บทที่ 260 ยามว่างของอ๋องเย่

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 260 ยามว่างของอ๋องเย่
“กราบทูลเสด็จแม่ ด้วยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อของลูกในเดือนที่ผ่านมา ในไม่ช้าเสด็จแม่จะได้เป็นเสด็จย่าอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

พระพันปีชะงักงันและเงยหน้ามองหนานกงเย่ “เจ้าพยายามอย่างไม่ย่อท้ออะไรยังไง?”

“ก็แค่พยายามทุกวันพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเย่พูดได้เต็มปาก ไห่กงกงเหลือบมองเขาอย่างระมัดระวัง

พระพันปีตรัสถามว่า “หมอตรวจแล้วรึ”

“ตรวจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ตรวจนานแล้วหรือ”

“จำไม่ได้ว่าวันไหน แต่ผ่านมาระยะหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าช่างมีความพยายามมาก นอนที่จวนอ๋องเย่มาหนึ่งเดือน หนึ่งเดือนนั้นเจ้ามิได้ว่างเลย ทั้งยังไม่รู้จักละอาย ยังมีหน้ามาบอกอีก ข้าละอายแทนเจ้านัก!”

“เพื่อที่จะได้สืบทอดสายโลหิตต่อไป ลูกจำเป็นจะต้องขยันให้มาก โชคดีที่สวรรค์ไม่ทำให้ผู้ที่มุ่งมั่นต้องผิดหวัง ในที่สุดก็มีจนได้”

แว่นของไห่กงกงตกลงจากมาจมูก ช่างไม่ละอายเสียเลย!

“เหตุใดเจ้าจึงกระตือรือร้นเช่นนี้ จะมาพูดว่ามีแล้ว เมื่อก่อนไม่มีหรืออย่างไร”

“เมื่อก่อนไม่มีจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

สองแม่ลูกตอบรับกันไปมา พระพันปียังไม่ค่อยเชื่อนัก พระองค์เหลือบมองไห่กงกง “ไปตามหมอหลวงหูมาตรวจดู”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ไห่กงกงพาหมอหลวงหูไปที่จวนอ๋องเย่ ในขณะที่พระมเหสีหวาก็ออกมาจากพระตำหนักหวาหยาง

อ๋องตวนตามไปที่ตำหนักเฉาเฟิ่งด้วย เมื่อพบกับพระพันปี พระมเหสีหวาจึงแสดงความเคารพและตรัสว่า “เสด็จพี่ เหยี่ยนเอ๋อร์มีลูกแล้วเพคะ”

พระพันปีไม่แปลกพระทัยเลย ตอนที่เห็นอ๋องเย่พระองค์ก็พอจะเดาอะไรได้บ้าง เขาก็เพียงแค่มาก่อนเพื่อช่วงชิงศักดิ์ศรีให้สตรีของเขา

พระพันปีมองอ๋องเย่ด้วยสายพระเนตรที่มีความหมาย นับว่าเขามีมโนธรรมและมีความมุมานะเหมือนกัน

“ถ้าอ๋องตวนไม่พูด จะมีใครมาบอกกันก่อนหรือไม่” พระพันปีตรัสอย่างตรงไปตรงมา เพราะถึงอย่างไรพระองค์ก็เป็นพระพันปี ทุกเรื่องกดดันไปที่พระมเหสีหวา

ลืมเรื่องอื่นไปได้เลย สถานะที่มียังคงอยู่

พระมเหสีหวาย่อมเข้าใจความหมายนั้นและพระนางก็ไม่ได้โกรธ นี่คือความยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ยินดีด้วยเพคะเสด็จพี่”

“ยินดีกับเจ้าด้วยเช่นกัน ในที่สุดก็สมใจหวัง และแล้วเมืองต้าเหลียงของข้าก็เริ่มเจริญรุ่งเรือง ที่พระตำหนักทั้งสองของฝ่าบาทกำลังมีครรภ์ อ๋องเย่อ๋องตวนก็มีข่าวดี ช่างน่ายินดียิ่งนัก”

“ใช่เพคะ!”

“นำพระประสงค์ของข้าไปแจ้ง ให้หมอหลวงไป๋ไปตรวจชีพจรให้พระสนมรองอวิ๋น”

พระพันปีตรัสสั่ง จากนั้นหมอหลวงไป๋จึงรีบออกจากวัง ในไม่ช้าก็กลับมาจากจวนกั๋วกงเพื่อกราบทูลพระองค์

เวลานี้หมอหลวงหูก็กลับมาถึงพระราชวังแล้วเช่นกัน เมื่อหมอหลวงทั้งสองนำข่าวดีมาแจ้ง พระพันปีจึงพระราชทานรางวัลให้คนละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

สำหรับที่ว่าฉีเฟยอวิ๋นตั้งครรภ์มานานแค่ไหนแล้ว หมอหลวงหูระบุแน่ชัดไม่ได้ เขาเพียงแต่รู้ว่าประมาณหนึ่งเดือนกว่าไม่เกินสองเดือนเท่านั้น

