เมื่อจี้เทียนซิงกลับมาถึงเคหะสกุลจี้ก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว
ทั่วร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเลือดและฝุ่นพร้อมทั้งเหงื่อโทรมกาย เขาวิ่งผ่านประตูบ้านสกุลจี้เข้าไปคว้าตัวยามเฝ้าประตูและถามเกี่ยวกับจี้ห่าว
“จี้ห่าวกลับมาหรือยัง !”
ยามเฝ้าประตูเห็นชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามและตอบกลับอย่างรวดเร็ว “คุญชายใหญ่ คุณชายห่าวเพิ่งกลับเมื่อครู่ขอรับ เขาได้รับบาดเจ็บแต่ดูเหมือนว่าอาการจะไม่ร้ายแรงนัก… ”
ความเป็นกังวลของจี้เทียนซิงผ่อนคลายลงในที่สุด “น้องสองไม่เป็นไร…”
ชายหนุ่มเพิกเฉยต่อสีหน้าเป็นกังวลของทหารยามและรีบกลับไปยังห้องของตนเอง
เมื่อกลับเข้ามาถึงในห้อง ฮวนเอ๋อก็เห็นสภาพชายหนุ่มที่ปกคลุมไปด้วยเลือดและฝุ่นคละคลุ้งราวกับขอทาน ทันใดนั้นดวงตาของนางก็แดงขึ้น
“คะ…. คุณชายใหญ่ ! ท่านบาดเจ็บได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นคะ ?! เจ็บมากมั้ย ?”
“ฮวนเอ๋อ เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าสบายดี เจ้าไปหากล่องยามาให้ข้าที”
จี้เทียนซินโบกมือและเค้นรอยยิ้ม
ฮวนเอ๋อรีบวิ่งไปหยิบกล่องยาและนำอ่างน้ำพร้อมกับผ้าเช็ดตัวมาช่วยจี้เทียนซิงทำความสะอาดแผล
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ฮวนเอ๋อก็ช่วยจี้เทียนซิงใส่ยาพันแผลและสลัดชุดหรูหราที่เปื้อนเลือดออก
หลังสั่งให้ฮวนเอ๋อไปปิดประตู ชายหนุ่มก็เหม่อมองไปที่ไกลๆด้วยท่าทางผึ่งผาย “ฮวนเอ๋อ วันนี้ข้าได้ไปที่โรงหลอมกระบี่ล้ำลึกที่ชานเมืองทางใต้ ระหว่างเดินทางกลับตระกูล ข้ากับจี้ห่าวถูกนักฆ่าหลายคนซุ่มโจมตี”
หลังจากฟังจี้เทียนซิงเล่าเหตุการณ์ ฮวนเอ๋อก็ตกใจจนหน้าซีด นางตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า “นักฆ่าสารเลว ! พวกมันชั่วช้านัก !!”
“คุณชายใหญ่เป็นถึงบุตรชายคนโตของท่านหัวหน้าตระกูล ผู้ใดช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า ลอบสังหารท่านในเมืองจักรวรรดิ ?!”
จี้เทียนซิงส่ายหัวและดูเศร้าหมอง “ผู้ที่ต้องการชีวิตของข้ามากที่สุดสมควรเป็นตระกูลหลิงและตระกูลกู่ อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปโรงหลอมกระบี่ที่ชานเมืองนั้นเป็นการตัดสินใจอย่างฉุกละหุก มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ แต่นักฆ่าเหล่านั้นกลับซุ่มโจมตีได้ตรงเวลาเผง และดูเหมือนพวกมันรู้ว่าข้าจะไป….”
“ดังนั้นไม่ควรเป็นตระกูลหลิง พวกมันไม่จำเป็นต้องไปที่ชานเมืองทางใต้เพื่อซุ่มโจมตีข้า หากจะเอาชีวิตข้าจริงๆพวกมันทำซึ่งก็ยังได้”
“ส่วนตระกูลกู่ มีความเป็นไปได้มากที่สุด แต่ข้ายังสงสัยว่าภายในสกุลจี้ของเรามีบางคนจงใจปล่อยข่าวเรื่องการเดินทางของข้าและต้องการที่จะฆ่าข้า”
หากว่ากันตามตรง จี้เทียนซิงสงสัยจี้ห่าวด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม จี้ห่าวยอมเสี่ยงชีวิตเอาตัวเขารับกระบี่และยังบอกให้เขาหนีไป นอกจากนี้จี้ห่าวก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตนเองตั้งแต่ยังเด็ก จี้เทียนซิงย่อมไม่เชื่อว่าจี้ห่าวจะทำร้ายเขา
ใบหน้าที่น่ารักของฮวนเอ๋อเต็มไปด้วยความกังวล นางถามว่า “คุณชายใหญ่ ข้ารายงานนายท่านดีไหมคะ ? หากนายท่านทราบเรื่อง ท่านจะต้องส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดแน่นอน”
จี้เทียนซิงโบกมือและกล่าวว่า “ท่านพ่อกำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับตระกูลกู่อยู่ ข้าว่าอย่าเพิ่งบอกท่านจะดีกว่า ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
“นี่…” ฮวนเอ๋อลังเลและรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่
ในเวลานี้เอง ประตูห้องก็มีเสียงวูบขึ้นและถูกผลักเปิดออกอย่างกะทันหัน
จี้เทียนซิงตื่นตัวทันทีและหันไปมองที่ประตู
เมื่อได้เห็นว่าเป็นบิดาของมัน จี้ชางคงที่เปิดประตูเข้ามาและก้าวอาดๆเข้ามาในห้อง เขาถามเสียงเข้มว่า “เทียนซิง ลูกสงสัยว่าตระกูลเรามีคนทรยศใช่ไหม ?”
