ชูฮันและกลุ่มวิวัฒนาการ 30 คนรวมถึงหลูปิงเซ่อที่เป็นคนนำทางได้มาถึงเสาหิน
ผู้คนต่างต้องการมาที่เสาหินเพื่อทำการทดสอบและไต่ระดับขึ้นไปอย่างสิ้นหวัง ทุกคนต่างตะเกียจตะกายหวังไม่ให้ตัวเองตกอันดับลงไป
“ใช่อันนี้มั้ย” ชูฮันไม่ได้เข้าไปในเสาหินตรงหน้าเพื่อทำการทดสอบทันทีเหมือนวิวัฒนาการคนอื่นๆ ทว่าเขากลับยืนมองอยู่จากด้านหลังและคุยกับหวังไคในหัว
“ใช่ ฉันเดาว่าน่าจะใช่” หวังไคตอบ “เห็นได้ชัดว่าอีกอันน่าจะอยู่ข้างหลัง”
ชูฮันก้าวเท้าออกเดินผ่านเสาหินที่อยู่ตรงหน้าไป
“พี่จะไปไหน?” หลูปิงเซ่อพยายามจะเรียกชูฮันไว้และมองเสาหินตรงหน้าตัวเอง ทำไมชูฮันถึงไปอีกทาง? ตรงนั้นมันมีหมอกและเหมือนจะมีทะเลสาบอยู่ด้วย มองอะไรไม่เห็นเลย!
“เอ่อ…” มันมีคำเตือนมากมายวนอยู่ในหัวหลูปิงเซ่อ ชูฮันคงไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลานานมาก เขาควรจะไปก่อนมั้ย?
อย่างไรก็ตาม ประโยคต่อมาของชูฮันได้ทำลายความคิดก่อนหน้านี้ของหลูปิงเซ่อลง และสร้างความหวังขึ้นมาแทน “ถ้านายยังอยู่ที่นี้หลังจากฉันออกมา ฉันจะคืนคริสตัล 70 อันก่อนหน้านี้ให้”
“จริงเหรอ?” แววตาของหลูปิงเซ่อเปล่งประกาย
“แน่นอน” ชูฮันยิ้มกว้างและหมุนตัวกลับเดินเข้าฝ่าเข้าไปในหมอก ทุกคนรู้แค่ว่ามันมีเสาหิน แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันมีหมอกหรือทะเลสาบที่ซ่อนเสาหินอีกอันไว้อยู่!
ทะเลสาบเย็นเฉียบ ชูฮันต้องว่ายน้ำเพื่อที่จะไปที่ทางเข้าของเสาหินที่จมอยู่ใต้ทะเลสาบ เสาหินตั้งอยู่กลางทะเลสาบ ส่วนทางเข้าจมอยู่ใต้น้ำ แต่เนื่องจากเหนือทะเลสาบเป็นทะเลหมอกหนา ทำให้วิสัยทัศน์นั้นต่ำมาก จึงทำให้หลายคนไม่รู้ว่ามีเสาหินอยู่ตรงนี้ ขณะที่ในที่สุดชูฮันก็รู้แล้วว่าทำไมเสาหินทดสอบของระยะ 3 ถึงหาเจอได้ยากขนาดนี้ ก็เพราะว่าเสาหินนี้เป็นประเภทเคลื่อนที่ไปมา และที่เหนือกว่านั้นก็คือมันมาปรากฏในทะเลสาบที่เหนือความคิดของทุกคน
ในตอนนั้นเอง หวังไคก็พูดขึ้น “นายโกหกเขา?”
“เปล่า” น้ำเสียงของชูฮันดูลึกแฝงไปด้วยนัยน์บางอย่าง ทำให้คนที่ได้ยินไม่สามารถเดาทางความคิดของเขาได้ “ฉันตั้งใจจะคืนคริสตัลให้เขาจริงๆ”
หวังไคประหลาดใจอย่างมากกับสิ่งที่ได้ยิน “นายใช่ชูฮันที่ฉันรู้จักรึเปล่า?”
