“เด็กโง่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสร้อยเส้นนั้นคืออะไร?”

“ไม่รู้เพคะ แต่ข้าเกลียดมัน มันทำให้ข้าสูญเสียเสด็จพ่อกับเสด็จพี่” แม้เสด็จพี่จะไม่ใช่พี่น้องในอุทรเดียวกัน ทว่าก็ปฏิบัติต่อนางดียิ่งกว่าพระเชษฐภคินีในสายเลือด

“เสด็จพ่อของเจ้าแย่งชิงสร้อยเส้นนั้นมาได้ด้วยความยากลำบาก โดยคิดจะมอบให้เผ่าหยก ทว่าเผ่าหยกกลับตัดขาดกับโลกภายนอก หลายปีมานี้ไม่เคยปรากฏตัวเลย”

กำลังวังชาของพระพันปีคล้ายกับถูกสูดหมดจนเหือดแห้ง

พระองค์รอมานานแรมปี อยากมอบสร้อยเส้นนี้ให้เผ่าหยกในสภาพที่สมบูรณ์

ทว่าคนใกล้ชิดที่สุดของพระองค์ต้องจบชีวิตด้วยสาเหตุที่เกิดจากสร้อยเส้นนี้ ทุกครั้งที่พระองค์เห็นสร้อยเส้นนี้ พระองค์ก็จะอดโศกาลัยไม่ได้

และเป็นเพราะเหตุผลนี้ หลายปีมานี้พระองค์จึงไม่อยากถามไถ่เรื่องสร้อยคอเส้นนี้อีก

องค์หญิงตังตังพูดเอื่อย ๆ “เผ่าหยกคืออะไรเพคะ?”

“ช่างเถอะ ล้วนเป็นเรื่องอดีต ผ่านมานานหลายปีแล้ว เผ่าหยกอาจดับสูญแล้วก็เป็นได้ มิฉะนั้นก็ต้องปรากฏตัวสิ ตอนนี้พูดไปก็ไร้ประโยชน์”

“หากสร้อยเส้นนั้นสำคัญมากจริง ๆ ข้าจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อเอามันคืนจากกู้ชูหน่วน”

“ไม่แน่ว่าสวรรค์จงใจให้สร้อยเส้นนั้นตกอยู่ในมือกู้ชูหน่วนก็เป็นได้”

“งั้นพวกเราไม่ต้องไปเอาคืนแล้วเหรอเพคะ?”

“ไม่ต้องแล้ว เอาคืนมาแล้วจะทำอะไรได้ คนที่ข้ารักและหวงแหนก็กลับมาไม่ได้ เภทภัยของเผ่าหยกคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้เพราะสร้อยเส้นเดียวหรอก”

พระพันปีจากไปด้วยความเศร้าสลด

องค์หญิงตังตังฟังแล้วก็มึนงง ไม่รู้ว่าพระองค์กำลังพูดถึงสิ่งใด

นางรู้เพียงว่าตัวเองสูญเสียวัตถุล้ำค่าไปแล้วอีกหนึ่งชิ้น

ก่อนหน้านั้นนางเสียหยกจันทร์เสี้ยวไป พระพันปีเกรี้ยวกราดมาก

ยามนี้นางยังทำให้สร้อยหลุดลอยจากมือ ส่งผลให้พระพันปีทุกข์ทนใจ

กู้ชูหน่วนออกจากวัง ทว่าไม่ได้กลับจวนหานอ๋อง หากแต่เปลี่ยนทิศไปยังสำนักศึกษาหลวง

นางคิดว่าสำนักศึกษาหลวงปลอดภัยกว่าจวนหานอ๋อง อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีคนจับตามองนางมากนัก

ภายในเรือนสำนักศึกษาหลวง กู้ชูหน่วนมั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว จึงกล่าวเสียงเคร่งขรึม “ฝูกวง”

“ขอรับ”

“เฝ้าสังเกตการณ์ด้านนอก ไม่ว่าใครเข้าใกล้ เจ้าก็ต้องรายงานข้าให้หมด”

“ขอรับ”

กู้ชูหน่วนนำเข็มทิศกับดวงตารูปหัวใจออกจากวงแหวนอวกาศ

นางวางดวงตารูปหัวใจในรูของเข็มทิศ

กรอบแกร็อบ

เข็มทิศเริ่มหมุน

หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ สิบรอบ ห้าสิบรอบ หนึ่งร้อยรอบ…….

