“เสียดายว่าไม่มีผักดอง” นางยิ้มแย้มกล่าวว่า “แท้จริงแล้วโจ๊กเปล่าเช่นนี้ กินกับจ้าไช่ดีที่สุด…”
กล่าวถึงตรงนี้นางชะงัก ตรงหน้ามีโจ๊กเปล่าหนึ่งชาม มีจ้าไช่สีเหลืองอ่อนในจานกระเบื้องขาวเฉียดผ่าน
นางได้ยินตัวนางเองเร่งเร้าถามว่า “อร่อยหรือไม่ๆ?”
นางได้ยินคนคนนั้นเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ไม่เลว เพียงแต่ข้ากลัวเค็ม เจ้ากินให้มากหน่อย”
มือสั่นทันที ช้อนทิ่มคางของเหยียลี่ว์ฉี น้ำโจ๊กหกรดบนคอเสื้อเขา
นางได้สติ รีบเช็ดเป็นพัลวัน เหยียลี่ว์ฉีคว้ามือของนางไว้
นางชะงัก มองมือของตัวเอง มองเขา สายตาของเขาลึกซึ้ง คล้ายเข้าใจ คล้ายโศกเศร้า
ความรักที่ผิดพลาดของทั้งสองฝ่ายเหล่านั้นคือลมที่ไม่เคยหยุดนิ่งในหุบเขานี้ ซัดสาดวนเวียนทั่วทุกตารางนิ้ว
จ้องกันครู่ใหญ่ เขากลับฟื้นคืนความสุขุมอีกครั้ง ปล่อยมือของนางไป หยิบผ้าเช็ดมือที่อยู่ฝั่งหนึ่งมาอย่างเอื่อยเฉื่อย เช็ดนิ้วมือที่เปื้อนน้ำโจ๊กให้นางจนสะอาด
เขาเคลื่อนไหวระมัดระวัง ดั่งปฏิบัติต่อของล้ำค่า
จิ่งเหิงปัวชักมือกลับอย่างมึนชาเล็กน้อย ก้มหน้าลง กล่าวคล้ายหลีกเลี่ยงว่า “ข้าไปฝึกวรยุทธ” รีบออกไปข้างนอก
แต่พายุหิมะหนาวถึงกระดูกที่ปะทะหน้าก็ทำให้ได้สติเช่นกัน นางออกแรงถูหน้า เป่าไอร้อนเฮือกหนึ่งออกมา
ชีวิตมักเป็นแบบนี้ใช่ไหม อาลัยอาวรณ์สิ่งไหนก็จะสูญเสียสิ่งนั้น?
ช่วงเวลาต่อจากนั้น นางยุ่งมาก ไล่ตามเหยื่อในป่าอยู่ครึ่งวัน สุดท้ายล่ากวางโรได้ ตักอิฐหิมะหลายก้อนมาสร้างบ้านหิมะอีกหลัง
บ้านหิมะหลังนี้เข้าไปได้แค่คนเดียว นางคิดจะให้ตัวเองอยู่ บ้านหลังนั้นอยู่กันสามคน แออัดเกินไปหน่อย
ตอนค่ำที่นางย้ายหนังหมีของตัวเองไปนอนข้างห้อง พี่น้องคู่นั้นไม่ได้ขัดขวางนางสักคน ในใจนางกลับรู้สึกละอาย พลิกตัวไปมาอยู่ข้างบ้านนานแล้วยังไม่ได้นอน
เพิ่งเข้าสู่แดนฝัน พลันได้ยินเหยียลี่ว์สวินหรูกรีดร้องว่า “ว้าย! แย่แล้ว เสี่ยวฉีอาการกำเริบใกล้ตายแล้ว!”
