ตอนที่ 948 ในวิกฤติก็ยังมีโอกาส

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

ในใจของสืออวี้เวลานี้เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนที่ยากจะบรรยาย ภูเขาที่กดทับตัวเธอได้ถูกประธานเชี่ยนย้ายออกไปให้ แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกกังวลมากกว่าสบายใจล่ะ?

ประธานเชี่ยนยังคงนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างาม มือก็เคาะโต๊ะเล่นเบาๆทำท่าเหมือนฟังทนายอยู่

อันที่จริงเธอฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ก็แสร้งทำเป็นเข้าใจ

ทนายทั้งสองคนมาจากบริษัทที่กิจการคนละแบบ ทั้งสองคนได้กล่าวถึงแนวคิดของเจ้านายตัวเอง อธิบายข้อกฎหมายต่างๆอย่างชัดเจน ผู้ถือหุ้นที่นั่งฟังเปรียบเสมือนนั่งอยู่บนรถที่วิ่งข้ามเขา จากจุดต่ำสุดค่อยๆพบเห็นโอกาสรอด

ตอนที่แม่สืออวี้มาถึงก็ไม่ได้เห็นภาพวุ่นวายอย่างที่ตัวเองคิด เห็นแค่ทนายสองคนที่เสี่ยวเชี่ยนพามากำลังยืนพูดอยู่บนเวที คุณนายสือเอามือปิดปากแทบไม่เชื่อสายตา เรื่องที่สามีเธอทำไม่ได้ แต่ลูกสาวกลับทำได้?

ทำอย่างไรถึงได้เชิญบริษัทใหญ่โตทั้งสองแห่งออกหน้าให้ได้? ทั้งสองบริษัทเป็นกิจการคนละสายงาน แถมปกติก็ไม่ได้รู้จักกันเท่าไร ทำไมอยู่ๆถึงมาช่วยเหลือยามลำบาก?

หลังจากนั้นก็ได้มีการถามเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนบอกว่า สืออวี้กล้าใช้อนาคตตัวเองพนันกับวันพรุ่งนี้ เฉินเสี่ยวเชี่ยนก็กล้าใช้มิตรภาพที่แท้จริงแลกกับตัวเองในชาตินี้ สิ่งที่พวกเธอพนันกันมันก็คือมิตรภาพความผูกพันเท่านั้นเอง

เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้หลับหูหลับตาช่วยเหลือ เธอคิดอยู่นาน เธอไม่ใช่คนบุ่มบ่าม แต่ครั้งนี้เธอกล้าเลือดร้อน ไม่ได้เพื่ออะไร แต่เพื่อการต่อต้านสามหมื่นเท่านั่น

ก็เหมือนกับที่สืออวี้พูด บางสิ่งบางอย่างไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงิน สืออวี้ไม่ทำผิดต่อเธอ ประธานเชี่ยนก็จะตอบแทนเธอเหมือนกัน

อยู่ๆตระกูลสือก็มีโอกาสพลิกวิกฤติ เสี่ยวเชี่ยนส่งหน่วยกู้ชีพมาช่วยได้ทันเวลา ความทุกข์ใจที่มีมาหลายวันเหมือนเบาลงไปมาก

ทนายทั้งสองกำลังตอบคำถามของเหล่าผู้ถือหุ้น เสี่ยวเชี่ยนหันไปพูดกับสืออวี้

“ครั้งนี้พวกเราก็แบกรับความเสี่ยงมากเหมือนกัน หวังว่าเธอจะรีบตามหาพ่อให้เจอนะ ให้เขามาจัดการงานใหญ่ ความลำบากของลูกสาวจะได้ไม่เสียเปล่า”

“พ่อ…ฉันก็ไม่รู้ว่าพ่อไปไหน ตอนนี้ฉันก็จนปัญญา”

“ตามหาตัวไม่เจอก็ไม่เป็นไร เธอจัดการเองเลย!”