โดยจะหมุนเร็วขึ้นทุกขณะ

ลวดลายบนเข็มทิศเกิดการเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญกลายเป็นสีทอง

กู้ชูหน่วนเบิกบานใจยิ่ง

นางทายถูกแล้ว

สร้อยดวงตารูปหัวใจก็คือดวงตาของเข็มทิศ

มันเร็วจนเหลือเชื่อ กู้ชูหน่วนดูไม่ทัน เห็นเพียงแสงสีทองเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ

โชคดีที่อยู่ในตอนกลางวัน หาไม่แล้ว สิ่งแปลกประหลาดครั้งใหญ่เช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นสายตาผู้คนแน่

ท้ายที่สุด

เข็มทิศก็หยุดหมุน

แสงสีทองก็ดับวูบ

ภาพวาดบนเข็มทิศไม่เหมือนเดิม สิ่งเดียวที่เหมือนเดิมคือ ด้านบนเข็มทิศมีรูรูปดาวสามอัน

ด้านล่างดวงตาของเข็มทิศปรากฏเป็นรูปสัญลักษณ์ขึ้น

ซึ่งในรูปสัญลักษณ์ดังกล่าว ปวงชนสักการะบูชาอีกาเป็นเทพปักษี ซึ่งราษฎรพวกนั้นกำลังคุกเข่าอยู่ใต้แท่นบูชาหินห้าสี

กู้ชูหน่วนเพ่งพิศพินิจภาพสัญลักษณ์อยู่ครึ่งค่อนวัน ทว่าก็ไม่พบเบาะแสอันใด

“ฝูกวง เจ้าเข้ามา”

“นายท่านเรียกข้าหรือขอรับ”

“เจ้าดูภาพสัญลักษณ์แล้วลองบอกมาว่าอยู่ตรงไหน?”

ฝูกวงตั้งใจดู ผ่านไปสักพัก เขาก็ส่ายหัว “ข้าน้อยไม่ทราบ ให้ข้าน้อยวาดภาพนี้แล้วนำไปให้หออันดับหนึ่งในใต้หล้าสืบดีหรือไม่ขอรับ”

“ได้ แต่อย่าให้ข้อมูลรั่วไหลนะ”

“ขอรับ”

ฝูกวงกำลังเดินออกไป ทันใดนั้นเขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงย้อนกลับมา “ใช่แล้ว นายท่าน ถึงแม้ข้าน้อยไม่รู้ว่าเป็นที่ใด ทว่าเขตหวงห้ามของเผ่าปีศาจมีอีกาเยอะมากขอรับ น่าจะเป็นศูนย์รวมของเหล่าอีกาทั่วใต้หล้า อีกอย่าง ได้ยินว่าบรรพบุรุษของเผ่าปีศาจเคารพยำเกรงอีกามาก แต่ช่วงหลายร้อยปีต่อมา เผ่าปีศาจก็ไม่ได้เลื่อมใสศรัทธาอีกาอีก”

“ดังนั้นความหมายของเจ้าคือ สถานที่ที่ภาพสัญลักษณ์สื่อถึงน่าจะอยู่ในเขตเผ่าปีศาจ”

“ข้าน้อยไม่กล้ารับรอง แต่เผ่าปีศาจมีอีกาเยอะมากจริง ๆ ”

มือข้างหนึ่งของกู้ชูหน่วนวางหน้าท้อง ส่วนอีกข้างลูบคางเหมือนเคย นางเดินอ้อมเข็มทิศสามรอบ สุดท้ายก็เคาะลงตำแหน่งรูกุญแจรูปดาว พลางกล่าวอย่างแน่วแน่ “งั้นเป้าหมายต่อไปของพวกเราคือตามหากุญแจรูปดาวที่เผ่าปีศาจ”

