ตอนที่ 381 สมรสพระราชทาน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 381 สมรสพระราชทาน

“ฮ่าฮ่าฮ่า จวินฮานกับแม่ทัพน้อยลู่คงมิได้ร่วมมือกันล้อข้าเล่นใช่หรือไม่ ? ”

ฮ่องเต้ทรงพระสรวลออกมา ทว่าเหล่าขุนนางมิได้มีผู้ใดหัวเราะตามไปด้วย

สถานการณ์เยี่ยงนี้การแต่งงานระหว่างจวนอ๋องมู่และจวนโหวอันถือว่าเป็นที่แน่นอนแล้ว ฝ่าบาทเองก็มิอาจปฏิเสธได้

“ฝ่าบาท”

มู่จวินฮานแสดงสีหน้าจริงจังขณะย้ำเตือนอีกครั้ง

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเขา จากนั้นก็ทอดพระเนตรลู่จ้าน สีพระพักตร์ที่ดูลังเลในตอนแรก ท้ายสุดก็ตัดสินพระทัยได้

“ช่างเถิด ในเมื่อมู่จวินฮานเคยหมั้นหมายกับบุตรสาวภรรยาเอกของจวนโหวอันก่อนแล้ว ข้าก็ต้องรักษาสัญญาเช่นกัน อย่างนั้นข้าจักประทานสมรสให้เจ้าทั้งสอง ! ” สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ดูเหมือนยินดีแต่ที่จริงยังมีเรื่องกังวลพระทัยอยู่

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ” ขณะที่มู่จวินฮานขอบพระทัยอยู่นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองลู่จ้านปราดหนึ่ง

สตรีของเขา ลู่จ้านก็อยากแย่งชิงหรือไร ?

“เกอเอ๋อ ยังมิรีบขอบพระทัยฝ่าบาทอีก” อันอิงเฉิงกล่าวเสียงดังจนทุกคนในที่นั้นหันมามองอันหลิงเกอเป็นตาเดียว

นางจึงค่อย ๆ ยืนขึ้น จากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ข้างกายของมู่จวินฮาน

สายตาของมู่จวินฮานก็จับจ้องนางตลอดเวลา แววตาเต็มไปด้วยความรักและความชื่นชม

“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ ! ”

“เมื่อแต่งเข้าจวนอ๋องมู่แล้ว เจ้าต้องคอยสนับสนุนอนาคตของอ๋องมู่คนปันจุบันให้ดี ! ” ฮ่องเต้กัดฟันตรัสคำว่า ‘สนับสนุน’ ออกมาและมู่ซื่อจื่อที่ได้สมรสอีกทั้งได้ควบคุมกองทัพแทนบิดาพร้อมนำชัยชนะมาได้ก็ขึ้นเป็นอ๋องมู่เพื่อดูแลจวนอ๋องสืบไป

บัดนี้ใครต่างก็เห็นถึงความกังวลของพระองค์อย่างชัดเจน

“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”

“มิทราบว่าวันมงคลจัดขึ้นวันไหนดีพ่ะย่ะค่ะ ? ” มู่จวินฮานยังทูลถามมิหยุดเพราะตอนนี้เขามิอาจรอได้อีกแล้ว เขาอยากแต่งงานกับนางโดยเร็วที่สุด

“เช่นนั้น…วันที่หกเดือนหน้า ยังมีเวลาอีกประมาณครึ่งเดือน อ๋องมู่คิดว่าเร็วเกินไปหรือไม่ ? ” ฮ่องเต้ในยามนี้ก็ยอมประนีประนอมด้วย ในเมื่อพระราชทานสมรสให้แล้ว จักวันไหนก็หาได้สำคัญอีกต่อไป

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่ากำลังดี ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” ใคร ๆ ก็ดูออกว่ามู่จวินฮานอารมณ์ดีมากเพียงใด

ทว่าลู่จ้านที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับมีสีหน้ามิค่อยดีสักเท่าไร

“แม่ทัพน้อยลู่ยังมีความปรารถนาอื่นหรือไม่ ? ” ฮ่องเต้ก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ามิน้อย

“ร้องขอแต่มิสมปรารถนา สู้มิร้องขอยังดีเสียกว่าพ่ะย่ะค่ะ!”