ทางด้านหมอหลวงไป๋ตรวจได้แน่ชัดว่าพระสนมรองอวิ๋นเพิ่งตั้งครรภ์ได้ไม่นาน ประมาณหนึ่งเดือนนิดๆ เท่านั้น

พระพันปีพอใจสิ่งนี้ ไม่ว่าจะกี่วันก็ถือว่ามีเหมือนกัน

หลังจากนั้นพระพันปีจึงพูดถึงเรื่องพระสนมเอกและพระสนมรองของอ๋องตวน โดยไม่สนใจสิ่งใด พระองค์รับสั่งไปว่าถ้าเด็กเกิด จวินฉูฉู่จะต้องสละตำแหน่งพระสนมเอก

อ๋องตวนคิดจะร้องขอความเมตตา แต่พระมเหสีหวาขวางเอาไว้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นอันยกเลิก

หนานกงเย่ออกมาจากวังพร้อมกับอ๋องตวน จากนั้นคนของพระมเหสีหวาก็ออกมาจากวังทันที

อวิ๋นหลัวฉวนตกใจจนสะดุ้งเมื่อเห็นแม่นมเว่ย นางกำลังนอนอยู่บนเตียงในขณะที่ทุกคนในจวนกั๋วกงกำลังยุ่งกันมาก

“แม่นม” อวิ๋นหลัวฉวนลุกขึ้นนั่ง แม่นมเว่ยทำความเคารพฮูหยินกั๋วกงก่อนจะหันไปมองอวิ๋นหลัวฉวน

“บ่าวได้รับคำสั่งให้มาดูแลพระชายารอง พระชายารองต้องการสิ่งใดโปรดสั่งมาได้เลยมิต้องเกรงใจ นอกจากนี้… ตั้งแต่นี้ไปบ่าวจะเป็นคนดูแลเรื่องอาหารการกินของพระชายารองทั้งหมด ซึ่งจะเป็นแบบนี้ไม่นานนัก แค่สามเดือนเท่านั้นเจ้าค่ะ”

“รบกวนแม่นมด้วย” แม้ว่าจะเกิดในตระกูลนักรบ แต่อวิ๋นหลัวฉวนก็เข้าใจกฎเกณฑ์และประเพณีดี

แม่นมเว่ยชอบอวิ๋นหลัวฉวนมาก ไม่เพียงแต่นางจะสุภาพอ่อนโยน แต่ยังรู้ว่าอะไรควรไม่ควร

ทุกคนในจวนกั๋วกงให้ความร่วมมือกับแม่นมเว่ยอย่างเต็มที่ แม่นมเว่ยพานางกำนัลมาด้วยสองคน นางกำนัลทั้งสองพยายามปรนนิบัติดูแลอย่างเต็มที่ ส่วนแม่นมเว่ยเป็นผู้คอยควบคุมดูแลอีกที

คนจำนวนมากถูกแต่งตั้งให้ไปอยู่ข้างนอกจวนกั๋วกงเพียงเพื่อคอยปกป้องคุมกันอวิ๋นหลัวฉวน

แต่สำหรับฉีเฟยอวิ๋นนั้นเรียบง่ายกว่ามาก นอกจากอาภรณ์จากวังที่พระพันปีประทานให้ก็ไม่มีอะไรอีก

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกผ่อนคลาย

วันต่อมาจักรพรรดิอวี้ตี้มีรับสั่งให้ฉีเฟยอวิ๋นเข้าวังเพื่อตรวจชีพจรที่พระตำหนักทั้งสอง

ฉีเฟยอวิ๋นมองดูพระราชโองการอย่างทำอะไรไม่ได้ หนานกงเย่ที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกเห็นนางกำลังอ่านพระราชโองการอยู่พอดี เขาเดินเข้ามาคว้าไปและเหลือบมองนิดหนึ่งก่อนจะโยนลงบนเตียง “พระองค์คิดอะไรกัน สภาพร่างกายของอวิ๋นๆ เป็นอย่างไรใช่ว่าพระองค์จะไม่รู้ แต่ก็ยังจะให้อวิ๋นอวิ๋นไปอีก

ผู้หญิงของพระองค์เป็นผู้หญิง ผู้หญิงของข้าไม่ใช่ผู้หญิงหรืออย่างไร”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่คิดเช่นนั้น นางหันไปหยิบพระราชโองการขึ้นมาอ่านอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

หนานกงเย่หันไปหานางและเดินไปกอดนางไว้จากทางด้านหลัง “ข้าไม่ยอมให้เจ้าไป ไม่จำเป็นต้องไปเลย”

ฉีเฟยอวิ๋นกุมมือของหนานกงเย่ด้วยมือทั้งสองข้าง ไหนเลยนางจะคิดไม่ได้ แต่ใครกันที่บอกให้นางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ หากต้องการมีชีวิตก็ต้องใช้ชีวิตให้รอดก่อน เมื่อใช้ชีวิตรอดแล้วนั่นแหละจึงจะมีชีวิตอยู่ได้

“ท่านอ๋องวางใจเถิด ข้าจะไม่ทำอะไรโง่ๆ อีกแล้ว!” ฉีเฟยอวิ๋นเปลี่ยนเสื้อผ้าและหันไปมองหนานกงเย่ เมื่อเห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของเขา ฉีเฟยอวิ๋นก็ตกอยู่ในภวังค์

