บทที่ 261 ตีเหล็กที่กำลังร้อน

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 261 ตีเหล็กที่กำลังร้อน
หนานกงเย่เดินไปนั่งลงอย่างไม่เร่งรีบ แล้วหยิบแอปเปิลขึ้นมาดม เขานึกถึงเรื่องราวในวัยเด็ก:“ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์ตอนที่ข้าอายุได้เพียงไม่กี่ขวบ ในตอนนั้นก็ทรงได้รับการแต่งตั้งแล้ว แต่การแต่งตั้งนี้ต้องเป็นตำแหน่งอ๋องตวนก่อน

ข้าไม่พอใจ จึงไปหาอดีตจักรพรรดิและถามว่าเหตุใดพระองค์ถึงไม่มอบตำแหน่งอ๋องตวนให้ข้า

อดีตจักรพรรดิถามข้าว่าเหตุใดจึงต้องการตำแหน่งจักรพรรดิ ข้ากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าองค์จักรพรรดิหนานกงอวี้ทรงมีสถานะที่สูงส่ง ราวกับไฟที่สว่างรุ่งโรจน์ และอ๋องตวนหนานกงเหยี่ยนก็เป็นไฟที่โหมกระหน่ำ ความหมายของเขาตรงตามตัวอักษร คำว่าอวี้แปลว่าดวงอาทิตย์ที่แผดเผาและอยู่ในสถานการณ์เหนือกว่า คำว่าตวนแปลว่าลอยขึ้นไปสู่ท้องฟ้า และอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ พวกเขาล้วนแต่สูงส่ง แต่ข้ากลับไม่มีอะไรเลย

เสด็จแม่ทรงอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เสด็จแม่ทรงตกพระทัยจนพระพักตร์ซีด และรีบคุกเข่าขอความเมตตา แต่ข้าไม่เห็นด้วย และยังคงมองไปที่อดีตจักรพรรดิด้วยความห้าวหาญ

อดีตจักรพรรดิทรงทำอะไรไม่ถูก และตรัสว่าน่าเสียดายที่ข้าเป็นพระโอรสองค์สุดท้อง

เสด็จแม่ทรงอธิบายมากมาย ในที่สุดอดีตจักรพรรดิก็ถามข้าว่าหรือว่าข้าจะไม่มีอะไรดีเลยอย่าง และยังตรัสว่าพระองค์ทรงตั้งชื่อของข้าเป็นอย่างดี คำว่าเสียนที่แปลว่าเป็นที่โปรดปรานของใต้หล้า

ข้ากล่าวว่าเสียนเป็นเพียงแผ่นไม้แผ่นหนึ่ง และยังถูกติดอยู่ที่ประตู เป็นหากเป็นคำว่าเย่ก็ถือว่าไม่เลว แม้ว่าจะเป็นหยก แต่เมื่อถึงคราวแตกหักก็ไร้ประโยชน์

ดังนั้นข้าจึงบอกกับอดีตจักรพรรดิว่าหากไม่ก็นำคำว่าอวี้ของฝ่าบาทมามอบให้ข้า หรือไม่ก็พระราชทานตำแหน่งอ๋องตวนให้ข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่เป็นอ๋องเย่

อดีตจักรพรรดิตรัสว่าพี่น้องต้องเรียงลำดับ แม้ว่าจะหมุนเวียนก็ยังมาไม่ถึงตาข้า จึงต้องเลือกพวกเขาก่อน เมื่อเลือกพวกเขาแล้วที่เหลือจึงเป็นของข้า

แน่นอนว่าข้าไม่ยอม หลังจากนั้นอดีตจักรพรรดิก็ตรัสว่าเป็นพวกเขาล้วนแต่เป็นไฟ แต่ไม่สามารถปราศจากฟืนได้ และข้าก็เป็นฟืน ว่างเมื่อไม่ใช้งาน เปิดประตูเมื่อใช้งาน และทำให้พวกเขาสว่างไสวมากยิ่งขึ้น”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ:“ดังนั้นอดีตจักรพรรดิจึงให้ความสำคัญกับท่านมาก และเชื่อว่าท่านจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าต่อให้ฝ่าบาทจะไม่ได้เป็นจักรพรรดิ ท่านก็จะไม่ได้เป็นจักรพรรดิเช่นกัน?”