ลู่จ้านก็ช่างบ้าดีเดือด วันดีๆ เช่นนี้เขากล้ากล่าวออกมาได้ ทว่าก็มิมีใครกล้าตำหนิเขา

ส่วนผู้ที่ทำให้ลู่จ้านโกรธเช่นนี้ ฝ่าบาทย่อมโทษว่าเป็นความผิดของมู่จวินฮานอยู่แล้ว

“ช่างเถิด มามามา ทุกท่านเชิญดื่ม” วันนี้ฮ่องเต้ขอยอมแพ้เพราะทรงพบแต่คนที่ต่อกรด้วยยากถึงสองคน

“ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้คุณหนูใหญ่ของพวกเราจริงหรือ ! ”

“ใช่แล้ว คราวนี้จวนโหวคงเงียบเหงามิน้อยเลย เฮ้อ”

ถ้อยคำที่สาวใช้สนทนากันได้ลอยมาเข้าหูอันหลิงอีทุกประโยค นางเกาะที่ขอบหน้าต่างบานเล็กของคุกใต้ดินแล้วมองส่องไปภายนอกก็เห็นวัตถุสีแดงที่ใช้ในงานมงคลละลานตาไปหมด

ไม่ เป็นไปมิได้ !

เหตุใดจึงรวดเร็วปานนี้ !

“พวกเจ้ามานี่ ! ” อันหลิงอีส่งเสียงเรียกจนสาวใช้คนหนึ่งตกใจวิ่งหนีไป

“เจ้ามานี่สิ ! ” อันหลิงอีกล่าวเสร็จก็ดึงปิ่นปักมวยผมด้านบนศีรษะออกมาแล้ววางไว้ที่ขอบหน้าต่าง

สาวใช้คนนั้นก้าวเข้ามา หลี่ซื่อที่นอนอยู่ในห้องขังฝั่งตรงข้ามส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย เด็กคนนี้เมื่อใดจักรู้จักข่มอารมณ์ได้เสียที

แม้ตอนนี้นางก็รู้สึกโกรธแค้นมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่ก็รู้ดีว่านี่มิใช่วิธีที่ดีเอาเสียเลย

“งานจัดขึ้นเมื่อใด ? ” อันหลิงอีเอ่ยถาม

“อีก 13 วันเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบตามตรงเพราะอย่างไรอันหลิงอีก็เป็นคุณหนูคนหนึ่ง แม้มิเป็นที่โปรดปรานแล้วก็ยังอยู่สูงกว่าพวกนาง

“13 วัน…” อันหลิงอีพึมพำออกมา

“ประเดี๋ยวเจ้าไปเอากระดาษกับพู่กันมาให้ข้าแล้วข้าจักยกเครื่องประดับทั้งหมดบนตัวให้เจ้า ! ” อันหลิงอียังพยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่

“คือว่า…”

สาวใช้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่เครื่องประดับบนศีรษะของอันหลิงอี

ปกติการแต่งกายของอันหลิงอีค่อนข้างอลังการอยู่แล้วจึงมีเครื่องประดับติดกายนับมิถ้วน ตอนนี้ถูกคุมขังแต่เครื่องประดับก็มิได้โดนปลดออกสักชิ้น

“เจ้าค่ะ ! ” สาวใช้คนนั้นกัดฟันตอบออกมา

“พูดรู้เรื่องเช่นนี้ก็ดีแล้ว” อันหลิงอียิ้มอย่างพึงพอใจ นางเองก็ยังพอมีวิธีอยู่เหมือนกัน

หลังจากสาวใช้เดินห่างออกไป นางก็คลานไปยังประตูห้องขัง

“ท่านแม่ ลูกหาวิธีให้คนส่งจดหมายไปยังตระกูลหลี่แล้ว ให้พวกเขามาช่วยเราได้แล้วเจ้าค่ะ ! ”

เมื่อเห็นบุตรสาวโง่เง่าเช่นนี้ หลี่ซื่อจึงเลือกเงียบปากพร้อมปิดตาแสร้งทำราวกับว่ากำลังนอนหลับ

ผ่านไปมินานสาวใช้คนนั้นก็วิ่งกลับมา

อันหลิงอียื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้สาวใช้

“ตอนที่เจ้าออกไปตลาดก็หาวิธีนำจดหมายฉบับนี้วางไว้ที่ร้านค้าของตระกูลหลี่ ! ” อันหลิงอีกล่าวไปพลางปลดเครื่องประดับที่อยู่บนศีรษะและข้อมือออกมา

“ตระกูลหลี่มีโรงรับจํานําอยู่พอดี ในเมืองจิงเกรงว่ามิมีที่ใดสามารถจำนำของพวกนี้ได้อีก เจ้าไปที่นั่นก็แล้วกัน”

เมื่อได้ยินอันหลิงอีกล่าว สาวใช้จึงพยักหน้าเป็นการตกลง

“หากคุณหนูสามได้ออกมาก็อย่าลืมบ่าวนะเจ้าคะ บ่าวชื่อว่าเสี่ยวเถาเจ้าค่ะ”

“ได้ได้ได้ ข้ารู้แล้ว”

อันหลิงอีมิได้ตั้งใจฟังแต่หลี่ซื่อดวงตาเป็นประกายขึ้นมาแล้วจดจำชื่อของอีกฝ่ายเอาไว้

“เรียนนายท่าน คนตระกูลหลี่มาขอรับ” ผ่านไปสามวันในที่สุดตระกูลหลี่ก็ส่งคนมาจนได้

“เป็นผู้ใด ? ” อันอิงเฉิงถึงขั้นนิ่งไปชั่วขณะเพราะคาดมิถึงว่าจนบัดนี้ตระกูลหลี่ยังให้ความสนใจหลี่ซื่อกับลูกอกตัญญูนั่นอีก

“เป็นคนรับใช้คนหนึ่งขอรับ”

คนรับใช้หรือ ?

