การต่อสู้กับราชาซางเหม่าและราชาหูเซินสิ้นสุดลงในระยะเวลาสามเดือนของโลกเบื้องล่าง ระหว่างนั้นยังมีราชากงโหย่วอีกตนที่เข้ามาสร้างความวุ่นวาย แต่ยังโชคดีที่เหล่ามหาเทพที่รับผิดชอบฆ่าราชาทั้งหลายของเผ่ามารตามมาทัน สุดท้ายจึงสามารถฆ่าราชาทั้งสองและทำให้ราชากงโหย่วบาดเจ็บสาหัสได้ ปิดฉากการต่อสู้ที่ยาวนานสามเดือนนี้ลง
รัชทายาทฉางฉินรีบร้อนตรวจนับนักรบของหน่วยติงเหม่า ยังดีว่าบาดเจ็บล้มตายไม่มาก แต่ที่ทำให้เขาผิดคาดที่สุดก็คือองค์ชายน้อยตระกูลจู๋อินกลับไม่อยู่ เขาดับสูญไปแล้วหรือ ตระกูลจู๋อินจะดับสูญง่ายๆ อย่างนี้ได้อย่างไร หรือว่าหนีไปแล้ว ไม่น่าใช่ ชิงเยี่ยนไม่เหมือนกับน้องหญิงเล็กของเขาที่วันๆ ดีแต่สร้างความวุ่นวายไปทั่ว
ขณะที่เขากำลังประหลาดใจ พลันเห็นเงาร่างสีแดงรีบร้อนมาตรงหน้าเขา นี่ก็คือน้องหญิงตัวน้อยของชิงเยี่ยนผู้นั้น เดิมนางก็มีหน้าตาขาวซีดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับยิ่งรู้สึกว่านางเหมือนแสงจันทร์ ราวกับกำลังจะสลายไปอย่างนั้น เมื่อลงมาที่พื้นแล้วนางก็ออกปากถามอย่างไม่เกรงใจทันที “ชิงเยี่ยนอยู่หรือไม่”
เขากำลังจะถามนางพอดีเลย! รัชทายาทฉางฉินส่ายหัว “พวกเจ้าสองพี่น้องกำลังทำอะไรกัน องค์ชายน้อยไปที่ไหนแล้ว”
ยังไม่ทันกล่าวจบ กลุ่มร่างเงาสีแดงเพลิงนั่นก็หมุนตัวดังสวบบินออกไปทันที ทำให้เขาได้แต่นิ่งงันอยู่นาน
เสวียนอี่รีบบินกลับไปที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ ก่อนจะมุ่งไปทางเขาจงซานอย่างรวดเร็ว นางบุกเข้าไปทางประตูหลัง ฉีหนานไล่ถามนางตามหลังมาอย่างประหลาดใจ แต่นางไม่พูดอะไรออกมา เหลียวมองไปรอบๆ แล้วพลันจากไปทันที บินไปทางเทียนเป่ยหามหาเทพเสวียนหมิง
ไม่ว่าที่ไหนนางก็หาชิงเยี่ยนไม่พบ หาไปทั่วทุกที่ ทว่าเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
บางทีการหายตัวไปของท่านพ่อก็อาจจะไม่ใช่เพราะเขาไปติดหญิงที่ไหนก็ได้ คนที่ลงมือคือเผ่ามารหรือ ก็ไม่เหมือน
นี่เรียกว่าจงใจเหลือนางไว้จัดการเรื่องราวต่างๆ เพียงลำพัง…เป็นตระกูลชิงหยางหรือ พวกเขาทำอย่างนี้ได้อย่างไร แล้วทำไมคนที่ถูกจับถึงไม่ใช่นาง
นางนึกไปถึงวันที่สู้กับราชาทั้งสอง เซ่าอี๋เข้ามาทักทายนางอย่างกะทันหัน เขากำลังบอกนางเป็นนัยหรือ
นางคิดมาตลอดว่าขนหัวใจหงส์ทั้งสองเส้นของเซ่าอี๋นั้นนำมาเพื่อใช้ชีวิตของนางข่มขู่ตระกูลจู๋อิน หรือว่าจะกลับกัน ตอนนี้เขาใช้ชีวิตของชิงเยี่ยนและท่านพ่อมาข่มขู่นางหรือ ขนหงส์สองเส้นนี้จะเอาไว้ใช้ทำอะไรกันแน่