นางทั้งกลิ้งทั้งคลานพุ่งไปข้างบ้าน พอเห็นแล้ว เหยียลี่ว์ฉียิ้มให้นางอย่างจนปัญญา เหยียลี่ว์สวินหรูมีสีหน้าไม่สะทกสะท้าน
นางยังไม่ทันได้คิดว่าจะโมโหหรือยิ้มแล้วปล่อยไป พี่สาวผู้กล้าหาญนั้นใช้ความเร็วที่ไม่ใช่ของคนตาบอด ครอบครองบ้านหิมะน้อยหลังนั้นของนางอย่างรวดเร็วแล้ว ทิ้งนางอยู่กับเหยียลี่ว์ฉีที่นี่
จิ่งเหิงปัวรู้สึกเหยียดหยามพฤติกรรมแม่สื่อของพี่สาวเหลือเกิน
บ้านหิมะหลังเล็ก ต่อให้หลีกเลี่ยงอย่างไรก็เท่ากับนอนอยู่ข้างกายเขา ตอนที่เหยียลี่ว์ฉีเป็นไข้หมดสติ นางมัวแต่ดูแลเลยยังไม่รู้สึกอะไร ขณะนี้ทั้งสองคนมีสติ นางรู้สึกทันทีว่าอึดอัดไปทั้งตัว ในบ้านหิมะหลังน้อยๆ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเขา บอกไม่ได้ว่าเป็นกลิ่นอะไร หอมหวนอบอวล คล้ายดอกกล้วยไม้กำลังผลิบานในยามค่ำคืน
ส่วนเขาก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยด้วย รู้สึกเช่นกันว่าในบ้านหิมะหลังน้อยๆ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของนาง ไม่ใช่ดอกไม้ไม่ใช่สมุนไพร หอมอย่างอบอุ่นและลึกซึ้ง ทำให้นึกถึงมวลบุปผาในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ต้นฤดูคิมหันต์
ทั้งสองคนไม่ได้นอนหลับ เขากำลังนับลมหายใจของนาง นางกำลังนับเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง สายตาของเขาทอดลงเพียงบนเงาด้านหลังของนาง แสงสว่างของตะเกียงเบาบาง สาดส่องแสงทองหนึ่งชั้นบนทรวดทรงเรือนร่างนาง ความโค้งเว้าปานนั้นประณีตดั่งเทือกเขางดงาม โดยเฉพาะความกระชับที่โดดเด่นตรงส่วนเอว พาให้อุทานว่าในโลกนี้จะมีรัศมีโค้งที่เหมาะเจาะพอดีปานนี้ได้อย่างไร?
เพียงแต่ท่าทางเช่นนั้นคล้ายเกร็งแน่นเกินไปหน่อย ไม่ได้เปลี่ยนแม้แต่ท่วงท่าเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ
เขาถอนใจแผ่วเบา เจือด้วยความสงสารเล็กน้อย…เช่นนี้จะนอนหลับไม่สนิท
พรมที่อยู่บนไหล่นางลื่นลงมา เขาจ้องมองเงาด้านหลังของนางครู่ใหญ่ เห็นนางตั้งใจไม่ยอมขยับเขยื้อน จึงเอื้อมมือห่มให้นางอย่างแผ่วเบา
รู้สึกได้ว่าหลังไหล่ที่อยู่ใต้ปลายนิ้วเกร็งแน่นยิ่งขึ้น เขาชักมือกลับไป หัวเราะเล็กน้อย นิ้วมือสะบัดเพียงครั้ง กดจุดนอนหลับของนาง
หากต่อต้านเช่นนี้ ไม่สู้ให้นางได้ผ่อนคลายสักครั้ง
แสงสว่างของตะเกียงน้ำมันสัตว์สะท้อนแสงรุ่งโรจน์วูบไหวกลางนัยน์ตาเขา ไม่รู้ว่าอ้างว้างหรือโศกเศร้า
ระยะห่างเพียงเอื้อมมือเหล่านั้นเอย ผู้ใดรู้บ้างว่าไกลสุดขอบฟ้า
…
ตอนเช้าตรู่จิ่งเหิงปัวตื่นมา รู้สึกว่านอนหลับสนิทมาก ความเหนื่อยล้าในคืนก่อนหายไปหมดสิ้น
จากนั้นนางก็กระโดดขึ้นมา ร้องว่า “ซวยแล้ว!” รีบวิ่งไปดูบ้านหิมะหลังข้างเคียง เหยียลี่ว์สวินหรูนอนหลับสนิทจริงด้วย แต่กวางโรที่นางเก็บไว้ในบ้านหายไปอีกแล้ว
หลังจากที่เหยียลี่ว์สวินหรูรู้ว่าท่านอาจารย์จื่อเวยแอบย่องเข้าบ้านหิมะขโมยเหยื่อไปกลางดึก ไม่เพียงแต่ไม่ได้หดหู่ กลับตะโกนใส่ท้องฟ้าอย่างตื่นเต้น
“จื่อเวย! จื่อเวย! เมื่อคืนนี้เจ้าเข้าห้องสตรีของข้าแล้วใช่หรือไม่? อา ความบริสุทธิ์ของข้าถูกเจ้าทำลายแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบด้วย!”