จี้เทียนซิงเหลือบมองไปที่ฮวนเอ๋อและส่งสัญญาณให้นางถอยไปก่อน
หลังจากฮวนเอ๋อคำนับคนทั้งสอง นางก็เดินออกไปพร้อมกับปิดประตูให้อย่างมิดชิด
จี้เทียนซิงมองไปที่จี้ชางคงและกล่าวอย่างสงบว่า “ท่านพ่อได้ยินเรื่องที่ข้าพูดกับฮวนเอ๋อด้วยหรือ ?”
บิดาของเขาเป็นยอดฝีมือในเขตแดนเชื่อมปราณขั้นที่ 7 และสามารถได้ยินเสียงที่อยู่ในระยะสิบฟุตอย่างชัดเจน
จี้ชางคงพยักหน้าและดูเป็นกังวล “เทียนซิง เรื่องที่เจ้าสงสัยก็สมเหตุสมผล เป็นไปได้ว่ามีไส้ศึกในตระกูล”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งศัตรูในปัจจุบัน ยิ่งศัตรูแข็งแกร่งย่อมมีผู้คนฉวยโอกาสนี้เอาชีวิตเจ้าเพื่อให้สถานการณ์ในตระกูลปั่นป่วน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของเจ้า พ่อจะสืบเรื่องนี้ให้ละเอียด”
จี้ชางคงชะงักคำพูดไปวูบหนึ่ง และกล่าวเตือนซ้ำอย่างเคร่งขรึมว่า “จากนี้ไปเจ้าจงฝึกฝนอยู่กับบ้าน ไม่ต้องออกไปจากอาณาเขตสกุลจี้อีกแล้ว หากจำเป็นจะต้องออกไปข้างนอกก็จงนำผู้คุ้มกันฝีมือดีไปด้วย”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและนึกขึ้นได้ถึงเรื่องบาดหมางกับตระกูลกู่จึงถามบิดาว่า “ท่านพ่อ แล้วเรื่องตระกูลกู่ท่านมีวิธีจัดการอย่างไร ?”
จี้ชางคงแสยะยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปาก และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “อย่างตระกูลกู่มีหน้าจะมาขอตัวคุณชายใหญ่ตระกูลจี้ไปลงโทษงั้นหรือ ? ในเมืองนี้มีผู้ใดไม่กล้าไว้หน้าตระกูลจี้ของเราบ้าง ? หากพวกมันรับไม่ได้ จะใช้กำลังก็มาเลย ข้าไม่กลัวพวกมันหรอก !”
“เจ้าไม่ต้องกังวลอันใด เพียงแค่ดูแลสุขภาพให้ดี เรื่องนี้พ่อจัดการข่มพวกมันไว้แล้ว เต็มที่ก็แค่เอ่ยปากขอโทษแล้วเสียเงินเล็กน้อย”
ถึงแม้ว่าบิดาจะพูดจากปากว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่จี้เทียนซิงก็มองเห็นถึงความเหนื่อยล้าและความกังวลในสายตาของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่เขาพูด
บิดาของเขามีลักษณะนิสัยชอบเก็บปัญหาไว้เองไม่ต้องการให้ใครมาเป็นกังวลไปด้วย แต่ก็ยังอุตส่าห์ปลอบโยนเขา
เรื่องนี้ทำให้หัวใจของจี้เทียนซิงรู้สึกบีบรัดและเกิดความรู้สึกซาบซึ้งแน่นแฟ้นต่อบิดามากขึ้น เขาปรารถนาที่จะมีพลังอันแข็งแกร่ง !
