ตอนที่ 47-1 รักที่สุดเสมอคือรักแรก

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

ในหุบเขาหิมะหิมะตกทั้งปี เผ่าไต้เม่ากลับกำลังฝนตก

 

 

ฝนตกเช่นนี้เกือบครึ่งเดือนแล้ว กระหน่ำปานฟ้ารั่ว ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด ทิวทัศน์บ้านเรือนทั้งหมดคล้ายเปื้อนไอชื้นหนึ่งชั้น หน้าตาของทุกผู้คนจึงแลคล้ายเลือนรางมัวสลัว

 

 

หมู่ตึกปี้หลิวที่อยู่นอกเมืองซั่งหยวนเผ่าไต้เม่าสามสิบลี้ กลับมีคนแขวนโคมไฟแดงแต่ละดวงไว้ใต้ชายคาระเบียง เพิ่มความสดใสหลายส่วนให้ทิวทัศน์ฝนตกที่อ้างว้างเยือกเย็นเช่นนี้

 

 

ได้ยินว่าท่านจะกลับมาแล้ว

 

 

วันนี้เช้าตรู่ ผู้ดูแลใหญ่เซียนอวี๋ก็พาคนควบม้าหลายสิบลี้ไปต้อนรับท่านด้วยตนเอง

 

 

นับแต่ก่อตั้งหอเงาเมื่อห้าปีก่อน ท่านอยู่ต่างถิ่นโดยตลอด เพียงควบคุมหอเงาอยู่ไกลๆ ให้ผู้ดูแลใหญ่เซียนอวี๋จัดการธุระในหอเงา

 

 

บัดนี้ผู้ดูแลใหญ่เซียนอวี๋กลับเอ่ยว่าท่านเสร็จสิ้นธุระข้างนอกแล้ว หลังจากนั้นจะกลับสู่หอเงา ชุมนุมกับพี่น้องในพรรคให้เต็มที่

 

 

ทั่วทั้งหอเงาตื่นเต้นกับเรื่องนี้ยิ่งนัก หอเงาก่อตั้งมาห้าปี พัฒนาไปในทางที่ดียิ่ง ทว่าคนส่วนใหญ่ไม่เคยพบท่าน ตัวท่านเองปฏิบัติตามรูปแบบการกระทำที่ลึกลับซ่อนเร้น เฉกเช่น “หอเงา” ที่เขาก่อตั้งด้วยมือตนเอง ลวงตาจับต้องไม่ได้ประหนึ่งเงา นอกจากผู้ดูแลใหญ่เซียนอวี๋ คล้ายก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของท่าน

 

 

ผู้คนในหอเงาเฝ้ารอคอยการกลับมาของท่าน ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง

 

 

หมู่นี้การแย่งชิงอำนาจในเผ่าไต้เม่าดุเดือดยิ่งขึ้น ด้วยเพราะการแย่งชิงอำนาจกับเขตอิทธิพลทุกรูปแบบระหว่างสามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มสิบสามองครักษ์ การปะทะกันขยายวงกว้างขึ้น ความขัดแย้งลึกล้ำยิ่งขึ้น

 

 

เล่ากันว่าการแย่งชิงที่บ้าคลั่งเช่นนี้เกี่ยวข้องกับการที่ราชินีเฮยสุ่ยใกล้จะมาถึงแล้ว ทุกกลุ่มหวังไขว่คว้าอำนาจกับเขตอิทธิพลให้มากขึ้น กลายเป็นกลุ่มอันดับหนึ่งแห่งไต้เม่าเฮยสุ่ยที่แท้จริงก่อนที่ราชินีจะมาถึงที่นี่ จะได้จับราชินีไว้ในเงื้อมมือ ควบคุมราชินีก็เท่ากับควบคุมกองทัพเผ่าไต้เม่า สำหรับกลุ่มอำนาจเหล่านี้ หากได้กองทัพสนับสนุนก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นอีกขั้น บดขยี้กลุ่มที่เหลืออยู่ กลายเป็นอันดับหนึ่งแห่งไต้เม่าอย่างแท้จริง

 

 