“ฉัน?” สืออวี้ทำหน้างง

“เธอเป็นลูกพ่อ มันย่อมได้พรสวรรค์ความเก่งมาบ้างแหละน่า เขาไม่ออกมา เธอก็ออกหน้าแก้ปัญหาไปเลย! ฉันจะให้คนที่สุ่ยเซียนส่งมาๆคอยช่วยเหลือเธอ ทางด้านพี่ใหญ่ก็จะช่วยปูทางให้สินค้าใหม่ของเธอออกสู่ตลาดได้อย่างราบรื่น เธอก็แค่เดินหน้าให้เต็มที่ก็พอ อย่าทำให้พวกเราผิดหวังล่ะ”

“ประธานเชี่ยน ฉัน…” สืออวี้มีคำพูดมากมายไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องบุญคุณล้นฟ้าแล้ว

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เวิ่นเว้อ” เสี่ยวเชี่ยนโบกมือ เธอไม่อยากกอดสืออวี้ร้องไห้ มันจะดราม่าเกินไป เสียมาดในวันนี้หมด

“รีบจัดการเดินสายผลิตแค่นั้นก็ถือเป็นการขอบคุณฉันแล้ว แล้วก็ รอถึงวันที่ครอบครัวเธอกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง อย่าลืมไปขอบคุณสุ่ยเซียนล่ะ เขาเองก็ไม่ง่ายเลยนะ”

สืออวี้รู้เรื่องเกี่ยวกับสุ่ยเซียนไม่มากนัก เคยเจอบ้างแต่ไม่ได้สนิทกัน เธอรู้แค่ว่าเป็นพี่น้องบุญธรรมของประธานเชี่ยน ดีต่อกันมาก แต่ไม่คิดว่าในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้จะช่วยออกหน้าค้ำประกันให้ อีกทั้งพ่อเธอเคยบอกว่า ตอนนี้ตระกูลทังอยู่ในช่วงเปลี่ยนรุ่น ภายในครอบครัวเกิดการขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในขณะที่สุ่ยเซียนยังเอาตัวเองแทบไม่รอดก็ยังออกหน้าช่วยเสี่ยวเชี่ยน ก็เท่ากับว่าเธอเอามีดจ่อคอตัวเองไว้

แต่ในขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกับสืออวี้คุยกันเรื่องนี้ก็เป็นตอนที่เรื่องราวพัฒนาไปในทางที่เกิดประโยชน์แล้ว อนาคตไม่ใช่แบบที่เธอคิด และก็ไม่ได้เป็นแบบที่เธอคิด

ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้ว

เสี่ยวเชี่ยนเตรียมพร้อมช่วยเหลือสืออวี้อย่างเต็มที่ แต่สืออวี้กลับไม่อยากเป็นภาระให้เสี่ยวเชี่ยนกับแหล่งเงินของประธานเชี่ยน

“ประธานเชี่ยน ฉันไม่รู้จริงๆว่าตัวเองทำบุญด้วยอะไรถึงได้มีเธอมาช่วยแบบนี้ แต่ฉันไม่อยากให้พวกเธอต้องมาเข้าไปในกองไฟเพียงเพราะเรื่องของฉันคนเดียว”

“ความเป็นไปได้ของสามหมื่นเท่ามีน้อยมาก มีคนทำแบบนี้เพื่อตัวเองก็ต้องรู้จักถนอมไว้ เธอทำแบบนี้กับฉัน ฉันก็ทำแบบนั้นกับสุ่ยเซียน ต่อไปห้ามเชื่อเสียงจากจิตใต้สำนึกที่อยู่ในสมองของเธออีก ต่อให้เป็นมิตรภาพที่ไร้เดียงสา บางทีก็อาจเป็นสิ่งที่มั่นคงที่สุด”

การคิดมากเกินไป เข้าใจมากเกินไป อาจกลายเป็นทำให้สูญเสียความเป็นจริง

เสี่ยวเชี่ยนไม่แน่ใจว่าถ้าตัวเองอายุสี่สิบยังจะกล้าเล่นอะไรแบบนี้หรือเปล่า แต่ตอนนี้อายุยังน้อยเอาสักหน่อยก็ใช่ว่าจะไม่ดี

ทางด้านทนายพูดเสร็จแล้ว ขั้นต่อไปก็รอพวกพี่ใหญ่มาเซ็นค้ำประกันเรื่องก็เรียบร้อย ในขณะที่กำลังจะเลิกประชุมนั้น อยู่ๆประตูห้องก็ถูกเปิดออก

หายตัวไปหลายวัน พ่อสือที่ถูกลือว่าแอบหนีไปแล้วนั้นยืนอยู่หน้าประตู แถมข้างหลังยังมีคนตามมาด้วย

“พ่อ?!”

“คุณ?!”

