ตอนที่ 13 เป็นนาง !

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

จี้เทียนซิงมั่นใจเต็มที่ว่านางฟ้าในชุดขาวผู้นี้มีความแข็งแกร่งที่เหนือล้ำกว่าเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง

 

ผู้ฝึกยุทธ์แห่งเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง แม้จะสามารถปลดปล่อยพลังปราณแท้เป็นพลังปราณโจมตีศัตรู แต่พลังปราณจะสามารถโจมตีศัตรูได้ในระยะห่างไม่มากนัก

 

มีเพียงยอดฝีมือในเขตแดนเชื่อมปราณเท่านั้นที่สามารถใช้พลังปราณหลอมรวมเป็นคลื่นกระบี่ โจมตีศัตรูในรัศมีบริเวณ 10 ฟุต

 

คลื่นกระบี่ที่นางฟ้าชุดขาวผู้นี้ใช้ออกในการสังหารนักฆ่าที่ห่างออกไปถึง 100 เมตรได้ ย่อมแน่นอนว่านางเป็นยอดฝีมือในเขตแดนเชื่อมปราณหรือสูงกว่า !

 

ท้ายที่สุดแล้ว แม้กระทั่งบิดาของเขาจี้ชางคงที่เป็นยอดฝีมือในเขตแดนเชื่อมปราณขั้นที่ 7 ก็ยังมิอาจสำแดงพลังอันน่าพรั่นพรึงได้เทียบเท่ากับที่แม่นางชุดขาวผู้นี้ทำ

 

ในขณะที่จี้เทียนซิงตกตะลึงและพยายามคาดเดาตัวตนของนางอย่างลับๆก็เกิดเสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาจากป่าด้านหลัง

 

“ปัง! ปัง! ปัง!”

เสียงทุ้มนี้ราวกับเสียงตีกลองขนาดใหญ่ที่สั่นสะเทือนหัวใจของจี้เทียนซิง

 

ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าพื้นดินสั่นสะเทือนด้วยเสียงทุ้มกระแทกหัวใจจากป่าด้านหลังไปไม่ไกล กิ่งไม้และต้นไม้แยกออกจากกันเป็นทาง

 

ดูจากท่าทางแล้วราวกับว่ามีสัตว์ร้ายที่ทรงพลังพุ่งออกมาจากป่า

 

จี้เทียนซิงตื่นตัวและกระชับกระบี่มังกรโลหิตโดยไม่รู้ตัว

 

วินาทีต่อมา เงาร่างอันมหึมาราวกับขุนเขาก็พุ่งออกมาจากป่าและมุ่งตรงไปยังพื้นที่โล่ง

 

เมื่อจี้เทียนซิงได้เห็นเงาร่างนั้น เขากลืนน้ำลายลงโตในทันที มันคือสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายหมีสีน้ำตาล มันใหญ่เท่าบ้านหลังหนึ่ง !

 

ขนของสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ตัวนี้มีสีแดงสนิทและมีประกายไฟ ดวงตาสีน้ำตาลขนาดใหญ่และอุ้งมือคู่หนึ่งที่เปล่งประกายด้วยความเย็นยะเยือก

 

จี้เทียนซิงไม่สงสัยเลยว่าสัตว์อสูรที่มีรูปร่างคล้ายหมีตัวนี้น่าจะเป็นสัตว์อสูรร้ายในระดับสูง เพียงฝ่ามือเดียวที่ฟาดไปอาจทำลายผนังกำแพงเมืองได้ด้วยพลังอันมหาศาลของมัน !

 

แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือสัตว์ร้ายตัวนี้กลับมีพรมขนสัตว์เหมือนอานม้า และมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังของมัน  ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีดำและถือกระบี่ใหญ่สีแดงเพลิง

 

ชายหนุ่มมีอายุราวๆยี่สิบ รูปร่างสูงใหญ่ตะหง่านดั่งหอคอย

ท่อนแขนสองข้างที่หยาบกร้านนั้นเปลือยเปล่าและหนาเท่ากับท่อนไม้ วงแขนมีกล้ามเป็นมัดๆด้วยผิวสีบรอนซ์ นอกจากนี้ร่างของเขายังเปล่งกลิ่นอายอันแรงกล้าแผ่ซ่านออกมา

 

สัตว์อสูรที่มีรูปร่างคล้ายหมียักษ์วิ่งไปที่พื้นที่โล่งและหยุดอยู่เบื้องหน้าจี้เทียนซิง

 

ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งบนหลังมองไปที่สภาพอันอเนจอนาจของจี้เทียนซิง และเหลือบมองไปที่ร่างไร้วิญญาณของเหล่านักฆ่า ใบหน้าของเขาแสดงรอยยิ้มเบาบาง

 

ในเวลานี้เองมีสัตว์อสูรอีกตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากป่าทึบและหยุดอยู่ใกล้ๆสัตว์อสูรคล้ายหมี

 