ฉีเฟยอวิ๋นคิดออกแล้ว และนางก็คิดได้แค่นี้

หนานกงเย่หงุดหงิด:“ใครเป็นก็เหมือนกัน จะว่าไปแล้วข้าเป็นอ๋องเย่ก็มีกินมีใช้ไม่ขัดสน แม้ว่าเป็นจักรพรรดิจะมีมากกว่า แต่การยืนอยู่บนที่สูงนั้นก็ใช่ว่าจะดี ไม่สามารถทำอะไรได้ เป็นเพียงการทำตามความคิดเห็นของประชาชนและออกคำสั่งเท่านั้น”

“ถึงอย่างไรก็เป็นเสือ ต้องสง่างามและน่าเกรงขาม อย่างน้อยอยากกินใครก็ได้กิน”

ฉีเฟยอวิ๋นพูดกับตัวเอง หนานกงเย่ยิ้มและไม่พูดอะไร แต่มีความดูถูกเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา และฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่เกรงใจ

“ตามที่ท่านกล่าวอดีตจักรพรรดิคิดว่าท่านเป็นผู้ที่สามารถแบกรับภาระหน้าที่ที่สำคัญได้ตั้งแต่ท่านยังเด็ก และสามารถช่วยสนับสนุนฝ่าบาท แต่พระองค์ทรงไม่ต้องการให้ท่านเป็นจักรพรรดิ ประการแรกคือในตอนนั้นท่านยังเด็ก ประการที่สองคือฝ่าบาททรงเฉลียวฉลาดจริง ๆ และประการที่สามคือพี่น้องตรงเรียงลำดับ มันยังไม่ถึงตาของท่าน”

“คงจะเป็นเช่นนั้น” หนานกงเย่เมินเฉย

ฉีเฟยอวิ๋นมองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง:“ดังนั้นท่านจึงไม่คิดที่จะเป็นจักรพรรดิ?”

“หากมีก็ถือว่ามีใจคิดก่อกบฏ” หนานกงเย่สงบนิ่งมาก

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว:“อดีตจักรพรรดิทรงดีกับท่านมาก ตลอดการเป็นจักรพรรดิของพระองค์ ทรงรู้ดีว่าตำแหน่งจักรพรรดินั้นไม่มีความสุข ดังนั้นพระองค์จึงอยากให้ท่านเป็นเพียงแผ่นไม้ที่ติดอยู่ที่ประตู ตำแหน่งที่สามารถเล่นสนุกได้”

หนานกงเย่เลิกคิ้ว:“อวิ๋นอวิ๋น เจ้าช่างวุ่นวายเสียจริง คำเหล่านี้ข้าไม่เคยพูดกับใครมาก่อน แม้แต่เสด็จแม่ก็ไม่เคย เจ้าคงรู้ว่าหากเรื่องที่พูดคุยกันในวันนี้แพร่กระจายออกไป เจ้ากับข้ามีโทษต้องถูกประหาร”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้พูด เขาอยากจะพูดเอง ถ้าหากเขาไม่อยากพูด ใครจะบีบบังคับเขาได้

ในเมื่อรู้ว่าต้องหัวขาด แล้วเหตุใดถึงยังพูดออกมา?

หลังจากที่สังเกตอยู่สักพัก หนานกงเย่ก็ยังคงนิ่งสงบ

“แต่หม่อมฉันไม่เชื่อว่าท่านอ๋องทรงไม่มีความทะเยอทะยาน”

“อวิ๋นอวิ๋น” หนานกงเย่ลุกขึ้นยืน และเรื่องที่พูดคุยกันจบลงแล้ว เพราะเขาไม่ต้องการพูดถึงมันอีก

“เหตุใดท่านอ๋องถึงไม่พูด จะไปไหนเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าถามไปหนานกงเย่ก็เหลือบมามองนาง

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่ทะเยอทะยาน แล้วยังจะถามข้าอีก และไม่รู้ว่าเหตุใดข้าแต่งงานกับผู้หญิงเช่นเจ้าได้อย่างไร?”

หนานกงเย่เปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีสีเดียวกับฉีเฟยอวิ๋น และเข้าไปในวังเป็นเพื่อนนาง

ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเขาออกไป และมองใบหน้าที่เย่อหยิ่งของหนานกงเย่อย่างภาคภูมิใจ นกกระจอกจะรู้ความคิดของนกอินทรีได้อย่างไรกัน จุดประสงค์ของเขาเกรงว่าจะไม่ใช่แค่ต้าเหลียง

ทั้งสองเข้าไปในวัง และสวีกงกงก็รออยู่ที่หน้าประตูวังแล้ว ทันทีที่เห็นฉีเฟยอวิ๋นปรากฏตัวขึ้น สวีกงกงก็รีบเข้ามาต้อนรับ

“ท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่” สวีกงกงรีบคารวะ

หนานกงเย่กวาดสายตามองอย่างดูหมิ่นเล็กน้อย เขาจับมือของฉีเฟยอวิ๋นและเดินตรงเข้าไป

สวีกงกงเงยหน้าขึ้น นี่หมายความว่าอย่างไร?