เสวียนอี่รู้สึกว่าตนเองเฉลียวฉลาดเสมอมา ทั้งยังเก่งกาจมากด้วย ในแผ่นดินนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่นางแก้ไขไม่ได้ เรื่องยากลำบากหรือยุ่งยากทั้งหลายนางก็ล้วนแต่สามารถแก้ไขมันได้อย่างง่ายได้เสมอ แต่ว่าตอนนี้นางพบว่า นางไม่มีวิธีทางไหนที่จะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ได้เลย ทั้งยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอีก พี่ชายและท่านพ่อของนาง ตระกูลจู๋อินที่วิชาใดๆ ก็ล้วนแต่ไร้ผล ตระกูลที่เทพมารต่างหวาดกลัว พลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ครั้นกลับไปแดนเทพ เทือกเขาที่เป็นสนามรบจนกลายเป็นฝุ่นผงแถบนั้นถูกเทพสร้างขึ้นมาใหม่แล้ว น้ำสีดำมากมายเองก็หายไปหมด เสวียนอี่ลงมาในป่า นางรู้สึกเคว้งคว้างไร้ที่พึ่งพิง
ราวกับว่าในแผ่นดินนี้เหลือนางอยู่เพียงลำพัง ฝูชางยังคงหลับใหลไม่ได้สติ ส่วนชิงเยี่ยนกับท่านพ่อก็ไม่รู้หายไปที่ไหน
นางจะรอฝูชางดีไหม…ความคิดนี้ผุดขึ้นมา และถูกนางกดลงไปอย่างรวดเร็ว
ท่านพ่อกับชิงเยี่ยนรอไม่ได้ หากว่านางพ่ายแพ้ คิดว่าก็คงต้องเอาชีวิตไปทิ้ง เห็นนางดับสูญไปต่อหน้าต่อตา ศิษย์พี่ฝูชางน่าจะต้องทรมานมากแน่ อืม ไม่ใช่น่าจะ แต่ว่าเขาจะต้องทรมานมากเสียจนอยากดับสูญไปพร้อมกับนางแน่ นางมักคิดเข้าข้างตัวเองอย่างนี้
ตอนนี้นางไม่อยากทำร้ายเขาแม้สักนิด สักนิดก็ไม่อยาก
ในลำคอของนางราวกับมีก้อนอะไรนุ่มๆ อยู่ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางกระตุ้นตราประทับสีทองที่ข้อมือขวาหลายต่อหลายครั้งแต่กลับไม่มีสัญญาณตอบกลับมา
เสวียนอี่หมุนตัวช้าๆ นางขี่ลมแล้วบินมุ่งไปทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
…
บางทีอาจเพราะนักรบทุกคนฆ่าราชาได้ติดต่อกันหลายคน ช่วงนี้เผ่ามารของโลกเบื้องล่างจึงสงบไปมาก ค่ายกลแสงที่เคยมียันต์คำสั่งปรากฏขึ้นบ่อยครั้งก็สงบไปหลายวัน แต่ว่าวันนี้กระโจมนักรบของหน่วยอี่ปิ่งอิ๋นกลับไม่ได้สงบอย่างนั้น เงาร่างสีแดงเพลิงปรากฏที่หน้ากระโจม ไม่รอให้ใครรายงานนางก็บุกเข้าไปด้านใน จนทำให้เหล่าทหารคุ้มกันต่างร้องโวยวาย
เมื่อเห็นชัดเจนว่าผู้ที่บุกเข้าไปเป็นใคร แม่ทัพผู้คุมที่รีบร้อนตามมาก็ไม่สนใจอีก
เป็นองค์หญิงตระกูลจู๋อินคนนั้นอีกแล้ว เดิมนางคือนักรบของหน่วยอี่อี่ไฮ่ แต่เมื่อลงมาโลกเบื้องล่างกลับไม่ยอมฟังคำสั่งแล้วไปไหนมาไหนตามอำเภอใจ แต่ว่านางเองก็ร้kยกาจมาก ฆ่าราชาทั้งสองครั้งนางก็ช่วยได้มาก ทำให้กระทั่งมหาเทพไป๋เจ๋อไม่สนใจนาง เขายิ่งคร้านจะไปสนใจใหญ่ นางอยากจะบุกเข้ามาก็บุกไปแล้วกัน
เสวียนอี่เดินไปในกระโจมทีละก้าวอย่างเชื่องช้า ประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางลับคมจนถึงขีดสุด ไอบริสุทธิ์ในกระโจมที่พักนักรบทุกหลังถูกนางควบคุมไว้หมด กลิ่นอายธาตุไม้และเพลิงของตระกูลชิงหยางอยู่ทางมุมตะวันออกเฉียงใต้
ราวกับมีภาพไม่ดีอะไรบางอย่างแวบผ่านในสมองนางไป สิ่งเหล่านั้นที่นางลืมไปแล้ว
