ฟ้าค่อยๆ สว่างอีกครั้งแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวตื่นเช้ามาก นางถูกเสียงประหลาดชนิดหนึ่งปลุกให้ตื่น เสียงนั้นคล้ายสัตว์ใหญ่อะไรสักอย่างถูกลากบนพื้นหิมะ นางฟังแล้วฟังเล่า ลุกขึ้นนั่งทันที วิ่งออกไปดังฟิ้ว

 

 

พอออกมาก็มองเห็นสิ่งของกลุ่มใหญ่ลอยขึ้นจากใต้เนินเขาทางนั้น เฉียดผ่านยอดไม้ที่ปกคลุมด้วยหิมะผืนหนึ่ง ห้อยหัวเลียบตามทิศทางของหน้าผาแล้วหายไป

 

 

นางยืนเซ่ออยู่ครู่ใหญ่ โพล่งปากร้องด่าว่า “จื่อเวยเจ้ามันไอ้แก่หนังเหนียว เจ้ามีชีวิตอยู่ก็เพื่อทำให้ผู้อื่นรังเกียจสินะ!”

 

 

บนหน้าผาแว่วเสียงหัวเราะก๊ากๆ ตอนนี้นางฟังแล้ว นับเป็นเสียงที่ไม่น่าฟังที่สุดบนโลกนี้โดยแท้

 

 

ไอ้เฒ่าระยำสมควรตาย ลากหมีขาวที่นางล่ามาอย่างอยากลำบากเมื่อวานไปแล้ว

 

 

เดิมทีหมีขาวตัวนี้เก็บไว้ในหุบเขาหิมะแห่งนี้ พอที่จะให้สามคนกินหนึ่งเดือน อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร เกลียดนักที่เจ้าผู้ชราคนนี้ขโมยเหยื่อไปเลยเพื่อเพิ่มระดับความยากของการทดสอบ จินตนาการได้ว่าไอ้แก่หนังเหนียวขโมยครั้งที่หนึ่งก็จะขโมยเป็นครั้งที่สอง หลังจากนี้เหยื่อที่นางล่ากลับมาได้ยังจะถูกขโมยเช่นเดียวกัน

 

 

อย่างที่คิดไว้ข้างบนแว่วเสียงเจ้าผู้ชราว่า “หากเจ้าเก็บเหยื่อไว้ได้หนึ่งวัน จะเพิ่มให้เจ้าครึ่งแต้ม”

 

 

จากนั้นข้างบนโยนเกลือหนึ่งถุงลงมา นับเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าผู้ชราขโมยหมีไป

 

 

เกลือยังเป็นสิ่งจำเป็น กลั่นเกลือในหุบเขาหิมะแห่งนี้ไม่ได้ จิ่งเหิงปัวไม่อยากรอให้ออกจากหุบเขาแล้วตัวเองกลายเป็นหญิงผมขาว

 

 

นางยืนแค่นเสียงอยู่ตรงปากประตู กลับไปในบ้านหิมะ พี่น้องเหยียลี่ว์ตื่นขึ้นมาแล้ว เหยียลี่ว์สวินหรูถามว่า “อะไรหรือ?”

 

 

“ไอ้แก่หนังเหนียวโยนกางเกงในของเขามาทำให้ข้าขยะแขยงอีกแล้ว” นางชั่งน้ำหนักเกลือที่อยู่ในมืออย่างสบายใจ “เพียงแต่ข้าได้เกลือหนึ่งถุงมาจากเขา เดี๋ยวพวกเรามีลาภปากกันแล้ว”

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม เหยียลี่ว์ฉีมีแววตาอ่อนโยน เอ่ยว่า “เจ้าเข้ามานั่ง ข้าย่างเนื้อหมีให้เจ้า”

 

 

“ข้าอยากออกไปเดินเล่นก่อน แล้วค่อยกลับมากินอาหารเช้า” จิ่งเหิงปัวโบกมือก็เดินออกไป “พวกเจ้ากินก่อน ไม่ต้องรอข้าหรอกจุ๊บๆ”

 

 

