนหลิวยิ้มพลางพูดว่า “ฉันรู้มาไม่น้อย แต่ฉันมันรู้มากแต่ไม่ลึกซึ้งนะ!”

“งั้นแกเห็นว่าชิ้นนี้เป็นยังไง?” กู้ฉางซุ่นชี้ไปที่สีเหลืองมันไก่ที่อยู่ด้านข้างชิ้นหนึ่ง

ตาอ้วนหลิวรู้ชั้นเชิงของกู้ฉางซุ่น จึงได้แต่อธิบายขึ้นมา