จี้ชางคงนั่งลงข้างๆชายหนุ่มและกระซิบว่า “ส่วนเรื่องคนทรยศของตระกูลจี้ เลี้ยงไว้นานไม่ได้ มิฉะนั้นมันจะบ่อนทำลายรากฐานของตระกูลจี้ พ่อจะไม่อยู่เฉยปล่อยมันไว้หรอก อีกสองวันพ่อจะหาตัวมันมาให้ได้แล้วทุบตีจนมันยอมสารภาพ !”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจ แต่เราต้องดูสถานการณ์โดยรวมของตระกูลด้วย”
จี้ชางคงถอนหายใจและมีน้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย “ตระกูลจี้กำลังบอบช้ำที่ต้องเผชิญทั้งปัญหาภายนอกและภายใน ที่ผ่านมาพ่อทำไม่รู้ไม่ชี้เพียงคอยดูแลเบื้องหลังอย่างเดียวมาเนิ่นนาน แต่บัดนี้พ่อปล่อยไว้ไม่ได้อีกแล้ว พ่อเป็นห่วงเจ้ามากที่สุด หากวันหนึ่งพ่อไม่อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าพ่อจะยกตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจี้ให้เจ้าเสียแต่ตอนนี้เลย เจ้าจะจัดการกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างไร ?”
“ถึงเวลานั้น ไม่เพียงแค่คนของตระกูลจี้เท่านั้นที่จะแยกแตก แต่ยังรวมไปถึงบรรดาหมาป่าหิวโหยไม่รู้กี่ตัวภายในเมืองจักรวรรดิที่รอรุมกินโต๊ะตระกูลจี้ เจ้าจะรับมือกับพวกมันอย่างไร ?”
หลังจากเทศน์ยาวกับบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนชุดใหญ่ จี้ชางคงก็นิ่งไปครู่หนึ่งและถามอีกฝ่ายว่า
“เทียนซิง เจ้าคิดอย่างไรและวางแผนอะไรไว้ในอนาคต ?”
จี้เทียนซิงอารมณ์หนักอึ้งและรู้สึกแบบเดียวกับบิดาหลังจากได้ยินอีกฝ่ายอธิบายเรื่องพวกนี้
เขารีบปลอบประโลมบิดาอย่างรวดเร็วว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่อยากโต้เถียงกับท่านเรื่องพวกนี้แล้ว แต่ข้าเป็นห่วงสุขภาพท่านมากกว่า ท่านเป็นยอดฝีมือเขตแดนเชื่อมปราณ ตราบใดที่ท่านปล่อยวางบางเรื่องอย่างสบายใจ ท่านจะต้องมีอายุยืนยาว”
“ส่วนเรื่องอนาคตของข้า ข้าวางแผนมานานแล้ว ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนที่การรับสมัครรอบสุดท้ายเข้านิกายหนุนสวรรค์จะเริ่มขึ้น ข้าจะหาหนทางฟื้นฟูความแข็งแกร่งให้ได้ภายในหนึ่งเดือน”
“ในเวลานั้น ข้าไม่เพียงแค่จะติดหนึ่งในสิบเท่านั้น แต่ข้าจะเข้านิกายหนุนสวรรค์ให้ได้ ข้าจะล้างความอัปยศที่ตระกูลหลิงมอบให้และแก้แค้นนังสารเลวหลิงหยุนเฟย !”
การได้เป็นศิษย์นิกายหนุนสวรรค์เป็นความฝันอันยาวนานของจี้เทียนซิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ หลังจากที่ได้เห็นหยุนเหยาและศิษย์สาวกของนิกายหนุนสวรรค์อีกสองคนที่ชานเมืองทางใต้
แต่เดิมเขาก็เป็นอัจฉริยะในเชิงยุทธ์และหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนวิชายุทธ์ แน่นอนว่าเขาย่อมมีความปรารถนาที่จะโบยบินและควบคุมพลังแห่งสวรรค์และปฐพี
มีผู้ใดบ้างที่ไม่อยากครอบครองพลังอันน่าเหลือเชื่อเฉกเช่นเดียวกับเหล่าศิษย์นิกายหนุนสวรรค์ที่ควบขี่สัตว์ร้ายที่ทรงพลังและท่องไปทั่วโลกอันกว้างใหญ่ ?
มีผู้ใดบ้างที่ไม่ใฝ่ฝันที่จะกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงของดินแดนดาราสวรรค์อย่างเช่นหยุนเหยา ที่ทำให้เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ผู้มีพรสวรรค์ของทั้งสิบดินแดนต้องให้ความเคารพ ?
จี้เทียนซิงต้องการเช่นนี้แน่นอน !
เขาใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญมรรคายุทธ์ โบยบินบนฟ้าเหมือนหยุนเหยา และทอดสายตามองมนุษย์ทั่วหล้า !