แมงป่องตัวนี้จะยอมคืนคะแนนที่กินไปแล้วเหรอ? นี่มันน่าขันยิ่งกว่าการย้อนกลับพันธุกรรมของซอมบี้ซะอีก! มันไม่ใช่รูปแบบพฤติกรรมปกติของชูฮันเลย!
ชูฮันขี้เกียจเกินกว่าจะมานั่งอธิบายกับหวังไคเรื่องการใช้ปลาเล็กเป็นเหยื่อเพื่อล่อปลาตัวใหญ่กว่า เขาตัดสินใจเข้าไปในเสาหินและในตอนนั้นเองการทดสอบของระยะ 3 ของเขาก็เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ครั้งนี้ชูฮันระมัดระวังมากกว่าครั้งไหนๆ
ชิ้นส่วนระบบล่มสลาย เขาจะต้องได้มันมาให้ได้!
——–
ขณะนั้น ณ ชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ของเหย่โม่ พื้นดินได้ถูกปกคลุมได้ด้วยหิมะและน้ำแข็งของเดือนพฤศจิกายนไปแล้วเรียบร้อย หลูฮงเชิงยืนอยู่ที่ชั้นใต้ดิน ข้างๆเขาเป็นซูชิง
“ถ้านายอยากจะพูดอะไร ก็พูดมาได้เลย” เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของซูชิงดูเหมือนหมดความอดทน
“เหอซางไปแล้ว” หลูฮงเชิงพูดขึ้นมาทันทีที่ซูชิงพูดจบ
“ใช่ เขาไปได้ 3 วันแล้ว” ซูชิงวางภาพวาดของโครงร่างบางอย่างที่ซับซ้อนที่เขาวาดไว้ในมือลง และเดินเข้าไปหาหลูฮงเชิงที่ตัวสูงใหญ่กว่า “ฉันรู้ว่าเขาไปแล้ว หลังจากนั้น 3 วัน นายทำสำเร็จแล้วใช่มั้ย?”
หลังจากอาศัยอยู่ที่นี้มาไม่กี่เดือน เหอซาง ซูชิง และหลูฮงเชิงกลายเป็นสนิทสนมกันดี พวกเขาต่างเข้าใจบุคลิกลักษณะนิสัยของแต่ละฝ่ายเป็นอย่างดี การร่วมมือในการทำงานกันก็สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ทำให้ทั้ง 3 คนต่างรู้จุดอ่อนซึ่งกันและกันเช่นกัน
เช่นเดียวกับหลูฮงเชิงที่เป็นคนพลังล้นหลาม ตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือของเหย่โม่ทำให้เขามีแรงบันดาลใจในการสร้างพรสวรรค์ที่หาได้ยากนั้นก็คือการเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งสำหรับการตีเหล็ก ถึงแม้หลูฮงเชิงจะยังเป็นเพียงแค่วิวัฒนาการระยะ 1 ในตอนนี้ ทว่าหลายโครงการที่เหย่โม่ไม่สามารถทำได้หลูฮงเชิงกลับทำได้สำเร็จ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากล้ามเนื้อของหลูฮงเชิงนั้นมีประสิทธิภาพมากขนาดไหน
เพียงแต่ว่า…
หลูฮงเชิงมีขีดความสามารถในการคิด ในการที่จะตีเหล็กให้ได้ตามแบบที่วาดไว้ มันก็ยังมีปัจจัยอื่นที่กดเขาไว้…เหอซางและซูชิงนั่นเอง มันไม่ใช่ว่าหลูฮงเชิงเป็นคนโง่เง่า แต่ 2 คนนัั้นฉลาดมากเกินไปต่างหาก เหมือนกับตอนนี้ ซูชิงกล้าที่จะตะคอกใส่หลูฮงเชิงที่ร่างกายสูงใหญ่อย่างไม่เกรงกลัว
“เหอซางออกจากโรงเรียนไปก่อน แต่ยังไงเราก็ต้องเรียนต่อให้จบ” หลูฮงเชิงหยิบจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของเหอซางขึ้นมาและพับเก็บ ขณะเดียวกันก็รู้สึกหดหู่
“พ้ะ!” ซูชิงตบหัวหลูฮงเชิง “อย่าท้อใจ!”