ผู้นำเผ่าไต้เม่าในยามนี้ แม้จัดการการแย่งชิงอำนาจไม่ได้เลย แต่กลับเป็นคนเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก หัวหดอยู่ในวังทั้งปี ควบคุมกองทัพเผ่าไต้เม่าไว้แน่นหนา ป้องกันตนเองกับนครหลวง

 

 

สามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มสิบสามองครักษ์ แม้อยากได้เมืองหลวงซั่งหยวนของไต้เม่าจนน้ำลายสอ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือก่อน ต่างกลัวว่าพอลงมือจะกินกระดูกแข็งเช่นกองทัพเผ่าไต้เม่านี้ไม่ได้ หรือว่าแม้กินกระดูกได้แต่เสียแรงไปมาก ถูกผู้อื่นตีชิงตามไฟ เช่นนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว

 

 

สถานการณ์ปัจจุบันของไต้เม่าก็คล้ายภาพจำลองสถานการณ์การเมืองของทั้งต้าฮวง ต่างเป็นกลุ่มอำนาจแน่นขนัด ควบคุมซึ่งกันและกัน แต่ละกลุ่มระมัดระวัง สงบศึกชั่วคราว

 

 

ทว่าโครงสร้างซับซ้อนใดๆ นานวันผ่านไปก็ยากที่จะรักษาสมดุล ยามนี้ราชินีมาแล้ว ทุกผู้คนหวังใช้โอกาสนี้ทำลายความสมดุลเช่นนี้ ควบคุมไต้เม่าอย่างแท้จริง

 

 

ควบคุมราชินี สนับสนุนให้ราชินียึดอำนาจทหารและอำนาจกษัตริย์จากเงื้อมมือผู้นำเผ่าไต้เม่าอย่างชอบธรรม หลังจากนั้น โลกหล้าก็เป็นของพวกเขาแล้ว

 

 

ส่วนราชินีองค์นั้นจะคิดอย่างไร? ผู้ใดก็ไม่เคยนึกถึงปัญหาข้อนี้ บางคนถูกถามคำถามข้อนี้ ต่างมองผู้ที่ตั้งคำถามอย่างแปลกประหลาด

 

 

สตรีที่หมดอำนาจหนึ่งนาง ผู้ใดสนใจว่านางจะคิดอย่างไร? เชื่อฟังก็ให้นางเป็นราชินีหุ่นเชิด ไม่เชื่อฟัง…เหอะๆ ได้ยินว่าราชินีหน้าตางดงามยิ่งนัก เหล่าพี่น้องจะลองหน่อยหรือไม่?

 

 

 

 

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หอเงาก็เผชิญหน้ากับทางเลือก หอเงาก่อตั้งได้ไม่นาน ซ้ำยังยึดมั่นในแนวทางซ่อนเร้นเสมอ ไม่เคยเข้าร่วมการแย่งชิงอำนาจเหล่านี้ ทว่าตนเองไม่เข้าร่วมไม่เท่ากับว่าผู้อื่นไม่อยากได้ แม้หอเงาซ่อนเร้นเท่าใด นานวันผ่านไปก็จะถูกคนสนใจ เนื้อติดมันที่ดูท่าทางไร้ผู้นำชิ้นหนึ่งเช่นนี้ย่อมเป็นเป้าหมายของทุกกลุ่มที่วางแผนรีบขยายกำลัง หอเงายากที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับการปะทะกันทุกรูปแบบมากยิ่งขึ้นแล้ว หลีกเลี่ยงตลอดไปไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา หากไม่เดินขึ้นเวทีแย่งชิงความเป็นใหญ่อย่างเป็นทางการ หรือไม่ก็ต้องสูญสิ้นไปเช่นนี้ ช่วงทางเลือกสำคัญเช่นนี้ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่หวังให้ประมุขกลับมาควบคุมสถานการณ์โดยรวม ชี้นำแนวทางให้พวกเขา

 

 

สถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลง เป็นไปไม่ได้ที่จะดำเนินแผนการเดียวไปได้ตลอด หอเงาก็ต้องเปลี่ยนสถานการณ์ หากกระทำการลับๆ ล่อๆ ระวังตัวแจเช่นนี้เสมอ หอเงาก็ไม่มีทางก้าวไกลแข็งแกร่ง ช้าเร็วก็จะถูกกลืนกิน

 

 

ก่อนหน้านี้ท่านไม่เคยให้ท่าทางชัดเจนต่อเรื่องนี้เลย เหล่าสมาชิกรู้สึกร้อนใจ กลัวว่าท่านไร้ปณิธานยิ่งใหญ่ ฉุดรั้งหอเงาไว้เช่นนี้

 

 

เคยมีคนถามผู้ดูแลใหญ่เซียนอวี๋เรื่องนี้ เขาคือคนที่ใกล้ชิดข้างกายท่านที่สุด เข้าใจความคิดของท่านที่สุด ผู้ดูแลใหญ่เซียนอวี๋ก็มีท่าทางคลุมเครือต่อเรื่องนี้เช่นกัน มักเอ่ยว่าท่านมีเรื่องที่เอ่ยไม่ได้ ทุกอย่างรอให้ท่านตัดสินใจ

 

 

บัดนี้นับว่าท่านกลับมาแล้ว เหล่าสมาชิกนึกถึงโชคชะตาอนาคตหลายสิบปีของหอเงาใกล้ได้รับการตัดสิน ต่างรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับไม่สบายใจลึกล้ำ

 

 

ความตื่นเต้นกับดีใจเช่นนี้ก็ไม่แน่ว่าจะแพร่ขยายบนร่างทุกคน อย่างน้อยบนหอสูงแห่งหนึ่งในหอเงา บางคนยืนอยู่บนหอ ก้มมองเส้นทางข้างล่างด้วยสายตาเย็นชา

 

 

บนใบหน้าเขาคล้ายก็เตรียมรอยยิ้มต้อนรับ ทว่าสายตาที่ทอดออกไปดั่งกระบี่

 

 

บนเส้นทางข้างหน้าพลันเกิดเสียงวุ่นวายระลอกหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงร้องยินดีที่ตื่นเต้นว่า “ท่านมาแล้ว! มาแล้ว!”

 

 

คนบนหอใช้สายตาทอดลงไปไกลโพ้น

 

 

กลางม่านฝนโปรยปราย ร่มน้ำมันถงสีเหลืองอ่อนหนึ่งแถวค่อยๆ เคลื่อนมาอย่างแผ่วเบา มองจากไกลๆ ดั่งดอกไม้วงกลมแต่ละช่อผลิบานบนพื้นดินเขียวขจี

 

 

ศีรษะมนุษย์คลาคล่ำกรูขึ้นไปดั่งมด โคมแดงที่อยู่ใต้ชายคาถูกลมจากฝูงชนที่วิ่งมาต้อนรับพัดให้สั่นไหว แกว่งไกวเกิดแสงเงาที่สวยสดงดงาม ส่องสีฝนที่อ้างว้างเยือกเย็นให้สว่างไสว

 

 

คนบนหอปัดฝุ่นสาบเสื้อ เยื้องกรายลงหอ เตรียมไปต้อนรับ

 

 

เขาเดินไปด้วย ค่อยๆ ยิ้มไปด้วย รอยยิ้มก็หนาวเย็นเล็กน้อยดั่งฝนนี้

 

 

 

 

ผ่านไปชั่วครู่ ในห้องโถงใหญ่ของหอเงา เหล่าหัวหน้าระดับสูงที่รอคอยต้อนรับท่านทุกคนมองหน้ากันไปมา

 

 

พวกเขาต้อนรับท่านอย่างยินดีปรีดา ท่านกลับไม่ได้ให้ผู้ใดเข้าพบทั้งนั้น พาผู้ดูแลใหญ่เซียนอวี๋รีบเข้าห้องข้างในโดยตรง ให้พวกเขารออยู่ที่นี่

 

 

หัวหน้าส่วนใหญ่ค่อนข้างงงงัน ท่าทางยังเคารพนบนอบ ทว่าก็มีหัวหน้าบางคนเผยให้เห็นสีหน้าไม่พอใจ