นึกถึงท่าทีที่ดูเย่อหยิ่งและก้าวร้าวในตอนแรกที่มาที่นี่ ตอนนั้นไม่ใช่แบบนี้เลย

“ท่านอ๋อง ข้ายังชอบท่าทีที่เย่อหยิ่งและเอาแต่ใจของท่าน ท่าทีที่ดูอกสั่นขวัญหายแบบนี้มันดูจะไร้ความสามารถไปหน่อย” ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยมือ ตั้งใจจะยั่วเขา

สีหน้าของหนานกงเย่เคร่งขรึมขึ้นทันตา “ข้าไร้ความสามารถเมื่อไหร่กัน ข้ามีความสามารถออก”

“เช่นนั้นท่านอ๋องกลัวสิ่งใดหรือ ท่านอ๋องอยู่นี่ ใครจะกล้าทำอะไรหม่อมฉัน”

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองเขา แววตาของหนานกงเย่แฝงไปด้วยความเยียบเย็น เขาคิดนิดหนึ่ง “ก็ได้ ข้าจะกังวลอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ ให้ข้าได้ปกป้องอวิ๋นอวิ๋นนะ”

“อื้ม”

หนานกงเย่กุมมือฉีเฟยอวิ๋นและดึงนางเข้ามากอด หลุบตาลงมองฉีเฟยอวิ๋น “ข้ารู้ว่าอวิ๋นอวิ๋นเป็นคนมีฝีมือ แต่ข้ามีดินปืน ข้าจะต้องกลัวใคร?”

“…” ฉีเฟยอวิ๋นชะงักและนิ่งงันอยู่พักใหญ่ “ท่านอ๋อง ท่านคงไม่คิดจะระเบิดพระราชวังเพื่อข้าหรอกใช่หรือไม่ ท่านรู้ใช่ไหมว่าท่านมีพระญาติอยู่ในวัง”

“มีแล้วอย่างไร หากพวกเขาไม่ยอมให้ข้าได้ดั่งใจ ข้าก็จะไม่ยอมให้พวกเขาได้ดั่งใจเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้ระเบิดใส่พวกเขา แต่ข้าก็จะไม่มีวันปล่อยไปเด็ดขาด”

“ท่านอ๋องจะแย่งชิงบัลลังก์รึ” ฉีเฟยอวิ๋นถาม

หนานกงเย่ผละออกจากฉีเฟยอวิ๋น “พระนามของจักรพรรดิคืออวี้ มีความหมายว่าส่องแสงสว่างรุ่งโรจน์ ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งที่สูง อยู่ในสถานะที่สูงส่งและร้อนดั่งไฟ นั่นคืออยากให้แสงสว่างของพระองค์ขจรไปไกล

เมื่อจักรพรรดิพระองค์ก่อนประทานนามให้ นั่นหมายถึงพระองค์ได้กำหนดสถานะของพระองค์แล้ว

นั่นแสดงให้เห็นถึงความคิดของจักรพรรดิพระองค์ก่อน

สิ่งที่ข้าจะขโมยไปได้ง่ายๆ ก็คือท่อนไม้ที่อยู่ในประตู ชะตาลิขิตให้ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามีใครเปิดประตู ข้าเป็นท่อนไม้ และท่อนไม้มีหน้าที่ทำให้ไฟยิ่งลุกโชน กล่าวคือ… ข้าเปรียบเสมือนหนอนไม้น้ำแข็งที่อวิ๋นอวิ๋นเลี้ยงไว้ในห้อง หนอนไหมจะปั่นไหมจนกระทั่งตัวตาย ข้าตายก็เพื่อให้พระองค์ได้มีชีวิตอยู่”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่สบายใจเล็กน้อย “บางทีอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้เพคะ ท่านดูสิ ชื่อของท่านมีความหมายดีมาก หนานกงเย่ เย่ซึ่งหมายถึงราชาแห่งหยก”

หนานกงเย่ขบขัน “ถ้าอวิ๋นอวิ๋นปลอบข้าเช่นนี้ ข้าก็จะคิดเช่นนั้น ถึงอย่างไรข้าก็เป็นอ๋องคนหนึ่งอยู่ดี”

“…ท่านอ๋อง ท่านคิดมากงั้นหรือ”

“ไม่ได้คิดมาก แต่ตอนที่ข้ากับอ๋องตวนได้พระราชทานยศให้เป็นอ๋อง จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยตรัสไว้ว่าข้าไม่เหมาะจะเป็นจักรพรรดิ”

“…เอ่อ?”

ฉีเฟยอวิ๋นอ้าปากค้าง สีหน้าว่างเปล่า “ท่านอ๋อง เวลานั้นฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ ท่านได้รับพระราชทานยศเป็นอ๋อง จักรพรรดิพระองค์ก่อนก็บอกว่าท่านไม่เหมาะจะเป็นจักรพรรดิแล้ว? นั่นไม่เร็วไปหน่อยหรือเพคะ”