นางเดินไปโดยไม่กล่าวอะไรอีกเลย ในบ้านหิมะเงียบเชียบพริบตาหนึ่ง จากนั้นเหยียลี่ว์สวินหรูหัวเราะ เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “เป็นแม่นางนิสัยดีโดยแท้”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเพียงถอนใจอย่างอ่อนโยน ครู่ใหญ่เอ่ยว่า “ใต้พื้นหิมะในหุบเขาหิมะเช่นนี้จะมีหนูหิมะ ในโพรงหนูหิมะจะมีเสบียงเก็บไว้”

 

 

“พอแล้ว เข้าใจแล้ว” เหยียลี่ว์สวินหรูใช้นิ้วมือจิ้มหน้าผากของเขา “เจ้าพักผ่อนเถิด ข้าทำเอง”

 

 

“ท่านพี่ ท่านอย่าฝืนร่างกาย”

 

 

“พอเถิด อย่ามาเสแสร้ง หากไม่ใช่ด้วยเพราะตามจีบว่าที่ภรรยาเจ้า พี่ไม่ช่วยเจ้าคุกเข่าขุดโพรงหรอก”

 

 

“ท่านพี่ เดี๋ยวข้าต้มโจ๊กรวมมิตรให้ท่านกินเอง”

 

 

“พอเถิด ต้มให้นาง แล้วค่อยแบ่งให้ข้าไม่ใช่หรือ?”

 

 

“ท่านกำลังหึงหวง?”

 

 

“แน่จริงเจ้าทำให้นางหึงหวงสิ”

 

 

“เฮ้อ…”

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวหิ้วกระต่ายขาขาดตัวหนึ่งอย่างเหนื่อยล้า เดินไปตามทางกลับบ้านหิมะ

 

 

สัตว์ที่อยู่ในหุบเขาหิมะนี้แลคล้ายสัตว์ธรรมดา แต่ยิ่งเจ้าเล่ห์ยิ่งว่องไวกว่าสัตว์ธรรมดา ขนหนังนุ่มลื่น ความเร็วดั่งสายฟ้า แม้แต่กระต่ายฝูงหนึ่งยังมีเขี้ยวยาว ซ้ำยังแบ่งหน้าที่กัน โจมตีแล้วล่าถอยได้

 

 

นางวิ่งเข้าวิ่งออกป่าทึบทั้งบนทั้งล่างเนินเขา วิ่งจนเหนื่อยหอบถึงล้มหัวทิ่มจับกระต่ายได้หนึ่งตัว กระต่ายนั่นวิ่งจนมึนงง ตัวเองไม่ระวังวิ่งชนตอไม้สลบไป

 

 

นางใคร่ครวญตลอดทาง อีกเดี๋ยวจะอธิบายกับพี่น้องเหยียลี่ว์เรื่องไม่กินเนื้อหมีกินกระต่ายอย่างไร ก็บอกว่าเนื้อกระต่ายอร่อยกว่า?

 

 

เนื้อกระต่ายอาจจะไม่อร่อย เนื้อหมีไม่อร่อยยิ่งกว่า แข็งหยาบเหม็นคาว ตอนนี้สิ่งที่นางอยากกินคือโจ๊กร้อนสักชามที่เคี่ยวจนเข้มข้น เนื้อแน่น เปล่งประกายระยิบระยับ ส่งกลิ่นหอมสดชื่นของธัญญาหาร…

 

 

นางหยุดฝีเท้าทันที ดมกลิ่น เอ๊ะ ทำไมถึงมีกลิ่นโจ๊กเข้มข้นในอากาศจริงๆ?

 

 

หลอนแล้วมั้ง? ที่นี่มีโจ๊กร้อนที่ไหน ตั้งแต่เข้าสู่เขาชีเฟิง นางก็ไม่มีโอกาสได้กินอาหารดีๆ สักมื้อ

 

 

แต่ว่า…นางลูบท้อง ท้องส่งเสียงดังโครกครากที่เข้ากับสถานการณ์ออกมาทันที…นางอยากกินธัญญาหาร กินข้าวสาร กินโจ๊กที่มีไอร้อนลอยโขมงกลิ่นหอมอบอวลสักชามมากเลย…

 

 

“กินข้าวกัน” เหยียลี่ว์สวินหรูชะโงกหน้าออกมาจากในบ้านหิมะ ชามเปลือกไม้ใบหนึ่งอยู่ในมือ โจ๊กร้อนในชามส่งกลิ่นหอมจนทำให้นางเหม่อลอย