“นายท่าน ยามนี้ท่านหานอ๋องให้คนสะกดรอยตามท่านอยู่ แล้วพวกเราจะไปเผ่าปีศาจได้เช่นไร และที่สำคัญ ช่วงนี้เผ่าปีศาจก็เกิดการเปลี่ยนแปลง กำลังรบกับรัฐฉู่อย่างดุเดือด จึงเข้าศูนย์หลักของเผ่าปีศาจยาก”

“คนนิกายเทพอสูรมีไว้ทำไม”

ประโยคเดียวทำให้ฝูกวงจุกจนพูดไม่ออก

ติดตามข้างกายนายท่าน เดินทางเพียงลำพังจนชิน เหตุใดจึงลืมเลือนนิสัยใจคอท่านไปได้

กู้ชูหน่วนเตรียมเก็บเข็มทิศ ทันใดนั้นภาพบนเข็มทิศพลันแปรเปลี่ยนอีกครา ตรงรูกุญแจรูปดาวอีกสองตำแหน่งเกิดภาพสัญลักษณ์ขึ้นมาอีกสองภาพ

และสองภาพนี้ยิ่งแปลกประหลาดกว่าเดิม

ภาพหนึ่งเป็นหุบเขาทรงกระบี่ และบนยอดเขาคือกระบี่ที่ชักออกจากฝักแล้ว และชี้ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

ส่วนอีกภาพเป็นปิ่นระย้าขาวหิมะ บนสุดเป็นรูปผีเสื้อสองตัวโบยบิน และด้านล่างลำตัวผีเสื้อมีลูกปัดหยก

ส่วนอีกภาพเป็นปิ่นระย้าขาวหิมะ บนสุดเป็นรูปผีเสื้อสองตัวโบยบิน และด้านล่างลำตัวผีเสื้อมีลูกปัดหยก

“เจ้าเคยเห็นหุบเขาทรงกระบี่กับปิ่นระย้านี่หรือไม่?”

“ไม่เคยขอรับ”

ใบหน้าหมดจดหล่อเหลาส่ายไปมา

หุบเขาทรงกระบี่ยังพอเข้าใจ แค่ออกค้นหาตามลักษณะก็พอ

ทว่าปิ่นระย้านี้คือตัวอะไร คงไม่ใช่หุบเขาทรงปิ่นระย้ากระมัง

“ให้หออันดับหนึ่งในใต้หล้าไปสืบดูโดยเร็ว พี่เฉินเฟยมีเวลาไม่มากแล้ว หากช้าไปหนึ่งวินาที เขาก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นหนึ่งส่วน”

นางอยากรวบรวมไข่มุกมังกรให้ครบเจ็ดเม็ดเสียตอนนี้เลย

ทว่ามันยากมาก แค่ไข่มุกหนึ่งเม็ดก็ต้องสรรหาองค์ประกอบหลากหลายอย่าง

ซึ่งแต่ละอย่างล้วนมีอายุนับพันปี แม้นจะได้เบาะแสเลือนราง ทว่าเมื่อผ่านกาลเวลานับพันปี ทั้งหุบเขาและสายน้ำก็เปลี่ยนแปลงจนเกือบไม่เหมือนเดิม

“แก๊ง ๆ ๆ ”

เสียงระฆังในสำนักศึกษาหลวงดังลอยเข้ามา สื่อให้รู้ว่าเริ่มเข้าเรียนกันแล้ว

กู้ชูหน่วนได้ยินเสียงนี้ผิวหนังก็ด้านชา จึงคิดจะเผ่นหนี ทว่ากลับมีคนของสำนักศึกษาหลวงเข้ามาเตือน

“พระชายาหาน ท่านอาจารย์ซั่งกวนกล่าวว่า ในเมื่อท่านกลับมายังสำนักศึกษาแล้ว ก็ควรตั้งใจร่ำเรียน หากไม่ถึงเวลาเลิกเรียนก็ห้ามออกจากสำนักศึกษา”

“……”