แดนนิรมิตเทพ บทที่ 402
“แม้จะเป็นปรมาจารย์แดนคุ้มกาย อย่างมากก็เทียบได้กับแค่ชั้นห้าแดนรวมพลัง หรือปรมาจารย์แดนมองขวัญที่สูงขึ้นมาอีกอันดับ อย่างมากที่สุดก็เทียบได้แค่ชั้นหกแดนรวมพลังเท่านั้น ส่วนแดนเทพ อย่างมากก็เท่ากับชั้นเจ็ดแดนรวมพลัง”
“สิ่งมีชีวิตพรสวรรค์ เป็นผู้ที่เกิดมาแล้วก็มีพลังสูงกว่าชั้นเก้าแดนรวมพลัง แต่พลังต่ำกว่าแดนยาทองมาโดยกำเนิด”
“อีกอย่างนักบู๊บนโลก แม้ว่าปริมาณชี่แท้ในร่างกายจะเท่ากับผู้บำเพ็ญเซียน แต่คุณภาพกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว พลังอ่อนแอกว่าผู้บำเพ็ญเซียนอย่างมาก ตอนนี้ถึงแม้ฉันจะอยู่แค่ในระดับชั้นสี่แดนรวมพลัง แต่หากต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งแดนเทพ ฉันเองก็มีความมั่นใจที่จะต่อสู้”
“เมื่อดูอย่างนี้แล้ว นักบู๊พรสวรรค์ที่ว่าบนดาวไกอา กับสิ่งมีชีวิตพรสวรรค์ของโลกบำเพ็ญเซียน ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน”
เมื่อผ่านการคิดวิเคราะห์ ภายในใจของเฉินโม่กลับสู่ความสงบ หากว่าเป็นสิ่งมีชีวิตพรสวรรค์ของโลกบำเพ็ญเซียน จากพลังของเฉินโม่ในตอนนี้ ทำได้เพียงแค่พยายามหลบเลี่ยง แต่หากเป็นนักบู๊พรสวรรค์บนดาวไกอา เฉินโม่มีความมั่นใจที่จะทำการต่อสู้ด้วย”
ท่านจินมองดูแววตาของเฉินโม่ที่ค่อยๆกลับคืนสู่ความมั่นใจอีกครั้ง จึงพูดต่อไปว่า “ผมยังเคยได้ยินว่าในโลกฝึกบู๊มีตำนานเก่าแก่อีกอย่างหนึ่ง ได้ยินมาว่าสืบเล่าต่อกันมาตั้งแต่ยุคโบราณสมัย หลายคนต่างก็ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าเช่นไร ทุกคนจึงใช้ตำนานนี้มาเป็นเรื่องตลกพูดคุยกันเท่านั้นครับ”
เฉินโม่รู้สึกสนใจ ถามว่า “ตำนานอะไร?”
ท่านจินค่อยๆพูดว่า “เข้าพรสวรรค์ บำเพ็ญเริ่ม”
“เข้าพรสวรรค์ บำเพ็ญเริ่ม!” เฉินโม่ค่อยๆพูดย้ำประโยคนี้ แล้วก็ตกเข้าสู่ภวังค์ความคิดอีกครั้ง
“ความหมายของประโยคนี้เข้าใจไม่ยาก วิถีบู๊เข้าสู่แดนพรสวรรค์ การฝึกฝนเพิ่งเริ่มต้นขึ้น แต่โลกฝึกบู๊ในดาวไกอาตอนนี้ กลับหยุดค้างอยู่เพียงแค่แดนเทพเท่านั้น หรือก็คือที่เรียกว่าแดนพรสวรรค์ ประโยคนี้หากอิงตามสถานการณ์ของโลกฝึกบู๊ในตอนนี้ มันขัดแย้งกันอย่างมาก!”