สัตว์อสูรตัวนี้เป็นหมาป่ายักษ์สีเงินมีขนาดไม่ใหญ่เท่ากับหมียักษ์ รูปหมียักษ์และฝีเท้าของมันก็ไม่หนักเท่า

 

ขนของหมาป่ายักษ์ตัวนี้ส่องแสงสีเงินและลำตัวของมันยาวประมาณหนึ่งเมตร ที่ด้านหลังของมันมีชายหนุ่มชุดคลุมขาวบริสุทธิ์นั่งอยู่

 

อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มคนนี้มีรูปร่างผอมสูงและใบหน้าซีดเซียวราวกับคนป่วย  เขาดูอ่อนแอราวกับคุณชายขี้โรคของตระกูลใหญ่

 

แต่แน่นอนว่าด้วยคนที่สามารถขี่หลังหมาป่ายักษ์สีเงินได้เงิน จี้เทียนซิงไม่กล้าที่จะดูหมิ่นสารรูปของอีกฝ่าย

 

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มกำยำและชายหนุ่มร่างผอมบางนั้นเป็นพวกเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นดูสนิทสนมกันมาก

 

เมื่อได้เห็นชายหนุ่มผู้บอบบางหน้าซีดมาถึง ชายหนุ่มร่างกำยำก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เฮ้ๆ ศิษย์พี่ไป๋ ท่านมักกล่าวว่าหมาป่าจันทราเงินของท่านเร็วดั่งสายลม เหตุไฉนมาถึงเชื่องช้าเช่นนี้กันเล่า ? ท่านยังมาถึงทีหลังหมีเพลิงแดงของข้าด้วยซ้ำ”

 

ชายหนุ่มร่างผอมบางที่ดูเหมือนจะชื่อศิษย์พี่ไป๋หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดที่มุมปากและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องห่าว หมาป่าจันทราเงินของข้านั้นเร็วในการสังหารผู้คนเท่านั้น ไม่เหมือนหมีเพลิงแดงของเจ้าหรอก บ้าเถื่อนใช้แต่กำลัง เจ้าเล่นถางต้นไม้ตามทางซะเละเทะไปหมด”

 

ชายหนุ่มกำยำแสยะยิ้มและหัวเราะพลางชี้ไปที่บนศีรษะและกล่าวใบหน้าอิจฉาว่า  “ศิษย์พี่ไป๋  แต่ถึงพวกเราจะแข่งกันยังไงก็ทำได้เพียงวิ่งเล่นบนพื้นดินรอบๆเท่านั้น ไม่เล่นใหญ่เหมือนศิษย์พี่หญิงหรอก ท่านดูนางสิ ขี่กระเรียนวิญญาณที่บินบนท้องฟ้าได้….”

 

ศิษย์พี่ไป๋ผู้นั้นพยักหน้าและยังคงมีรอยยิ้ม เขามองขึ้นไปยังสาวงามชุดขาวที่ยืนอยู่บนหลังกระเรียนวิญญาณด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน

 

ในเวลานี้ศิษย์น้องห่าวก็ชี้ไปที่ร่างทั้ง 4 ที่นอนกองบนพื้นและกล่าวกับศิษย์พี่ของเขาว่า “ศิษย์พี่ไป๋ เหมือนพวกเราจะช้าไปก้าวหนึ่งนะ ศิษย์พี่หญิงเพิ่งจะผดุงคุณธรรมสังหารโจรป่าสวมหน้ากากไปหลายคน”

 

ศิษย์พี่ไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่หญิงนั้นมองภายนอกดูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง แต่ภายในนั้นนางเป็นคนจิตใจดีและอ่อนโยน เรื่องนี้เจ้ากับข้าก็รู้อยู่ดีอยู่แล้ว”

 

“ถูกต้อง” ศิษย์น้องห่าวพยักหน้าและมองไปที่จี้เทียนซิงอย่างมีความหมาย  เขาเอ่ยกับชายหนุ่มอีกว่า “เจ้าหนู นี่ถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของเจ้าแล้วนะที่ศิษย์พี่หญิงหยุนเหยายื่นมือเข้าช่วย จากนี้ไปก็ฝึกฝนให้มากๆจะได้ดูแลชีวิตตัวเองได้ !”

 

ศิษย์พี่ไป๋เพียงมองอย่างไม่ใส่ใจไปที่จี้เทียนซิงวูบเดียว จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นมองสาวงามชุดขาวบนท้องฟ้า  เขาไม่ได้เห็นจี้เทียนซิงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

 

สาวงามชุดขาวยังคงยืนอยู่บนหลังกระเรียนวิญญาณ ใบหน้าของนางยังคงสงบดั่งสายน้ำนิ่ง จากนั้นนางก็มองไปที่ศิษย์น้องทั้งสองและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ศิษย์น้องทั้งสอง พวกเจ้าอย่าลืมว่าพวกเรามีเรื่องสำคัญต้องทำ อย่าได้ล่าช้าให้เสียการแล้ว”

 