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูรับนางเข้ามา พี่น้องทั้งคู่ไม่ได้ถามว่าเหตุใดไม่เอาเนื้อหมีเอาเนื้อกระต่าย ซ้ำยังไม่ได้ถามว่าเหตุใดไปเดินเล่นนานขนาดนี้ เหยียลี่ว์สวินหรูมัวแต่ยัดชามโจ๊กใส่มือนาง ยิ้มแย้มปรีดาจับมือของนางประคองชามไว้ด้วยกัน เอ่ยว่า “มือเย็นยิ่งนัก มาสิ ดื่มโจ๊กร้อนจะได้อบอุ่น”

 

 

จิ่งเหิงปัวกล้ำกลืนคำอธิบายที่เตรียมไว้ลงไปในลำคอ นางก้มหน้าจ้องชาม โจ๊กในชามเข้มข้น เคี่ยวเป็นเงาวาวนิดหน่อย สองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นยิ้มแย้มอ่อนโยนลึกซึ้ง ไม่ได้สงสัยหยั่งเชิงและไม่สบายใจ มีแต่สนิทสนมให้อภัยและรอคอย

 

 

พริบตาหนึ่งนี้บ้านหิมะอบอุ่น ใบหน้าของทุกผู้คนแทรกซึมอยู่ในกลิ่นอบอวลของโจ๊กร้อนหม้อนั้น ทรวดทรงนุ่มนวลใส่ใจ นัยน์ตาของทุกคนเปล่งประกายวูบไหว คล้ายมีกลิ่นอายของครอบครัว

 

 

นางเริ่มแสบจมูกกะทันหัน

 

 

ไม่ได้ลิ้มลองรสชาติแบบนี้มาตั้งกี่ปีแล้ว รสชาติของครอบครัว

 

 

นางจำภาพที่กินอาหารค่ำก่อนปีใหม่กับเพื่อนซี้สามคนในทุกปีได้ชัดเจน,นั่นก็เพราะว่ามีแต่วันนั้น,พวกนางถึงลืมชีวิตหนูทดลองในสถาบันวิจัย ลืมฐานะเด็กกำพร้าของตัวเอง ได้เจอบรรยากาศครอบครัวที่เอาใจใส่และช่วยเหลือซึ่งกันและกันสักเสี้ยว

 

 

ตอนนี้ในหุบเขาหิมะเหน็บหนาวนี้ พี่น้องทั้งสองที่ก็เป็นเด็กกำพร้า เจอเคราะห์ร้ายยิ่งกว่านาง มอบความอบอุ่นครั้งนี้ให้นางอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง

 

 

“ฝีมือของเสี่ยวฉีล่ะ เขาต้มโจ๊กก็เป็นที่หนึ่ง” เหยียลี่ว์สวินหรูยิ้มพลางยกชามให้นาง

 

 

นางก้มหน้าก้มตากินโจ๊ก ในโจ๊กมีธัญพืชหลายชนิดปะปนกัน ซ้ำยังมีพวกเกาลัดและเมล็ดสน เห็นแล้วก็รู้ว่าคงล้วงออกมาจากในโพรงสักแห่ง แต่โจ๊กหอมเหลือเกิน ในที่สุดนางก็รู้ว่าอาหารล้ำค่าบนโลกนี้ สูงสุดคืนสู่สามัญถึงเป็นรสชาติที่อร่อยที่สุด

 

 

นางดื่มแค่ครึ่งชามก็วางลง ตักโจ๊กให้เหยียลี่ว์ฉีที่ยิ้มแย้มมองนางตลอดเวลา โจ๊กที่อยู่ในหม้อหินมีไม่มาก นางมองออกว่าธัญญาหารที่ล้วงออกมาจากในโพรงมีจำกัด

 

 

ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บถึงต้องการของสิ่งนี้ที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่านางไม่กินเหยียลี่ว์ฉีก็จะไม่กิน นางจะไม่กินแม้แต่ครึ่งชามนี้

 

 

“ข้ากินแล้ว” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ย

 

 