คิดอยู่ชั่วครู่เอ่ยว่า “เจ้าไม่กล้ารับผิดชอบ ข้ารับผิดชอบเจ้าก็ได้”
คิดอยู่ชั่วครู่เอ่ยเสริมว่า “กวางโรของเมื่อคืนนี้นับเป็นของหมั้นที่ข้ามอบให้เจ้า ตามนี้ก็แล้วกัน”
“พลั่ก” ดังขึ้น ข้างบนมีกวางโรร่วงลงมา เหยียลี่ว์สวินหรูโบกมือให้จิ่งเหิงปัวอย่างมีพลัง “พอแล้ว ได้กวางโรกลับมาแล้ว วันนี้เจ้าไม่ต้องไปล่าสัตว์แล้ว!”
สายตาที่จิ่งเหิงปัวมองเหยียลี่ว์สวินหรูเต็มไปด้วยความเลื่อมใส…
…
วันเวลาในหุบเขาหิมะค่อยๆ เริ่มสงบสุข ตอนแรกจิ่งเหิงปัวต้องไปล่าสัตว์อย่างยากลำบาก ตอนกลางคืนยังต้องทำทุกวิถีทางเพื่อซ่อนเหยื่อของตัวเองให้มิดชิด จะได้ไม่ถูกเฒ่าหน้าไม่อายบางคนขโมยไป อาการบาดเจ็บของเหยียลี่ว์ฉีค่อยๆ ดีขึ้น ตอนที่เขาพอจะขยับได้นิดหน่อย จิ่งเหิงปัวสบายขึ้นมากทันที เขามีวิธีการเล็กๆ น้อยๆ ที่ใช้ล่าสัตว์มากมาย ใช้ล่าสัตว์แล้วประหยัดแรงได้ผลผลิตมาก ไม่กี่วันต่อมา จิ่งเหิงปัวต่อสู้กับหมีขาวอีกครั้ง ก็ไม่ได้กินแรงเท่าครั้งแรกแล้ว ไม่นานนางก็คุ้นเคยกับท่าร่างทุกรูปแบบทั้งบนพื้นหิมะ บนทะเลสาบน้ำแข็ง แม้แต่บนหน้าผาเก้าสิบองศา ขณะเดียวกันเพราะการต่อสู้ที่แทบจะไม่หยุดพัก พลังของยาเม็ดทุกชนิดที่ซ่อนอยู่ในร่างกายนางถูกโยกย้ายเร็วกว่าเดิม ร่วมกับพลังปราณแห่งฟ้าดินที่บริสุทธิ์เป็นพิเศษในหุบเขาหิมะแห่งนี้ แทบทุกวันนางจะรู้สึกได้ว่ากระแสปราณทุกชนิดที่เดิมทีสับสนวุ่นวายอยู่ในร่างกายกำลังหลอมรวมกันอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ เยือกแข็งดั่งรวมเป็นหนึ่งเดียวสูงสุดคืนสู่สามัญ
ค่ำคืนนี้จันทร์เต็มดวงอีกครั้ง แสงจันทร์ดั่งสายธาร สะท้อนจนพื้นหิมะบริสุทธิ์คล้ายเป็นสีเดียวกัน จิ่งเหิงปัวที่นั่งอยู่บนหลังคาบ้านหิมะค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้าง อ้าปากพ่นกระแสปราณขาวสะอาดเฮือกหนึ่งออกมา
กระแสปราณนี้เกิดในตานเถียน อิ่มเอิบวูบไหว รุ่งโรจน์ดั่งเงิน คล้ายพระจันทร์เด็มดวง สว่างไสวในร่างกายไม่หยุดหย่อนด้วยวงโคจรที่คล้อยตามจักรวาล
พลังภายในจันทร์กระจ่าง
พริบตาหนึ่งนี้ในหุบเขาหิมะ พายุหิมะที่ไม่เคยหยุดนิ่งพลันหยุดชะงัก แสงจันทร์เหนือศีรษะใหญ่ดุจวงกลม ดั่งอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ทั่วฟ้าทั่วดินเต็มไปด้วยแสงสว่างดุจกระจกเงา เงียบสงบดั่งหุบเหว
สำเร็จพลังภายในระดับสูงสุดขั้นแรก สวรรค์ย่อมขานรับ
ในบ้านหิมะ พี่น้องเหยียลี่ว์ก็รับรู้ได้ด้วย ยิ้มแย้มมองกันและกัน