สืออวี้กับแม่ดีใจมาก

ช่วงหลายวันนี้ทั้งสองคนมัวแต่จัดการเรื่องในโรงงาน สองแม่ลูกไม่เชื่อว่าพ่อสือจะเป็นผู้ชายที่หนีเอาตัวรอดคนเดียว

พ่อสือพยักหน้าให้ทุกคนแล้วพาคนเดินเข้าไปด้านใน

“ขอบคุณพวกคุณที่มาช่วยครับ วันหน้าผมจะไปขอบคุณประธานทังกับประธานอวี๋ด้วยตัวเอง แต่ครั้งนี้ผมคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องให้พวกคุณช่วยแล้ว ผมได้พูดให้คนค้ำประกันคนเก่ายอมกลับมาเซ็นให้ได้แล้วครับ อีกทั้งยังหาสปอนเซอร์คนใหม่เพื่อช่วยดันสินค้าใหม่ของเราได้ด้วย ผมเชื่อว่าโรงงานยาของเราจะต้องกลับมามีกำไรได้อย่างแน่นอนครับ!”

พอพ่อสือมาบรรยากาศก็เปลี่ยนไป สืออวี้มองพ่อตัวเองที่กลับมาแล้ว ความรู้สึกหนักอึ้งในใจก็ได้สลายหายไปในอากาศ

พ่อสืออธิบายแผนการขั้นต่อไปอย่างคร่าวๆให้บรรดาผู้ถือหุ้นฟัง จากนั้นก็หันไปลูบหัวสืออวี้ด้วยความเอ็นดูและภูมิใจ

“พ่อทำให้หนูเป็นห่วง ช่วงหลายวันมานี้ลำบากหนูแล้วนะ นับจากนี้ไปพ่อกลับมาแล้ว พ่อจะไม่ปล่อยให้หนูลำบากแบบนี้อีกแล้ว”

สืออวี้แสบตา เดิมคิดว่าถึงทางตันแล้ว แต่อยู่ๆก็มีจุดพลิกผัน

ตอนแรกก็ประธานเชี่ยนมาช่วย ตอนนี้ก็พ่อเธอที่กลับมาอย่างแข็งแกร่ง

ความสุขมาอย่างกะทันหัน สืออวี้สบายใจขึ้นมากจนเป็นลมสลบไป

เสี่ยวเชี่ยนรีบพยุงเธอเข้าไปพักในห้องพักผ่อน นี่เป็นอาการปกติหลังจากที่อารมณ์ขึ้นๆลงๆอย่างหนัก พอสืออวี้ฟื้นขึ้นมาเห็นทุกอย่างก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับมาเกิดใหม่

“คุณหนูเฉิน ถึงครั้งนี้จะไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือของคุณหนู แต่บุญคุณครั้งนี้ตระกูลสือของเราจะจำไว้ ต่อไปถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้เลยนะครับ”

ถึงคนที่เสี่ยวเชี่ยนหาให้จะไม่ต้องออกโรง ไม่จำเป็นต้องเซ็นค้ำประกันแล้ว แต่บุญคุณในครั้งนี้พ่อสือได้จดจำไว้ในใจ

ถ้าเขาไม่กลับมา แบบนั้นการมาของเสี่ยวเชี่ยนหมายความว่าอะไร เขารู้ดีแก่ใจ

มิตรภาพที่มีให้กันยามมั่งมี ยามลำบากก็ยังหยิบยื่นความช่วยเหลือ นี่ก็คือบุญคุณตลอดชีวิต

พ่อสือรู้สึกภูมิใจแทนลูกสาวที่มีเพื่อนสนิทแบบนี้

“ไม่มีอะไรต้องขอบคุณเลยค่ะ สืออวี้เป็นคนจริงใจ ที่หนูทำแบบนี้ก็ไม่ได้หวังคำขอบคุณ” เสี่ยวเชี่ยนเห็นพ่อสือกลับมาแล้ว ก้อนหินที่ลอยเคว้งอยู่ในใจก็ได้ตกลงสู่พื้น

เมื่อชาติก่อนตระกูลสือไม่เพียงแต่จะไม่มีอุปสรรคใหญ่โต ยังเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่าวิกฤติในครั้งนี้ก็น่าจะผ่านไปได้ด้วยดี การออกหน้าของเธอในครั้งนี้ ถึงจะความช่วยเหลือของเธอจะไม่จำเป็นแล้ว แต่กลับนำพาโอกาสให้ทั้งสามบริษัทได้มีโอกาสสร้างสัมพันธ์มากขึ้น ถึงจะเป็นกิจการคนละแบบ แต่ต่อไปถ้ามีการร่วมงานแบบข้ามวงการขึ้นมา ก็คงจะเกิดประโยชน์ไม่น้อย