 

 

บางคนมองอย่างเงียบเชียบ มุมปากมีรอยยิ้มน่าครั่นคร้าม

 

 

ในห้องข้างในห้องโถงใหญ่ เซียนอวี๋ชิ่งยืนอยู่อย่างไม่สบายใจ บุรุษชุดแพรสีเขียวน้ำเงินอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา ค่อยๆ ดื่มชาด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

 

 

“เล่ากันว่าท่านอยู่บริเวณนี้ด้วย บางทีก็ใกล้ถึงแล้ว เช่นนี้เจ้า…” ครู่ใหญ่เขาเอ่ยปาก น้ำเสียงเกรงกลัว ทว่าไร้ซึ่งความเคารพ

 

 

“เขามาไม่ได้ชั่วคราว” คนชุดเขียวขัดวาจาของเขา

 

 

สีหน้าของเซียนอวี๋ชิ่งก็เฉกเช่นกินแมลงวัน

 

 

“แน่นอน เจ้ารีบไปบอกเขาว่าทั้งพรรคเกิดเรื่องย่อมได้” คนชุดเขียวค่อยๆ ดื่มชา ครู่ใหญ่จึงเอ่ยวาจา

 

 

ครานี้สีหน้าของเซียนอวี๋ชิ่งก็คล้ายถูกละเลงด้วยขี้แมลงวันทั่วหน้า

 

 

“เขามาแล้วเจ้าจะทำอย่างไร?” เขาอดจะถามไม่ได้

 

 

คนชุดเขียวมองเขาปราดเดียว เขาหุบปากโดยพลัน…ยุ่งมากเกินไปแล้วกระมัง? เจ้าผู้นี้ถูกท่านพบเข้ายิ่งดีไม่ใช่หรือ?

 

 

“รีบไปเถิด” คนชุดเขียวโบกมือ “เรื่องของพรรคเจ้า ข้าจะดูแลแทนเจ้าเอง”

 

 

เซียนอวี๋ชิ่งกัดฟัน หันหลังอย่างอับจนหนทาง แน่นอนว่าเขาไม่อยากมอบเรื่องของพรรคให้คนนอกไปเช่นนี้ แต่หากไม่รับท่านกลับมาเร็วหน่อย เขายิ่งไม่วางใจ

 

 

ไม่รู้เหตุใด ทั้งที่เขามีคนอยู่ในมือ แลไม่ใช่ฮึกเหิมต่อสู้ไม่ได้ ทว่าเขาก็ปลุกความคิดต่อต้านไม่ไหว ไม่ ไม่ใช่ไม่คิด แต่ไม่กล้าด้วยซ้ำ

 

 

คนตรงหน้าผู้นี้มีบรรยากาศน่าเกรงกลัว สถานที่ที่เขาอยู่ด้วย แม้แต่อากาศก็คล้ายไหลเวียนช้าลง ทำให้หายใจไม่ออก

 

 

แม้เขามีน้ำเสียงเฉื่อยเนือย ไร้ซึ่งสีหน้า ก็ทำให้ผู้อื่นต้องเชื่อฟัง เพียงเขายกมือเล็กน้อย ก็มีคนนับมิถ้วนโลหิตเจิ่งนอง สลายกลายเป็นเถ้า

 

 

เซียนอวี๋ชิ่งติดตามท่านหลายปี รู้ว่านี่คือบรรยากาศที่ผู้สูงศักดิ์ที่กุมอำนาจยิ่งใหญ่ที่แท้จริงถึงมีได้ บรรยากาศเช่นนี้ เหล่าหัวหน้าผู้อาวุโสที่มีอำนาจมหาศาลแห่งไต้เม่าหลายคนนั้นยังห่างชั้นยิ่งนัก

 

 

แม้แต่ท่านเอง แม้บรรยากาศเหนือชั้นเช่นกัน แต่ก็คนละเรื่องกับความเย็นชาหนักแน่นของคนผู้นี้

 

 

ฉะนั้นเขามั่นใจว่าคนผู้นี้ย่อมมีอำนาจยิ่งใหญ่ แลไม่อยากได้หอเงาส่วนนี้ ทว่าเหตุใดคนผู้นี้ต้องลำบากยากเย็น แจ้นมาหอเงาแสร้งเป็นท่านมู่ เขาก็ไม่เข้าใจ

 

 

ผู้ยิ่งใหญ่ชอบเกมเช่นนี้ใช่หรือไม่?

