ในช่วงวิกฤตที่จี้เทียนซิงกำลังจะถูกแทงด้วยกระบี่ยาว
ทันใดนั้นจี้ฮ่าวก็ร้องตะโกนเสียงหลง
“พี่ใหญ่ ระวัง !”
เขาพุ่งไปหาจี้เทียนซิงด้วยความรวดเร็วสุดกำลัง และยื่นกระบี่ยาวปัดป้องการโจมตีถึงชีวิตไว้ได้
จี้เทียนซิงหนีรอดออกมาได้และกระโจนเข้าไปในป่า
จี้ห่าวช่วยเขาปัดป้องกระบี่หมายชีวิตเอาไว้ได้ และถูกล้อมไว้โดยนักฆ่าสวมหน้ากากหลายคนทันที
ในขณะที่กวัดแกว่งกระบี่ปะทะกับการโจมตีของนักฆ่าสวมหน้ากาก เขาก็ไม่ลืมที่จะกระตุ้นเตือน “พี่ใหญ่ นักฆ่าพวกนี้ตามล่าท่าน ท่านหนีไปข้าจะถ่วงเวลาพวกมันไว้เอง !”
เมื่อต้องรับมือกับผู้ฝึกยุทธ์พร้อมกันถึง 6 คน เรี่ยวแรงของจี้ห่าวแทบไม่เหลือ อีกทั้งแขนซ้ายยังถูกฟันด้วยกระบี่ โลหิตแดงฉาดเปรอะเปื้อนเสื้อคลุมสีน้ำเงินอันหรูหราในทันที
จี้เทียนซิงเห็นว่าน้องชายถูกรุมล้อมโดยนักฆ่าหลายคนและสถานการณ์ก็ยังอันตรายมาก เขาไม่ต้องการปล่อยทิ้งน้องชายไว้เพียงลำพังเพื่อหลบหนีไปคนเดียว
แต่เขาก็คิดได้ว่าจี้ห่าวมีพลังมากกว่า การที่ตนเองรั้งอยู่จะยิ่งเป็นการฉุดลากให้น้องชายต้องห่วงพะวงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จี้เทียนซิงได้ทำการตัดสินใจและหันหลังกลับหนีไปทันที
เขาวิ่งเข้าไปในป่าและวิ่งสุดชีวิตอย่างบ้าคลั่ง ในตอนนี้ร่างกายของเขาบอบบางราวกับแมวตัวน้อย
นักฆ่าสองคนต่อสู้กับจี้ห่าว ส่วนอีกสี่คนก็รีบเข้าไปในป่าหมายจะสังหารจี้เทียนซิงด้วยทุกอย่างที่มีให้จงได้ !
ป่าแห่งนี้รกครึ้มหนาแน่นและปกคลุมไปด้วยหนามและวัชพืช ร่างกายของจี้เทียนซิงที่วิ่งผ่าป่าทึบถูกบาดเป็นรอยแผลมากมายทั่วร่าง โลหิตหลั่งไหลชโลมเสื้อผ้าอันหรูหราจนกลายเป็นสีแดง
แต่เขาก็ไม่มีเวลามาสนใจบาดแผล เขาทำได้เพียงวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด
ด้วยความสามารถของนักฆ่าทั้งสี่ พวกมันรวดเร็วยิ่ง ไม่นานนักพวกมันก็ตามหลังชายหนุ่มทัน
เมื่อจี้เทียนซิงได้เห็นว่าทางข้างหน้าเป็นหน้าผา เขาจึงต้องวิ่งไปทางภูเขาด้วยความสิ้นหวังเท่านั้น
หลังจากนั้นประมาณสิบนาทีเขาก็วิ่งหนีไปจนถึงพื้นที่เปิดโล่งในเชิงเขา
พื้นที่เปิดโล่ง ณ จุดนี้กินพื้นที่ไม่มากนัก พื้นดินปกคลุมไปด้วยใบไม้หนาและรอบๆเป็นป่าทึบ
นักฆ่าทั้งสี่คนก็ยังคงไล่ตามมาจนทันในที่สุด พวกมันแยกย้ายกันกระจายตัวไปรอบๆเพื่อปิดล้อมชายหนุ่มไว้ในพื้นที่เปิดโล่ง
“เจ้าเด็กเหลือขอ คิดจะหนีไปไหน ?”
“เฮ้ๆ คราวนี้ข้าอยากจะรู้นักว่าจะหนีไปไหนได้อีก !”
“เจ้าต้องตาย !”
“ร้องขอชีวิตต่อพวกข้าสิ ข้าจะให้เจ้าตายอย่างไม่ทรมานนัก !”