ได้ยินดังนั้นทุกคนที่นั่งอยู่ก็พากันหัวเราะออกมา ตระกูลหลี่ส่งคนรับใช้มาเพราะแค่อยากมาดูเฉย ๆ เท่านั้นกระมัง

“เขามาทำอันใด ? ” ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนเอ่ยขึ้นมา

“เขาแค่อยากพบหน้าฮูหยินรองหลี่เท่านั้นขอรับ”

พบหน้าน่ะหรือ ?

“เช่นนั้นก็ให้เขาไปพบเถิด ท่านพ่อ ลูกใกล้เข้าพิธีมงคลแล้ว เราอย่าทำให้คนอื่นลำบากใจเลยเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอกล่าวออกมาด้วยท่าทีสบาย

“อืม ถ้าอย่างนั้นก็พาเขาไป” อันอิงเฉิงรู้สึกว่าสิ่งที่เกอเอ๋อกล่าวมีเหตุผลจึงอนุญาตทันที

ที่จริงแล้วอันหลิงเกอแค่อยากให้ตระกูลหลี่ได้ข่าวว่าตอนนี้หลี่อี๋เหนียงตกต่ำถึงเพียงใด ภายภาคหน้าจักได้ตัดขาดกับสองแม่ลูกอย่างแท้จริง

หรือหากทำให้ตระกูลหลี่โมโหก็จักได้สู้กันจนตายไปข้างหนึ่งให้รู้แล้วรู้รอด เพราะมิว่าอย่างไรนางต้องแก้แค้นให้สำเร็จ

“นายท่าน แย่แล้วขอรับ แย่แล้ว ! ”

“เกิดอันใดขึ้นอีก ! ”

เพิ่งจักพาคนรับใช้ตระกูลหลี่ไปได้มินาน อยู่ ๆ ก็รีบร้อนมารายงานเช่นนี้จึงทำให้อันหลิงเกอสงสัยว่าอาจมีการปล้นคุกเกิดขึ้น

“ฮูหยินรองหลี่กับคุณหนูสามถูกวางยาพิษขอรับ ! ”

ถูกวางยาพิษ ?

เป็นไปได้อย่างไร !

พวกนางมีโอกาสสัมผัสยาพิษที่ไหนกันเล่า ?

แม้แต่อันหลิงเกอก็ตกตะลึงทันที ภายในจวนยังมีผู้อื่นที่คิดสังหารหลี่อี๋เหนียงอีกหรือ ?

“รีบไปช่วยคนก่อน ! ” อันอิงเฉิงโมโหมาก ใครที่กล้าทำร้ายคนในถิ่นของเขาเยี่ยงนี้ ?

แต่คนรับใช้ตระกูลหลี่เหมือนมิอยากยุ่งด้วยเพราะหลังจากได้ทราบข่าวก็จากไปทันที

“เป็นอย่างไรบ้าง ? ”

“ยาพิษแม้มิได้ร้ายแรง แต่…” ท่านหมอถอนหายใจออกมา จวนอ๋องหลายจวนมักมาจ้างวานให้เขาไปเป็นหมอประจำจวน ก่อนหน้านี้ตอนอยู่จวนอ๋องอี้เขาก็ตรวจเจอเข็มพิษและยังเป็นพิษชนิดเดียวกันอีกด้วย

หลังจากรายงานสถานการณ์ให้โหวอันทราบแล้วท่านหมอจึงขอตัวกลับ

“ท่านพี่…” หลี่ซื่อฟื้นขึ้นมาก่อน

“นี่มันเรื่องอันใด พวกเจ้ามีอันใดที่คิดมิตกอย่างนั้นหรือ ? ”

เมื่ออันอิงเฉิงรู้ว่าเป็นพิษชนิดเดียวกัน ความคิดที่ผุดขึ้นมาตอนแรกก็คือพวกนางต้องการฆ่าตัวตาย

“ท่านพี่ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้าและอีเอ๋อเจ้าค่ะ ! ” หลี่ซื่อทำเหมือนเพิ่งเจอเรื่องน่าหวาดกลัวมาอย่างไรอย่างนั้น