 

 

เขาเดินออกไปไม่กี่ก้าว พลันหันกลับมา “ข้าอยากรู้ว่าหนอนบ่อนไส้คือผู้ใด?”

 

 

คนผู้นี้รู้ความลับสำคัญทุกเรื่องของหอเงาได้ แสดงว่าในหอเกิดหนอนบ่อนไส้ นี่เป็นเรื่องใหญ่ ต้องถามให้ชัดเจน

 

 

คนชุดเขียวแง้มฝาถ้วยอย่างแผ่วเบา ก้มหน้าเล็กน้อย น้ำชาที่เย็นใสบริสุทธิ์สะท้อนหน้าตาสุขุมของเขา

 

 

“เจ้าวางใจ ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้” เขาหัวเราะอย่างไร้รอยยิ้ม “นับเป็นค่าตอบแทนที่หยิบฉวยสิ่งของจากท่านของเจ้า”

 

 

เซียนอวี๋ชิ่งรีบออกไป เขาหวังว่าจะรับท่านกลับมาเร็วหน่อย พอถึงยามนั้นสองมังกรต่อสู้กันไป อย่าได้ทรมานหัวใจกับศีรษะของเขาอีกเลย

 

 

ไม่เข้าใจจริงๆ กลุ่มอำนาจในบึงโคลนเฮยสุ่ยมากขนาดนั้น เหตุใดคนผู้นั้นจงใจถูกใจตำแหน่งท่านมู่ผู้นี้? ท่านมู่ผู้เดียว สำคัญนักหรือ? สมรสกับราชินีได้ด้วยสิ่งนี้หรือ?

 

 

 

 

ในห้องข้างใน เขายืนขึ้นอย่างสุขุม เตรียมไปเจอเหล่าลูกน้องของ “ตนเอง” กลุ่มนั้น

 

 

เขามีฝีเท้ามั่นคงยิ่งนัก เยือกเย็นยิ่งนัก เต็มไปด้วยท่วงท่าที่ควบคุมทุกสิ่งของผู้อยู่เบื้องบน

 

 

ทุกย่างก้าวกำลังเดินไปสู่แผนการ ทุกย่างก้าวกำลังเดินไปสู่นาง ทุกย่างก้าวก็กำลังห่างไกลนาง

 

 

 

 

วันนี้ สามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มใหญ่แห่งบึงโคลนเฮยสุ่ยเผ่าไต้เม่าก็มีการเคลื่อนไหว

 

 

เจ้าสำนักประมุุขพรรคเกือบส่วนหนึ่งเรียกประชุมผู้นำ การประชุมประกอบด้วยสองหัวข้อ ประการแรกแจ้งข่าวเรื่องประมุขหอเงากลับสู่บึงโคลนเฮยสุ่ย ปรึกษาตัดสินแนวทางปฏิบัติต่อหอเงาในวันหน้า ประการต่อมาด้วยเพราะราชินีใกล้จะมาถึงแล้ว ยังต้องปรึกษากันหน่อยว่าจะควบคุมราชินีอย่างไร

 

 

ท่ามกลางการประชุมของทุกกลุ่มใหญ่ ทุกคนมีท่าทางต่อหอเงาเช่นเดียวกัน ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายยังเติบโตไม่เต็มที่ รีบกลืนกินเสียเลย! อีกฝ่ายไม่เชื่อฟัง กระทืบจนยอมเชื่อฟัง!