เมื่อมาถึงหน้าพระที่นั่งบำรุงฤทัย สวีกงกงก็ไปกราบทูล และออกมาเชิญพวกเขาเข้าไป หนานกงเย่พาไปที่ฉีเฟยอวิ๋นไปที่พระที่นั่งบำรุงฤทัยกับเขาด้วย

“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นคุกเข่าลง

จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองผู้คนที่อยู่ด้านล่าง

“ลุกขึ้นเถิด”

ฉีเฟยอวิ๋นขอบพระทัยและลุกขึ้น จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างละเอียด นางก็ยังคงเป็นนางคนเดิม ไม่เห็นว่าจะมีอะไรไม่ดี เพียงแค่อ้วนขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

“พระพระปีทรงบอกข้าแล้วว่าพวกเจ้ามีบุตรของตนเองแล้ว”

“เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างราบเรียบ จักรพรรดิอวี้ตี้พยักหน้าและมองไปที่หนานกงเย่

“เจ้ายังโกรธอยู่อีกหรือ?”

“……” หนานกงไม่พูดอะไร ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองเขา เขาไม่ได้อารมณ์ไม่ดี

“ก็ดี เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ ปล่อยให้พระชายาเย่ไปตรวจชีพจรให้ทั้งสองตำหนัก” จักรพรรดิอวี้ตี้สั่ง

หนานกงเย่กล่าวว่า:“กระหม่อมไม่วางใจพ่ะย่ะค่ะ จึงอยากไปเป็นเพื่อนอวิ๋นอวิ๋น”

ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออก นี่ไม่ใช่เป็นการฝ่าฝืนพระราชโองการอย่างโจ่งแจ้งหรือ

จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวว่า:“ข้าเคยอธิบายแล้ว วันนั้น……”

“ฝ่าบาท กระหม่อมเพียงแค่เป็นห่วงอวิ๋นอวิ๋นพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน สวีกงกงเหงื่อออก เขาไม่เคยเห็นหนานกงเย่เป็นเช่นนี้มาก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า:“ท่านอ๋องรออยู่ที่นี่เถอะเพคะ ให้สวีกงกงไปเป็นเพื่อนหม่อมฉัน”

“ไม่ได้”

หนานกงเย่ปฏิเสธ ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้เพียงหุบปาก

และไม่รู้ว่าหนานกงเย่เอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้ต่อต้านฝ่าบาทเช่นนี้

ก่อนที่จะมาฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้คิดอะไรมากนัก และในเวลานี้นางก็พบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยั่วยุหนานกงเย่

เขาเคยบอกว่าเขาอาละวาดในวังตอนเด็ก ๆ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้แค่พูด

จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่พูดอะไร หนานกงเย่จึงพาฉีเฟยอวิ๋นออกไป สวีกงกงตกใจจนเหงื่อออกเต็มหน้าและรีบไปหาจักรพรรดิอวี้ตี้ จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ได้โกรธและไม่กล้าที่จะตามออกไป

ฉีเฟยอวิ๋นตามหนานกงเย่ออกไปจากพระที่นั่งบำรุงฤทัย ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปพลางมองดูหนานกงเย่ไปพลาง

เวลาโมโหช่วงน่ากลัวเสียจริง!

“ท่านอ๋อง โมโหมากเกินไปจะไม่ดีต่อพระวรกายนะเพคะ!” ฉีเฟยอวิ๋นเตือนด้วยความหวังดี และมองอย่างอิ่มเอมใจ

หนานกงเย่เหลือบมองนาง:“ยังจะยิ้มอีก?”

ฉีเฟยอวิ๋นกอดแขนของหนานกงเย่แล้วเอนตัวลงซบ:“ท่านอ๋องทรงโมโหเพราะหม่อมฉัน หม่อมฉันจะกล้าไม่ยิ้มได้อย่างไรเพคะ?”

“อย่างไรหรือ?”

“เขาเป็นผู้กุมความเป็นความตายของพระองค์และหม่อมฉัน หากพระองค์ทำให้เขาขุ่นเคือง ต่อไปเราจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อย่างไรเพคะ แต่ในเมื่อท่านอ๋องกล้าที่จะโมโห หม่อมฉันจึงกล้าที่จะยิ้ม

ช่างเป็นสามีภรรยาที่เข้ากันได้ดี ถึงต้องตายก็คุ้มค่าเพคะ!”

หนานกงเย่หยุดชะงักในทันทีและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นด้วยรอยยิ้ม:“เจ้านี่มันจริง ๆ เลย ข้าตีเหล็กที่กำลังร้อน ข้าจงใจที่จะแสดงสีหน้าต่อหน้าเขา มิเช่นนั้นวันหน้าเขาก็จะรังแกข้าอีก”

“……”