“นางเป็นสตรีที่อัศจรรย์จริงแท้” เหยียลี่ว์สวินหรูอุทานแผ่วเบา “พลังภายในจันทร์กระจ่างแห่งเขาชีเฟิง ได้ยินว่าเป็นไปตามวาสนา ฝึกฝนได้ยากยิ่งนัก ข้าคิดว่าต่อให้ท่านอาจารย์จื่อเวยฝึกฝนนางมากกว่านี้ นางก็ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสสำเร็จตามนั้น อย่างไรเสียนางฝึกฝนจิตใจช้าเกินไป ไม่มีพื้นฐานแม้แต่น้อย ไม่เคยคิดเลย นางทำให้ข้าแปลกใจได้ด้วย”
“เดิมทีนางก็เป็นสตรีที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม
“อายุยี่สิบเริ่มฝึกฝนพลังภายใน ครึ่งปีสำเร็จวิชา หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่รู้ว่าจะทำให้ผู้คนมากเท่าใดตะลึงงัน เกรงว่าสำนักนอกแดนมนุษย์เหล่านั้นคงมีน้อยคนทำได้เช่นนี้ ส่วนยุทธภพทั่วไปก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยแล้ว” เหยียลี่ว์สวินหรูเอ่ยวาจาเฉกเช่นเป็นตัวนางเอง หน้าตาเต็มไปด้วยความแวววาว
“แท้จริงแล้วพรสวรรค์ของนางไม่ใช่ระดับสุดยอด” เหยียลี่ว์ฉีกระซิบว่า “ทว่าสัญชาตญาณ ประสบการณ์ โอกาส ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดเทียบนางได้อีกแล้ว พลังภายในจันทร์กระจ่าง จิตใจดั่งดวงจันทร์ สว่างไสวบนท้องฟ้า ไม่ว่าจะอยู่ไกลเท่าใด ทั้งอดีตทั้งอนาคต จิตใจของผู้ฝึกฝนต้องโชติช่วงดั่งดวงจันทร์ ซ้ำยังต้องกว้างไกลดั่งพรมแดนแสงจันทร์ ต้องเคยตกทุกข์ได้ยากในโลกนี้ ทว่าต้องรักษาจิตใจไม่ให้แปดเปื้อน นางได้รับความทุกข์ทรมานในโลกมนุษย์ แม้เจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อน แต่คุณธรรมในใจไม่สูญสิ้น อีกทั้งนางมีโอกาสมากมาย เฉพาะยาล้ำค่าในร่างกายก็ไม่น้อยกว่าสามชนิด สร้างพื้นฐานที่ผู้อื่นเทียบได้ยาก นางยิ่งมีพรสวรรค์ความสามารถ ตัวเองขานรับความอัศจรรย์แห่งสวรรค์ ฉะนั้นท่านอาจารย์จื่อเวยเลือกนาง มอบหุบเขาหิมะที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุดแห่งนี้ให้นางเป็นการฝึกฝนสุดท้าย ที่นี่อยู่บนยอดเขาลูกที่เจ็ดของเขาชีเฟิง ภูมิประเทศสูงที่สุด แสงจันทร์สว่างที่สุด ความขุ่นมัวน้อยที่สุด…โชคดีที่นางฝึกสำเร็จจนได้”
“ข้ามักรู้สึกว่า…” เหยียลี่ว์สวินหรูคล้ายกำลังพึมพำว่า “สาเหตุที่จื่อเวยเลือกนาง ไม่เพียงด้วยเพราะวาจาข้างต้นเหล่านี้ อาจยังมีสาเหตุอื่นที่พวกเราไม่รู้…”
เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม นึกถึงความแปลกแยกแตกต่างของจิ่งเหิงปัว อีกทั้งวาจาแปลกประหลาดที่โผล่ออกมาจากปากนาง
นางมักจะไม่คล้ายผู้คนที่นี่ บางครั้ง นี่ก็คงเป็นสาเหตุหนึ่งกระมัง
“พลังภายในจันทร์กระจ่าง ผู้ที่ฝึกสำเร็จจะงดงามมากยิ่งขึ้น เฮอะ…” เหยียลี่ว์สวินหรูเอ่ยด้วยน้ำเสียงอิจฉา สีหน้ากลับยินดี
บนหลังคาบ้าน จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น ดวงพักตร์สุกสกาวยิ่งกว่าแสงจันทร์
…