ท่านจินเองก็คงคิดว่าประโยคนี้มันขัดแย้งกันมากเช่นกัน จึงหัวเราะพูดว่า “เฉินไต้ซือไม่จำเป็นต้องจริงจังครับ ผมรู้สึกว่าประโยคนี้ก็เป็นเพียงแค่คำล้อเล่นตลก อาจจะมีคนอยากจะก่อเรื่องหยอกล้อ จึงจงใจเล่าลือต่อกันมาครับ”
“หากว่ากลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแดนเทพ ถึงจะนับว่าการฝึกฝนเพิ่งเริ่มต้นขึ้น อย่างนั้นแล้วโลกฝึกบู๊ทั่วทั้งหัวเซี่ย ก็คงจะไม่มีใครที่ผ่านเกณฑ์แล้วไม่ใช่งั้นหรือครับ?” ใบหน้าของท่านจินยิ้มอย่างดูถูกเยาะเย้ย
เฉินโม่ไม่ได้ยิ้ม อีกอย่างแววตาก็ยิ่งอยู่ยิ่งเคร่งเครียด เขารู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องตลกล้อเล่น แต่กลับเป็นคำใบ้อย่างหนึ่ง
แต่น่าเสียดายที่โลกฝึกบู๊ของหัวเซี่ยในตอนนี้ ขาดแคลนวิชา บวกกับการขาดแคลนพลังชี่ทิพย์ นักบู๊ส่วนมากจึงมีพลังถดถอย คิดอยากจะเป็นนักบู๊แดนภายใน ก็เหลือไม่มากแล้ว ยิ่งการที่อยากขึ้นเป็นปรมาจารย์ยิ่งแทบไม่มีเหลือ แล้วนับประสาอะไรกับแดนเทพที่อยู่เหนือกว่าระดับปรมาจารย์ละ!
แต่เฉินโม่รู้ว่าในยุคสมัยโบราณของดาวไกอา จะต้องมีอารยธรรมบำเพ็ญเซียนที่แข็งแกร่งอยู่ช่วงหนึ่งแน่นอน กระบี่สับสวรรค์ในร่างกายของเขาก็คือสิ่งพิสูจน์ที่ดีที่สุด
แล้วยังมีสำนักหยินทิพย์ที่ปลูกเมล็ดมารในร่างกายของเนี่ยเสี่ยวเชี่ยนอีกด้วย นั่นเป็นมรดกตกทอดจากสำนักบำเพ็ญเซียนดั้งเดิม แต่ว่าการสืบทอดขาดหายไปมาก ดังนั้นจึงทำให้พลังรวมทั้งหมดของสำนักหยินทิพย์ เทียบได้กับสำนักธรรมดาทั่วไปของโลกฝึกบู๊เท่านั้น
แต่ว่า พวกนี้ไม่สามารถที่จะปฏิเสธว่าบนดาวไกอาเคยมีอารยธรรมที่แข็งแกร่งของโลกบำเพ็ญเซียนมาก่อน บางทีตำนานนี้ อาจจะเป็นคำใบ้ให้แก่รุ่นหลังที่ลือต่อกันมาจากในยุคที่อารยธรรมบำเพ็ญเซียนยังไม่ล้าหลัง
เฉินโม่รู้สึกว่า ดาวไกอาในยุคสมัยนี้ เหมือนว่าจะไม่ธรรมดาอย่างที่รูปลักษณ์ภายนอกปรากฏให้เห็น
“ขอบคุณท่านจินที่ตั้งใจมาเตือนโดยเฉพาะครับ ท่านจินวางใจได้ แม้หนานกงหยู่จะเป็นคนมาด้วยตัวเอง เพียงแค่เขายังไม่ได้ขึ้นสู่แดนเทพ ผมก็มีความมั่นใจที่จะสามารถฆ่าทิ้งได้แล้วครับ!” จากคำพูดของท่านจิน เฉินโม่ได้เรียนรู้เข้าใจเกี่ยวกับแดนเทพบ้างแล้ว อีกอย่างแม้หนานกงหยู่จะเข้าสู่แดนเทพแล้วจริงๆ แต่เฉินโม่ก็ยังมีเคล็ดลับมากมายที่ยังไม่เคยใช้ การที่จะต่อสู้กับเขาจึงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องกังวล