“เหอะๆ” นางหัวเราะ “เจ้าบ่ายเบี่ยงต่อไปข้าก็จะสร้างบ้านหิมะอีกหนึ่งหลัง พวกเราต่างคนต่างอยู่”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีได้แต่มารับชาม มือเพิ่งจะยกขึ้นก็ถูกเหยียลี่ว์สวินหรูที่อยู่ข้างกายกดไว้ “เสี่ยวฉี เจ้าทำเช่นนี้จะสะเทือนบาดแผล มาสิ พี่ป้อน”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าจนปัญญายิ่งนัก

 

 

จิ่งเหิงปัวลูบคางจ้องเหยียลี่ว์สวินหรูที่เสแสร้ง…พี่สาวผู้กล้าหาญเคยโอ๋น้องชายขนาดนี้ด้วย? ทำไมนางได้ยินว่าตอนนั้นเหยียลี่ว์ฉีเกียจคร้านไม่ยอมฝึกวรยุทธ เหยียลี่ว์สวินหรูเคยใช้เท้าถีบเขาลงไปในคลอง?

 

 

มีจุดประสงค์แอบแฝงล่ะมั้ง?

 

 

นางแอบนับหนึ่ง สอง สาม…

 

 

อย่างที่คิดไว้เสียงที่สามเพิ่งผ่านไป ช้อนเปลือกไม้ของเหยียลี่ว์สวินหรูก็จิ้มคางของเหยียลี่ว์ฉี

 

 

รอยยิ้มของเหยียลี่ว์ฉียิ่งจนปัญญา จิ่งเหิงปัวเข้าใจว่าโกรธแต่ไม่กล้าบอก

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูวางช้อนลง หันมาเรียกนางอย่างไม่สะทกสะท้าน

 

 

“เสี่ยวปัว” นางเอ่ยว่า “ข้าตาบอด มองไม่เห็น เจ้ามาป้อนเถิด”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีคล้ายอยากยกมือรับชามด้วยตนเองอีกครั้ง ทว่ามือถูกพี่สาวใช้ก้นนั่งทับไว้ เขาอยากเอ่ยอะไร เหยียลี่ว์สวินหรูใช้สายตาบุ้ยใบ้ เขาได้แต่หุบปาก

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮิ รู้สึกว่าทุกข์ยากกับพี่น้องมหัศจรรย์คู่นี้ แท้จริงแล้วน่าสนุกดีนะ เข้าไปนั่งอย่างเปิดเผยเสียเลย ถือช้อนเปลือกไม้ ยิ้มแย้มกล่าวว่า “มาสิ น้องชายคนดี พี่สาวป้อนนะ”

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูเลิกคิ้ว…ต่อให้บรรยากาศคลุมเครือ ถูกหยอกล้ออย่างเปิดเผยเช่นนี้ พริบตาเดียวก็จบสิ้นแล้ว

 

 

สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีกลับคล้ายพอใจยิ่งนัก อ้าปากอย่างเชื่อฟังจริง จิ่งเหิงปัวป้อนให้ทีละคำ ไอร้อนพุ่งขึ้นแก้มเขา แผ่ซ่านด้วยสีโลหิตเล็กน้อย ผิวกายแลดูแวววาว

 

 

ในบ้านหิมะได้ยินเพียงเสียงช้อนชามชนกันนิดหน่อย

 

 

จิ่งเหิงปัวก้มหน้า นางรู้สึกได้ว่าสายตาของเหยียลี่ว์ฉีปกคลุมนางอย่างไร้รูปร่างเสมอ เขากับแววตาต่างก็เกี่ยวเนื่องยาวนาน อยู่ทั่วทุกหนแห่งเฉกเช่นรอยยิ้ม แลคล้ายผ่านไปราวกับแมลงปอโฉบน้ำ แท้จริงแล้วแน่นขนัดดั่งฝนโปรยเสมอ รอเจ้าโถมเข้าสู่ในนั้น อาบฝนพรำจากเจียงหนาน หมื่นพันความในใจ

 

 

ใกล้ชิดเหลือเกิน หายใจรดกัน ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นเล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่าด้วยเพราะอาการบาดเจ็บหรือจิตใจล่องลอย

 

 

เงียบสงบเหลือเกิน เงียบสงบจนทำให้รู้สึกอึดอัด นางอดไม่ได้ที่จะหาหัวข้อมาทำลายความเงียบสงัดที่คลุมเครือในครู่หนึ่งนี้