นักฆ่าทั้งหลายคำรามพร้อมกับหัวเราะราวกับแมวหยอกหนูที่หมดทางรอด
จี้เทียนซิงไม่มีที่หลบหนีอีกแล้ว หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ แม้จะต้องตายแต่เขาก็จะสู้จนเฮือกสุดท้ายและไม่มีวันร้องขอความเมตตา
เขากระชับกระบี่มังกรโลหิต ดวงตาแดงก่ำจ้องเขม็งไปที่นักฆ่าสวมหน้ากากทั้งหลายและคำรามด้วยความโกรธว่า “ใครส่งพวกเจ้ามาสังหารข้า !”
“เหอะ ตายแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง !”
นักฆ่าสวมหน้ากากแสยะยิ้มและฟันไปที่ลำคอของจี้เทียนซิง
จี้เทียนซิงรีบต้านรับด้วยกระบี่ทันทีแต่ก็ถูกอีกฝ่ายกระแทกถอยหลังด้วยระดับพลังที่สูงกว่า กระบี่มังกรโลหิตของเขาแทบจะหลุดมือ
นักฆ่าที่เหลืออีกสามคนฉวยโอกาสนี้พากันโจมตีชายหนุ่มจนทิ้งบาดแผลกระบี่อันเหวอะหวะหลายแห่งบนร่าง
เขาได้รับบาดแผลยาวที่หลังและต้นขา โลหิตแดงฉาดไหลออกมาอย่างต่อเนื่องและย้อมเสื้อผ้าของเขาจนกลายเป็นสีแดง
ใบหน้าของจี้เทียนซิงซีดเซียวราวกับกระดาษ เขาทั้งรู้สึกหนาวและมีเหงื่อเย็นซึมเต็มหน้าผาก แต่เขาก็ไม่ยอมล้มลงและพยายามข่มอาการเจ็บปวดอันรุนแรงเอาไว้
ตราบใดที่นักฆ่าทั้ง 4 คนนี้เคลื่อนไหวและลงมืออย่างเรียบง่ายอีกเพียงครั้งเดียว เขาจะตกตายทันทีและไม่มีความเป็นไปได้ที่จะรอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เหล่านักฆ่ากำลังจะโจมตีอีกครั้งและพรากชีวิตของชายหนุ่มไป ทุกคนก็ได้ยินเสียงนกที่ชัดเจนสดใส
เสียงของนกดังขึ้นจากบนภูเขาและจี้เทียนซิงก็ได้ยินเช่นกัน แต่มันไม่ใช่เสียงของนกธรรมดา
วินาทีต่อมา เงาร่างมหึมาก็ลอยมาเหนือศีรษะของทุกคนบดบังแสงอาทิตย์ที่แผดจ้า
บนพื้นที่เปิดโล่ง จี้เทียนซิงและนักฆ่าสวมหน้ากากทั้งสี่คนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยเงา
ทุกคนหยุดการโจมตีและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว
เมื่อได้มองขึ้นไปก็เห็นว่ามันเป็นนกสีขาวขนาดยักษ์ที่มีขนาดใหญ่เท่าบ้านหลังหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือพื้นดินไป 100 เมตรและกำลังมองลงมาจากด้านบน
นกยักษ์ตัวนี้มีสีขาว มีเพียงขนบางส่วนและหางเท่านั้นที่มีสีดำและมียอดหงอนสีแดงที่ด้านบนของหัว รูปร่างของมันแทบจะเรียกได้ว่าเหมือนกับนกกระเรียนสีขาว
อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงไม่เคยเห็นนกกระเรียนสีขาวขนาดใหญ่และน่าอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน !
นกกระเรียนสีขาวตัวนี้กลับมีขนาดใหญ่เท่ากับบ้านและมีปีกสีขาวที่แผ่กว้างถึง 30 เมตร !
ทันใดนั้นเขาก็จดจำได้ว่าเคยเห็นนกยักษ์ตัวนี้ในหนังสือ
“นี่คือ…กระเรียนวิญญาณ ? มันน่าจะเป็นสัตว์วิญญาณ กระเรียนขาว !”
สัตว์ส่วนใหญ่ที่อยู่รอดในภูเขาและแม่น้ำเป็นสัตว์ร้ายและสัตว์อสูรอันดุร้าย ถึงแม้ว่าพวกมันจะถูกจับเอามาเลี้ยง แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เชื่อง ไม่เหมือนกับสัตว์วิญญาณ พวกมันมีจิตวิญญาณเหมือนมนุษย์และเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ได้
จี้เทียนซิงเคยได้ยินมาว่าตระกูลราชวงศ์แห่งรัฐนภากระจ่างเลี้ยงสัตว์วิญญาณหลายชนิด กล่าวกันว่านิกายหนุนสวรรค์ก็มีสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังมากมาย แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่เขาเคยได้ยิน ตอนนี้เขาได้เห็นกระเรียนวิญญาณในตำนานตัวเป็นๆเข้าแล้ว มันเป็นที่เปิดหูเปิดตาและน่าตกใจมาก !