 

 

เพียงแต่ปัญหาเรื่องควบคุมราชินีอย่างไร เช่นนั้นก็เสนอความเห็นแตกต่างมากมาย บางคนเอ่ยว่าวางยานาง บางคนเอ่ยว่าคุกคามนาง บางคนเอ่ยว่าสร้างบุญคุณต่อนาง…

 

 

ระหว่างกลุ่มก็มีพันธมิตร กลายเป็นอำนาจร่วมกันต่อต้านศัตรู เช่น สำนักหลัวซา พรรคเลี่ยหั่ว และกลุ่มเยี่ยนปังนับเป็นพันธมิตรหนึ่งกลุ่ม ยามนี้ผู้อาวุโสของกลุ่มอำนาจสามฝ่าย รวมทั้งหัวหน้ากลุ่มเล็กที่กระจัดกระจายอยู่ใต้บัญชาก็กำลังหารือเรื่องนี้

 

 

เหมิงเลี่ยหั่ว ประมุุขพรรคเลี่ยหั่วที่มีหนวดเครารุงรังกำลังเอ่ยว่า “ได้ยินว่าราชินียังไม่ออกจากเขาชีเฟิง คงไม่ใช่แสวงหาท่านอาจารย์จื่อเวยเป็นที่พึ่ง? หากเป็นเช่นนั้น ย่อมเป็นปัญหาไม่น้อย”

 

 

เจ้าสำนักหญิงหลัวซาที่หน้าตายั่วยวนแฝงความชั่วร้ายนางนั้นนั่งพิงอยู่ข้างบน หัวเราะเยาะแผ่วเบา “นางไปขอให้เขาช่วยถอนพิษ ด้วยนิสัยที่ไม่อยากเกี่ยวข้องเรื่องทางโลกที่สุดของจื่อเวยนั้น เขาช่วยนางถอนพิษได้นับว่านางโชคดี ยังจะเปลืองแรงลงเขาหนุนหลังนาง? ยามนั้นผู้นำเผ่าไต้เม่าสิ้นเปลืองความคิดเท่าใดขอร้องเขา เขาเคยสนใจด้วย?”

 

 

หัวหน้ากลุ่มเยี่ยนปังที่ดูท่าหน้าตาซื่อตรงยิ่งนักผู้นั้นหัวเราะเหอะๆ เอ่ยว่า “นางอาจไปเรียนทักษะของคนกลุ่มนั้นที่เขาชีเฟิง จะไม่ระวังไม่ได้”

 

 

“เท่านั้นๆ!” เจ้าสำนักหญิงเหยียดยิ้มยิ่งขึ้น “จิ่งเหิงปัวไม่มีวรยุทธ พวกเจ้าก็ไม่ใช่ไม่รู้ พวกเราผู้ที่เรียนวรยุทธเข้าใจที่สุด เส้นทางศิลปะการต่อสู้จะต้องฝึกพื้นฐานตั้งแต่เด็ก ฝึกหนักหลายปี เสริมด้วยพรสวรรค์โอกาส ถึงได้ประสบความสำเร็จ พลังภายในชั้นสูงหนึ่งวิชา ผู้ที่ไหวพริบดีกว่านี้ไม่ฝึกสักสามสี่ปีก็เอื้อมไม่ถึงธรณีประตู คนจำนวนมากฝึกทั้งชีวิตยังเอื้อมไม่ถึงธรณีประตู ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหลังจากนี้ยังต้องฝึกหนักหลายปี ยาและฝีมือวรยุทธจำนวนมาก รวมทั้งประสบการณ์ต่อสู้นับมิถ้วนถึงสำเร็จ พวกเจ้าเคยได้ยินว่ามีผู้ที่ฝึกวิชาได้ในครึ่งปี? เวลาครึ่งปี ต่อให้นางหายจากพิษแล้ว ก็เรียนได้เพียงวรยุทธตื้นเขิน ทำอะไรได้? ล่าแมวในพรรคเลี่ยหั่วของเจ้า หรือว่าสุนัขในสำนักหลัวซาของข้า?”

 

 

ทุกคนหัวเราะฮ่าๆ สีหน้ารื่นรมย์ ด้วยฐานะผู้ฝึกวรยุทธ ทุกคนรู้ซึ้งถึงความลำบากในการเรียนวรยุทธ ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าผู้ใดก้าวขึ้นเป็นยอดฝีมือได้ในครึ่งปี เพียงหยิบมาล้อเล่นเท่านั้น