“โอ้ะ” หลูฮงเชิงยกมือขึ้นจับหัวตัวเองและหยุดร้องไห้ทันที
แม้ซูชิงจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นอยู่เต็มหัวใจ เหอซางหยิ่งยโสเกินไป เหอซางมักจะคิดว่าตัวเองฉลาดที่สุด การทดสอบล่าสุดเผยว่าไอคิวของเหอซางสูงถึง 250และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นไปอีก…ผู้ชายคนนี้โตขึ้นมาด้วยการกินอะไรกัน?
ซูชิงไม่ค่อยกังวลมาก เหอซางสนใจเพียงแค่ด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่โครงการที่เขารับผิดชอบอยู่มันยิ่งใหญ่กว่านั้น
และในขณะที่จู่ๆชั้นใต้ดินตกอยู่ในความเงียบ ทันใดนั้นมันก็มีเสียงดังมาจากลำโพงตรงประตูขึ้นทำให้ซูชิงตกใจ ส่วนหลูฮงเชิงก็ยืนนิ่งไม่ตอบสนองอะไรอยู่พักใหญ่
เสียงเย็นยะเยือกของผู้หญิงดังขึ้น “เปิดประตู”
พรึบ!
ภาพวาดในมือซูชิงร่วงลงพื้นทันที เขาไม่มีวันลืมเสียงนี้ไปตลอดชีวิต ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้เขาก็จะนึกถึงซุปเปอมาร์เก็ตและไฟสลัวๆที่เกิดขึ้นไม่กี่เดือนก่อนในหัวทันที
ทำไมจู่ๆป่ายหวีเนอถึงมาที่นี้ได้!
ซูชิงไม่มีเวลาคิดอะไรมาก เขารีบเปิดประตูชั้นใต้ดินออกอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้นเองป่ายหวีเนอที่อยู่ในชุดกระโปรงสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทั้งสอง ผมยาวสลวยสีดำสนิทยังคงอยู่ที่ระดับสะโพก ส่วนสีหน้าก็ยังคงเย็นชาราวกับมีหิมะตกอยู่ในชั้นใต้ดิน
“คุณป่าย คุณป่าย” ซูชิงพูดจาตะกุกตะกักด้วยความกลัวต่อป่ายหวีเนอจนแทบจะหมดสติ จนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าอากาศภายนอกนั้นหนาวถึงศูนย์องศา แต่ป่านหวีเนอตรงหน้าเขากลับสวมเพียงชุดกระโปรงสีขาว
หลูฮงเชิงไม่กล้าจะพูดอะไรออกมา
หลังจากป่ายหวีเนอเข้ามาข้างในและมองไปรอบๆ เธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเย็นชาและไร้อารมณ์เหมือนเดิม “เหอซางและเหย่โม่?”
“เหอซางออกไปแล้ว เขาบอกว่าเขาจะไปตามหาชูฮัน” ซูซิงตอบอย่างรวดเร็ว ทว่าประโยคต่อมาน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นแผ่วเบา “ส่วนอาจารย์เหย่โม่ ท่านเสียไปแล้ว”
มีแสงบางอย่างปรากฏผ่านนัยน์ตาของป่ายหวีเนอ ตามด้วยเสียงถอนหายใจเล็กน้อย “ไม่น่าล่ะ”
ไม่แปลกใจที่ทำไมครั้งสุดท้ายที่ชูฮันมาที่นี้ เหย่โม่ถึงยอมรับลูกศิษย์ได้อย่างง่ายๆ ชายชรารู้ว่าตัวเองมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้วนั่เอง
จากนั้นป่ายหวีเนอก็กระพริบตาอีกครั้ง “เสี่ยวชีและลี่ชื่อหรง?”