เข็มที่ถูกเผาจนกลายเป็นสีแดงมากมายแทงทะลุผิวหนังเข้ามา เสียงร้องอ้อนวอนของท่านแม่ เสียงกลั้นสะอื้นไห้เหล่านั้นของนาง
นางขมวดคิ้วมุ่นและจงใจไม่สนใจพวกมัน นางพุ่งผ่านระเบียงคดที่เต็มไปด้วยเงาเถาวัลย์ไป แล้วไปหยุดอยู่หน้าเรือนที่มีกลิ่นอายของธาตุไม้และไฟเข้มข้น ต้นไม้ใบหญ้าของโลกมนุษย์ล้วนแต่ชอบไอบนร่างของหงส์ฟ้าเก้าสวรรค์ ต้นไม้ใบหญ้าของที่นี่มีมากกว่าที่อื่นมาก เถาวัลย์สีเขียวชอุ่มเลื้อยไปตามกำแพงจนเต็ม ดอกไม้ของโลกมนุษย์แต่ละกระถางบานอยู่ในเรือน
เสวียนอี่จ้องไปยังดอกชาใต้ดอกหนึ่งที่อยู่ใต้หน้าต่างนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูพลันเปิดออก เซ่าอี๋คลุมชุดคลุมตัวบางสีเงินตัวยาวไว้ เหมือนเขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ผมยาวของเขายังมีหยดน้ำติดอยู่ ในอ้อมอกของเขาโอบกอดเทพธิดางดงามหยาดเยิ้มองค์หนึ่งเอาไว้ เขากล่าวลานางด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเห็นนาง ดวงตาหงส์เรียวยาวสีดำสนิทของเขาก็หรี่ลง แล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “ปลาดุกอุยน้อย เจ้ามาทะเลาะกับข้าอีกแล้วหรือ”
เทพธิดาที่มีรูปโฉมงดงามผู้นั้นเห็นองค์หญิงตระกูลจู๋อิน ก็รีบเผ่นหนีไปไกลอย่างเร็วโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
เสวียนอี่เดินเข้าไปใกล้เขาช้าๆ นางเงยหน้ามองอัญมณีสีแดงเพลิงที่หน้าผากเขาเม็ดนั้น แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านเอาชิงเยี่ยนกับท่านพ่อไปไว้ที่ไหน”
เซ่าอี๋เห็นใบหน้านางเต็มไปด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง จึงใช้มือปัดออกให้นางอย่างนุ่มนวลแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ทำไมถึงได้มาถามข้าล่ะ เจ้าคิดว่าข้าสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้งั้นหรือ”
เสวียนอี่กล่าวช้าๆ ว่า “ไม่ต้องแกล้งพูดจาไร้สาระทำตัวโง่งมแล้ว นอกจากตระกูลชิงหยางข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่ายังจะมีใครที่ใจกล้าถึงขนาดนี้อีก ในเมื่อคืนวันนั้นท่านกล่าวมาอย่างนั้น ไม่ใช่ว่ากำลังรอให้ข้ามาหาท่านหรือ”
เซ่าอี๋พลันหลุดยิ้มออกมาแล้วคว้าแขนนางไว้พร้อมลากเข้าไปในห้อง “เข้ามาคุยกันเถอะ ปลาดุกอุยน้อย หากว่าเป็นตระกูลชิงหยางทำ เจ้าจะทำอย่างไร เจ้ามาขอร้องข้าหรือ หรือว่ามาเพื่อจบสิ้นไปพร้อมกันกับข้า”
พูดถึง “จบสิ้นไปพร้อมกัน” เขากลับหลุดหัวเราะออกมา
เสวียนอี่ถูกเขาดึงให้นั่งลงบนขอบเตียง บนที่นอนยุ่งเหยิงไปหมด หมอนตกลงไปอยู่บนพื้น และบนนั้นยังมีไอของเทพธิดาคนเมื่อครู่นี้หลงเหลืออยู่
นางขมวดคิ้วมุ่น ภาพที่ไม่น่าอภิรมย์เหล่านั้นในสมองก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ
เลือดสดๆ และน้ำตาของท่านแม่ตอนดับสูญไป ท่านแม่ใช้มือทั้งสองกอดนางไว้แน่นแล้วบอกให้นางต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
นางไม่ชอบความรู้สึกนี้เอามากๆ มีเพียงนางที่ถูกทิ้งเอาไว้ ของสำคัญในใจที่นางให้ความสำคัญเหล่านั้นถูกเอาไปหมดแล้ว จนทำให้นางได้แต่ต้องมีความเหงาคอยอยู่เป็นเพื่อน
นางยอมให้คนที่ถูกพาไปเป็นตัวนางเองมากกว่า
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” เซ่าอี๋ย่อตัวลงด้านหน้านาง แล้วมองไปยังดวงตากลมของนางอย่างประหลาดใจ “หรือว่าเจ้ามาหาข้าที่นี่เพื่อมาเหม่อลอย”
กลุ่มก้อนปุยนุ่นที่ลำคอของนางเริ่มมาอีกแล้ว เสวียนอี่ได้แต่ต้องอ้าปากหายใจ ดวงตาของเซ่าอี๋หรี่ลง “เจ้า…”
“ไม่ต้องเอาชิงเยี่ยนกับท่านพ่อมาขู่ข้า ข้ามาแล้ว ท่านปล่อยพวกเขาไป” แววตาของนางมองไปบนใบหน้าของเขานิ่งๆ พร้อมกับกล่าวตัดบทคำพูดเขา
เซ่าอี๋ทั้งประหลาดใจทั้งขบขัน เขามองพิจารณานาง “ปลาดุกอุยน้อยอย่างเจ้ากลับใจกล้าถึงขนาดนั้น เจ้านี่ช่างทำให้ข้าต้องตั้งตาคอยจริงๆ ”
เขายังคิดว่านางเป็นพวกเลือดเย็นไร้หัวใจเสียอีก ในแผ่นดินนี้มีเพียงตัวนางเท่านั้นที่สำคัญ
เสวียนอี่มีสีหน้าสงบราบเรียบ แล้วกล่าวเสียงนิ่งว่า “ตอนนี้ข้าไม่มีวิธีการอะไรมารับมือท่านจริงๆ แต่ว่าท่านกลับจับจุดตายของข้าเอาไว้ ดูแล้วที่ข้าอาศัยขนหัวใจหงส์สองเส้นเพื่อให้มีชีวิตอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ น่าจะถือว่าเก่งกาจมากแล้ว ไม่ว่าท่านคิดจะให้ข้าทำเรื่องยากขนาดไหน ข้าก็จะพยายามทำสุดความสามารถ ปล่อยพวกเขา”
เซ่าอี๋นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเหลือบตาขึ้นจ้องมองนาง “เพราะอะไร”
เสวียนอี่กล่าวเสียงต่ำว่า “เพราะว่าข้าไม่อยากจะเป็นคนที่ถูกทิ้งไว้คนนั้น”
เซ่าอี๋กล่าวเสียงเบา “แต่ว่าถูกทิ้งไว้ถึงจะมีความหวัง ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีความหวัง ไม่ว่าอะไรก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
เสวียนอี่กล่าว “ผู้ที่ถูกทิ้งไว้ทรมานที่สุด เพราะว่าจดจำทุกอย่างได้อย่างแม่นยำ ต้องแบกรับอารมณ์ความรู้สึกมากมาย ข้าไม่อยากต้องทรมาน และยิ่งไม่อยากแบกรับภาระด้วย ข้ายอมให้คนอื่นทรมานดีกว่า”
นางถูกทิ้งไว้มาสองครั้งแล้ว นางไม่อยากให้มีครั้งที่สามอีก ไม่อยากจะให้มีอีกแล้ว
เซ่าอี๋กลอกลูกตาน้อยๆ แล้วจ้องมาที่นางนิ่งๆ เป็นแววตาที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นางไม่มีกำลังพอที่จะไปคิดแล้วว่าในแววตานั้นซ่อนความในใจที่ลึกล้ำอะไรเอาไว้ ทำได้เพียงสบตากับเขาอย่างเปิดเผยเท่านั้น
เสียงหายใจค่อยๆ หนักหน่วงขึ้น เซ่าอี๋พลันกะพริบตาหลายที มือประคองไปที่ศีรษะของนางเบาๆ น้ำเสียงของเขานุ่มนวลลง “ปลาดุกอุยน้อยที่น่าสงสาร บาดแผลที่หัวใจกลับปริแตกอีกแล้ว”