ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เขาเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายซูอวี้
“พระชายา ผู้นำอวี้เชิญท่านไปที่หอโอสถเย่าอันตรงถนนตะวันตกพ่ะย่ะค่ะ”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ซูจิ่นซีถาม
“นายท่านไม่ได้บอกอันใด เพียงสั่งให้บ่าวมาเชิญพระชายาไปเท่านั้น” ผู้ที่มายังนำรถม้าที่หรูหราที่สุดของจวนสกุลซูมาด้วย
ซูจิ่นซีรู้ดีว่า หากซูอวี้ไม่ได้สั่งความอันใด ถามไปก็ไร้คำตอบ นางจึงรีบขึ้นบนรถม้า โดยมีลวี่หลีตามนางขึ้นไปด้วย
เมื่อรถม้ามาถึงหน้าประตูหอโอสถเย่าอัน ลวี่หลีก็ประคองซูจิ่นซีลงมา
ขณะที่ลงจากรถม้า ซูจิ่นซีเห็นผู้คนมากมายยืนล้อมทางเข้าหอโอสถเย่าอัน
“เหตุใดถึงมีคนมากมายเช่นนี้? ” ซูจิ่นซีถาม
“บ่าวก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนออกจากจวนสกุลซูมายังจวนโยวอ๋อง บ่าวรับใช้เห็นเพียงซูอวี้ฟังรายงานจากเด็กในหอโอสถเย่าอัน และรีบร้อนออกจากจวนไป จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“เข้าไปดูด้านใน! ” ซูจิ่นซีพูด
ทว่าขณะที่เดินผ่านฝูงชนแออัดยัดเยียดเข้าไป เมื่อซูจิ่นซีเห็นคนผู้หนึ่งที่สวมชุดสีขาวดั่งเซียนนั่งอยู่ในหอโอสถเย่าอัน นางก็ถึงกับตกตะลึง
จิ่วหรง…
เป็นจิ่วหรงจริงๆ
ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่า จิ่วหรงจะปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ ทั้งยังนั่งวินิจฉัยโรคให้ผู้ป่วยในหอโอสถเย่าอันอีกด้วย
ผู้คนที่ยืนอยู่รอบนอก ต่างเดินทางมาที่นี่โดยเฉพาะ เพื่อให้จิ่วหรงวินิจฉัยโรค แน่นอนว่ามีบางคนมาเพื่อต้องการพบจิ่วหรง ไม่ว่าอย่างไรจะต้องมาดูความสง่างามของคุณชายจิ่วสักครั้ง
“ทุกท่านใจเย็นๆ ใจเย็นๆ เข้าแถวให้เป็นระเบียบ อีกหลายวันต่อจากนี้ คุณชายของเราจะอยู่ที่นี่เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการป่วยของทุกท่าน ทุกท่านไม่ต้องรีบร้อน อาการป่วยของท่าน คุณชายของเรายินดีตรวจให้ทุกคน” บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้าง สวมชุดสีขาวเหมือนจิ่วหรงไม่ผิดเพี้ยน เขามีหน้าที่คอยดูแลจัดระเบียบผู้ป่วย
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีคนอีกมากที่ต้องการเข้ามาด้านในให้ได้ ต้องทราบก่อนว่า เป็นเรื่องยากมากที่จะให้คุณชายจิ่วแห่งสำนักแพทย์เทียนอีเหมินมาทำการวินิจฉัยโรคให้
กฎเกณฑ์และเงื่อนไขของเขามีมากมายนัก!