ศิษย์น้องห่าวยิ้มในทันทีและกล่าวว่า “พี่หญิงใหญ่ เราแค่พักแปปเดียว เดี๋ยวเดินทางกันต่อเลย”

 

สุดท้ายเขาก็ขี่หมีสีแดงเพลิงวิ่งผ่านจี้เทียนซิงไป ตามหลังมาด้วยศิษย์พี่ไป๋ที่ขี่หมาป่าสีเงิน

 

ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ

 

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความคิดในหัวและเริ่มคาดเดาบางอย่างได้ แต่ฉากหน้าเขายังคงสงบนิ่ง

 

แต่เมื่อได้เห็นกระเรียนวิญญาณบนท้องฟ้ากำลังจะจากไปพร้อมกับสาวงามชุดขาว ชายหนุ่มก็ป้องมือคารวะพลางกล่าวว่า “ขอบคุณแม่นาง ข้า จี้เทียนซิงจักไม่มีวันลืมพระคุณช่วยชีวิตในครั้งนี้ !”

 

“มิต้องมากพิธี ลำบากเพียงยกมือเท่านั้น”

สาวงามชุดขาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่แยแส จากนั้นกระเรียนวิญญาณก็พานางจากไป

 

ไม่นานนัก เงาร่างของกระเรียนวิญญาณขนาดใหญ่ก็จางหายไปในท้องฟ้า และหมีแดงเพลิงกับหมาป่าจันทราเงินก็หายลับตาไปในภูเขาเช่นกัน

 

เหลือเพียงจี้เทียนซิงเท่านั้นบนพื้นโล่งๆ สภาพแวดล้อมรอบตัวชายหนุ่มกลับมาเงียบสงบ

 

“พวกเขาทั้งสามดูอายุไม่มากกว่าข้าสักเท่าใดนัก แต่ทุกคนกลับมีความแข็งแกร่งที่มิอาจคาดเดาได้  นอกจากนี้พวกเขายังครอบครองสัตว์วิญญาณอีกด้วย ดูจากการเรียกขานแล้วพวกเขาสมควรเป็นศิษย์สำนักใดสำนักหนึ่ง…”

“ฟังแล้วเหมือนพวกเขาจะมีธุระสำคัญ จากทิศทางนั้น พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองจักรวรรดิแน่แล้ว”

 

*“*หยุนเหยา หยุนเหยา…”

จี้เทียนซิงกระซิบชื่อของสาวงามชุดขาวอยู่หลายครั้ง เขารู้สึกคุ้นหูกับชื่อของนางมาก เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

 

ทันใดนั้นเองเขาก็นึกออก ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยแสงอันเจิดจ้า

 

“หยุนเหยา ! หรือว่าจะเป็นนาง !? ลูกศิษย์ประมุขนิกายหนุนสวรรค์ ?!”

“หากใช่นาง  นางก็คือตำนานที่มีชื่อเสียงของดินแดนดาราสวรรค์ ผู้ที่เป็นดั่งสวรรค์เลือกเฟ้นอันดับหนึ่งกับกระบี่จันทราเย็นที่ล้มอัจฉริยะของทั้งสิบอาณาจักรได้อย่างง่ายดาย !!”

 

ในที่สุดจี้เทียนซิงก็ตระหนักในตัวตนของนางได้ และไม่แปลกใจว่าทำไมสาวงามอายุน้อยราวกับนางฟ้าถึงได้แตกฉานศาสตร์กระบี่อันยอดเยี่ยมเช่นนี้

 

หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้ ชายหนุ่มก็เริ่มนึกถึงขึ้นได้คำถามหนึ่ง

 

ศิษย์คนสำคัญของนิกายหนุนสวรรค์ …. พวกเขามาทำอะไรที่รัฐนภากระจ่างกันนะ?”

บ้าชิบ มัวแต่คิดฟุ้งซ่าน แล้วน้องสองเล่า?!”

หลังจากนั้นไม่นานจี้เทียนซิงก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าจี้ห่าวยังคงพัวพันกับนักฆ่าอีกสองคน

 

ดังนั้นเขาจึงรีบออกจากภูเขาและรีบกลับไปที่ถนนหลักที่เชิงเขาทันที

 

หลังจากลากสังขารมาครู่ใหญ่ เขาก็กลับมาถึงจุดที่จี้ห่าวรับมือกับนักฆ่าและพบว่าจี้ห่าวกับนักฆ่าหายไปแล้ว

 

แม้แต่ม้าที่ชายหนุ่มกับจี้ห่าวขี่มาก็ยังไม่รู้หายไปไหน แต่บนพื้นมีรอยเลือดอยู่หลายจุดพร้อมกับแขนเสื้อที่ขาด

 

จี้เทียนซิงจดจำได้อย่างรวดเร็วว่าเศษผ้าสีน้ำเงินนี้เป็นของจี้ห่าว

 

“ไม่รู้ว่าน้องสองเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะหนีไปได้หรือเปล่า…”

ชายหนุ่มมีความกังวลใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หลังจากชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจรีบกลับไปที่เมืองจักรวรรดิก่อน