ในขณะนี้เองเขาก็ได้เห็นว่าแผ่นหลังอันกว้างใหญ่ของกระเรียนวิญญาณมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ !
หัวใจของจี้เทียนซิงรู้สึกตกใจมากขึ้นไปอีกหลังจากเพ่งมองอย่างตั้งใจ เขาพบว่าผู้ที่ยืนอยู่หลังกระเรียนวิญญาณนั้นเป็นหญิงงามที่สวมชุดสีขาวพิสุทธิ์ นางมีท่วงท่าอันงามสง่าและบริสุทธิ์
หญิงสาวผู้นี้มีอายุประมาณ 17-18 ปี นางสวมชุดคลุมสีขาวยาวโดยมีเกศายาวดำขลับห้อยลงมาราวกับน้ำตกจนถึงช่วงเอวคอดกิ่วของนาง
นางกุมฝักกระบี่สีดำไว้ในมือบอบบางขาวผ่องและมองอย่างไม่แยแสไปที่ผู้คนบนพื้นจากบนหลังกระเรียนวิญญาณ
ลมแรงพัดพลิ้วจนชายกระโปรงยาวและเส้นผมยาวสลวยของนางพริ้วไหวไปตามแรงลม นางดูราวกับนางฟ้าที่มิใช่มนุษย์ !
จี้เทียนซิงจ้องมองไปที่นางและแสดงออกถึงรูปลักษณ์ที่ลึกซึ้งและรู้สึกทึ่ง หัวใจสูบฉีดและเร่งร้อนขึ้น
ชายหนุ่มแน่ใจว่าต่อให้ทอดสายมองไปทั่วทั้งรัฐนภากระจ่างก็ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมกับความงามล่มเมืองของนางได้
นางราวกับว่าไม่น่าจะมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ แต่ควรจะอยู่บนสวรรค์ทั้ง 9 เสียมากกว่า !
ในเวลาเดียวกันนักฆ่าทั้งสี่ที่เหม่อมองอย่างโง่งมก็เพิ่งจะคืนสติกลับมา พวกมันหันไปมองหน้ากันด้วยความอึ้ง
แต่พวกมันก็ไม่ลืมงานและภาระที่แบกไว้ พวกมันกระชับกระบี่และพุ่งเข้าหาจี้เทียนซิงอย่างดุดันเพื่อสังหารเขาให้ได้
“ฆ่ามันก่อน !”
“ไปตายซะ เจ้าหนู !”
ประกายกระบี่พวยพุ่งและภูเขาอันเงียบสงัดก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร
จี้เทียนซิงข่มอาการบาดเจ็บและยกกระบี่ขึ้นหมายจะต้านรับอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
อย่างไรก็ตาม สาวงามอันน่าตกตะลึงบนหลังกระเรียนวิญญาณก็มีปฏิกิริยาและชักกระบี่ขึ้นมาในทันที
“ฟุ่บ !”
เมื่อกระบี่ถูกชักออกจากฝัก คมกระบี่ก็เบ่งบานเป็นประกายเจิดจ้าออกมาอย่างเย็นยะเยือก
“ฉวัะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!****”
สาวงามผู้น่าตกตะลึงสะบัดลำแสงกระบี่ 4 สายที่เปล่งออกมาจากกระบี่ยาวสามฟุตของนาง ลงมาจากท้องฟ้าและแทงเข้าใส่นักฆ่าสวมหน้ากากทั้ง 4 คน
เพียงชั่วพริบตา ลำแสงกระบี่ 4 สายก็แทงทะลุร่างนักฆ่าทั้ง 4 อย่างพร้อมเพรียง
พวกมันทั้งหมดแข็งค้างและนิ่งอยู่กับที่ มือที่กุมกระบี่เอาไว้ยังคงค้างอยู่ในอากาศแต่ศรโลหิตฉีดพุ่งบนจากบนศีรษะ
ในแววตาของพวกมันทั้งสี่เบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกและล้มลงกับพื้น ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวอีกต่อไป
จี้เทียนซิงตกตะลึงและมองดูร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าทั้งสี่ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างอย่างไม่อาจทำใจเชื่อ
“นางเพียงแค่สะบัดกระบี่อย่างรวบรัดก็สามารถสังหารนักฆ่าทั้ง 4 จากระยะ 100 เมตรได้?”
“ระดับพลังของนางอยู่ที่เขตแดนใดกัน?!**”