หนึ่งในเงื่อนไขที่ดูวางอำนาจมากก็คือ หากเป็นคนที่เขาเกลียดขี้หน้า เขาไม่มีทางรักษาให้
อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงเลยว่า วันนี้เขาจะมาที่หอโอสถเย่าอันของสกุลซูเพื่อนั่งวินิจฉัยโรคให้
“สกุลซูกับสำนักแพทย์เทียนอีเหมินมีความสัมพันธ์อันใดกันแน่? ”
“ต้องมีเกียรติมาก ถึงสามารถเชิญคนใหญ่คนโตอย่างจิ่วหรงมาได้”
“ใช่ เป็นไปได้ว่า พระชายาโยวอ๋องเป็นผู้เชิญมา พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ? ครั้งก่อนตอนอยู่ที่ประตูเจิ้นเป่ย คุณชายจิ่วได้มอบของขวัญวันเกิดให้พระชายาโยวอ๋องด้วยตนเอง! ”
“ใช่! เรื่องสำคัญเช่นนี้จะลืมได้อย่างไร? ”
“ทว่าพระชายาโยวอ๋องกับคุณชายจิ่วมีความสัมพันธ์กันเช่นใด? เหตุใดคุณชายจิ่วจึงสนิทสนมกับพระชายาโยวอ๋องยิ่งนัก? คนทั่วไปแม้แต่ใบหน้าของเขาก็ยากที่จะได้พบเห็น”
“ใครจะไปรู้? อย่างไรเสีย คงต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ ได้ยินมาว่า ฮ่องเต้แคว้นเป่ยอี้เคยมาที่สำนักแพทย์เทียนอีเหมินเพื่อเชิญจิ่วหรงด้วยพระองค์เอง และทรงรอที่ทางเข้าสำนักแพทย์เทียนอีเหมินร่วมเดือน ทว่ากระทั่งใบหน้าของจิ่วหรงก็ไม่ได้เห็น”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? ”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแน่นอน ข้าก็ได้ยินมาเช่นนั้น”
“ว้าว หากพูดเช่นนี้ ยิ่งเห็นได้ชัดว่า พระชายาโยวอ๋องต้องไม่ธรรมดาแน่นอน สามารถเป็นที่โปรดปรานของคุณชายจิ่วได้”
“มากกว่าคำว่าโปรดปรานเสียอีกกระมัง? นายท่านใหญ่ของพวกเรามีความสามารถในการมองคน ตอนที่จิ่วหรงอวยพรวันเกิดให้พระชายาโยวอ๋อง นายท่านใหญ่ของเราก็อยู่ด้วยเช่นกัน ท่านบอกว่า จิ่วหรงชื่นชมยกย่องพระชายาโยวอ๋องยิ่งนัก”
“เฮ้ เรื่องนี้ห้ามพูดจาเหลวไหล เวลานี้พระชายาโยวอ๋องเป็นคนของโยวอ๋อง หากพูดจาเหลวไหลอาจสร้างความเดือดร้อนได้”
……
ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา เกี่ยวกับสาเหตุที่จิ่วหรงมานั่งวินิจฉัยอาการป่วยให้หอโอสถสกุลซู
ซูจิ่นซีแสดงท่าทีเหมือนไม่ได้ยินอันใด
เวลานี้ด้านหน้าประตูมีผู้คนห้อมล้อมมากมาย แม้ซูจิ่นซีจะเห็นสถานการณ์โดยรวมด้านใน ทว่านางเข้าไปไม่ได้
อีกทั้งผู้คนด้านนอกต่างวิพากษ์วิจารณ์กันเช่นนี้ หากนางเขาไปด้านในท่ามกลางสายตาจับจ้องจากคนมากมาย คงสร้างความเดือดร้อนอย่างมากเป็นแน่
“พี่จิ่นซี” เสียงเรียกของซูอวี้ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
ซูจิ่นซีหันกลับไป นางเห็นซูอวี้ยืนอยู่ด้านหลังตน “นี่มันเกิดอันใดขึ้นหรือ? ”
“ตรงนี้ไม่สะดวกพูดขอรับ พี่จิ่นซี ท่านตามข้ามาทางนี้”
ซูอวี้พาซูจิ่นซีเข้าไปที่ด้านหลังของหอโอสถเย่าอันผ่านทางประตูข้าง
ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีไม่เคยมาที่หอโอสถเย่าอัน จึงไม่รู้ว่าที่นี่มีประตูข้าง
เมื่อเดินเข้าไปด้านในหอโอสถ ซูอวี้ก็พูดขึ้นว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เช้าวันนี้ตอนเปิดร้าน พวกเขาก็มาถึงแล้ว ทั้งยังบอกว่าต้องการช่วยเหลือหอโอสถของพวกเรา ตอนนี้หอโอสถของสกุลซูที่เหลืออีกหกแห่ง ล้วนมีคนของสำนักแพทย์เทียนอีเหมินนั่งวินิจฉัยอาการป่วยให้ คุณชายจิ่วอยู่ที่หอนี้ ดังนั้นข้าจึงให้บ่าวรับใช้พาพี่จิ่นซีมาที่นี่ พี่จิ่นซี เดิมทีข้ายังคิดว่าท่านเป็นผู้เชิญคุณชายจิ่วมาเสียอีก”
ซูจิ่นซีไม่ได้ถามอันใดอีก
“ยกน้ำชาไปให้พวกเขาเถิด พวกเขาคงยุ่งมาทั้งวันแล้วกระมัง? สั่งให้บ่าวจัดเตรียมสำรับอาหารให้พร้อม และส่งไปที่หอโอสถทั้งหกแห่งที่เหลือด้วย”
ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น นี่เป็นเรื่องจริงที่ซูจิ่นซีเห็นจิ่วหรงนั่งวินิจฉัยอาการป่วยให้หอโอสถสกุลซู
เหล่าคนที่มาด้านนอกก็เป็นเรื่องจริง ผู้ที่สามารถทำให้จิ่วหรงออกหน้าได้นั้นมีน้อยมาก แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นเป่ยอี้ยังต้องรออยู่หน้าประตูสำนักแพทย์เทียนอีเหมิน แน่นอนว่าเป็นสิทธิ์ของจิ่วหรงที่จะไม่ออกมา เขามีทักษะการแพทย์ที่สูงส่ง ย่อมมีความหยิ่งทะนงในตนเอง ในเมื่อวันนี้เขามาช่วยเหลือสกุลซู ย่อมเป็นมิตรภาพที่ดีต่อกัน
มิตรภาพที่มอบให้เช่นนี้ ซูจิ่นซีจะจดจำไว้และต้องตอบแทนแน่นอน
เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาของผู้คนเหล่านั้น ซูจิ่นซีจึงไม่ได้ออกไป
อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักหลังจากที่ส่งน้ำชาออกไป จิ่วหรงก็เดินมาหาซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีกำลังดื่มชาอยู่หลังร้าน เมื่อเห็นจิ่วหรงเข้ามา นางก็รีบยืนขึ้นพูดว่า “จิ่วหรง วันนี้ต้องขอบคุณท่านมาก”
จิ่วหรงท่วงท่าเหมือนดั่งเทพเซียน เขาเอามือไพล่หลังเดินเข้ามายืนอยู่ด้านหน้าซูจิ่นซี พลางแย้มยิ้มด้วยใบหน้าลึกซึ้ง “อันใดกัน? พูดขอบคุณเพียงคำเดียวก็คิดจะให้อาจารย์ไปแล้วหรือ? ”
“เอ่อ… ” ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าจะพูดตอบอันใด อย่างไรเสียนางก็รู้สึกว่า ระหว่างตนกับจิ่วหรงไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก “น้ำใจในวันนี้ข้าจะจดจำไว้ วันหน้าข้าจะต้องทดแทนแน่นอน”
หลายวันที่ผ่านมาไม่มีหมอคอยวินิจฉัยผู้ป่วย หอโอสถสกุลซูย่อมขาดทุนไปไม่น้อย เมื่อมีจิ่วหรงมาช่วย แม้จะอยู่ไม่นาน ทว่าหลังจากนี้ชื่อเสียงของหอโอสถสกุลซูต้องโด่งดังแน่นอน
จิ่วหรงเดินมานั่งตรงตำแหน่งที่ซูจิ่นซีนั่งก่อนหน้านี้ และพูดว่า “สั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมสถานที่พักเถิด! อาจารย์มีข้อเรียกร้องมาก ที่พักจะต้องหันไปหาแสงอาทิตย์ แสงแดดสามารถเข้าถึงได้ อากาศปลอดโปร่ง เวลาเช้าตรู่จะต้องมีแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในห้อง ของใช้ต้องใหม่ทั้งหมด ด้านนอกห้องพักต้องมีบึง ทิวทัศน์ภายนอกต้องโปร่งโล่ง… ” เพียงครู่เดียว จิ่วหรงก็พูดความต้องการออกมามากมาย
ซูจิ่นซีประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านจะพักที่หอโอสถหรือ? ”
จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อยพูดว่า “เจ้าจะให้อาจารย์พักที่หอโอสถนี้หรือ? ”
“…”
“ศิษย์ของสำนักแพทย์เทียนอีเหมินมีมากมาย ทว่าข้ามีศิษย์เพียงคนเดียวก็คือเจ้า และคนที่สามารถทำให้อาจารย์ออกวินิจฉัยโรคได้ ก็มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ได้รับเกียรติเช่นนี้”
เหตุใดซูจิ่นซีจึงรู้สึกว่า จิ่วหรงพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก
“ข้าเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวหรือ? ”
ซูจิ่นซีประหลาดใจเล็กน้อย ครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างมาก… ทว่าน่าเสียดาย นางจำอันใดไม่ได้เลย นางอยากแยกสมองออกมาดูเสียจริง สิ่งที่นางหลงลืมอยู่ด้านในมีอันใดบ้าง
คิดไม่ถึงว่า จิ่วหรงจะลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหาซูจิ่นซีด้วยท่วงท่าสง่างาม เขาค่อยๆ ก้มหน้าลง จ้องมองดวงตาทั้งคู่ของซูจิ่นซี พลางพูดอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนอยู่แล้ว อาจารย์รับลูกศิษย์เหมือนแต่งภรรยา จงรักภักดีไม่เปลี่ยนแปลง”