ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 13 เรื่องนี้ต้องถามสวรรค์ (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

บรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้ที่ถูกยาจรุงรมจนสลบพวกนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นก็ค่อยๆ ฟื้นงัวเงียตื่นมา พบว่าในห้องว่างเปล่า รีบไปรายงานเจ้าสำนักทุกท่าน พวกเสวียนจีว่ายออกทะเลใหญ่ไปนานแล้ว อยู่ระหว่างเหินกระบี่บินไปช่วยถิงหนู

 

ยามนี้เสวียนจีจมูกแดงไปหมด ยกมือขยี้ตา ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ทั้งคืนยังออกแรงว่ายน้ำข้ามทะเลมาถึงหนึ่งชั่วยามกว่า พอขึ้นฝั่งได้ก็ยังเหินกระบี่ต่อไม่ได้หยุด แม้ว่าเป็นคนทำจากเหล็กก็ย่อมทนไม่ไหวอยู่บ้าง

 

“พวกเรา…จะไปตามหาถิงหนูที่ไหน” นางถามจบ อยู่ๆ ก็คันจมูกจามติดกันหลายทีจนเกือบร่วงจากกระบี่

 

“ฮัดเช้ย…ต้องเป็นท่านพ่อกำลังด่าพวกเราแน่เลย…” นางสูดจมูก จมูกและตาแดงไปหมด มองแล้วยิ่งเหมือนกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง

 

จิ้งจอกม่วงหมอบอยู่ในอ้อมแขนนาง ขนอ่อนนุ่มปลิวยามกระทบแรงลม สวยงามน่าประหลาด ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้จึงกล่าวว่า “ข้าว่าไม่แน่ว่าเป็นท่านพ่อเจ้ากำลังด่าเจ้าอยู่ เจ้าต้องระวังหน่อย อย่าได้ล้มป่วย”

 

คิดไปมา รู้สึกวาจานี้ดูเหมือนสนิทสนมมาก จึงแค่นเสียงฮึ กล่าวว่า “หากล้มป่วย ก็เสียเวลาไปช่วยถิงหนู เป็นความผิดเจ้า!”

 

เสวียนจีไม่สนใจ ยกมือลูบขนบนหัวนางเบาๆ ราวกับลูบสุนัขตัวน้อยที่กำลังเอาเรื่อง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “วางใจน่า ข้าต้องหาเขาพบแน่”

 

จิ้งจอกม่วงเบนศีรษะหลบราวกับรังเกียจ ท่าทางโมโหมาก “เจ้าเด็กนี่ไม่รู้จักอาวุโส! เซียนจิ้งจอกอาวุโส เจ้าก็ลูบได้หรือ”

 

เสวียนจีไม่สนใจเสียงขู่ฟ่อๆ ของนาง ยังคงลูบใบหูอ่อนนุ่มนิ่มของนางต่อ ยิ้มกล่าวว่า “เหตุใดลูบไม่ได้ เจ้าเดิมก็เป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง จิ้งจอกก็ต้องให้คนลูบสิ”

 

หลักการในความคิดนางแต่ไรมาก็ประหลาดจนคนล้วนเดาไม่ถูก หมาๆ แมวๆ มีไว้ลูบคลำ จิ้งจอกก็ย่อมให้คนลูบคลำเช่นกันไม่ใช่หรือ?

 

หางแหลมๆ ของจิ้งจอกม่วงขยับ เดิมคิดจะโต้เถียงกับนางสักสองสามคำ พลันจมูกได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ร้อนใจกล่าวว่า “เร็ว! ลงไปๆ! ข้าเหมือนได้กลิ่นแล้ว!”

 

ทุกคนรีบลดระดับลงจากเมฆ มองใต้ฝ่าเท้าเห็นหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง มองไกลๆ เห็นหอศาลางดงามยิ่ง เทียบกับเมืองจงหลีก่อนหน้าแล้วดูสง่างามกว่ามาก

 

แววตาอวี่ซือเฟิ่งส่องประกาย ยิ้มกล่าวว่า “ที่นี่คือชิ่งหยาง เมื่อก่อนข้าเคยมา ยังมีคนรู้จักอยู่ที่นี่ด้วย”

 

จิ้งจอกม่วงเกาหูอย่างแรง ส่งเสียงหงิงๆ พลางกล่าวว่า “เจ้าเคยมาก็ยิ่งดีใหญ่เลย! ที่นี่มีกลิ่นถิงหนู ดีมากเลย ชิงเกิงกับตังคังก็อยู่! ถิงหนูต้องไม่เป็นไร! รีบลงไปหาเขากัน!”

 

ทุกคนทำตามที่บอก เหินลงตรงที่รกร้างออกไปนอกเมืองครึ่งลี้ เดินเท้าเข้าเมืองชิ่งหยาง เพราะไม่ว่าอย่างไรการเหินกระบี่ลงตรงหน้าสถานที่ที่มีคนหมู่มากก็จะทำให้วุ่นวายกันไปหมดได้ ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ล้วนต้องเลือกที่ห่างไกลไร้ผู้คนเหินกระบี่

 

เสวียนจีเขยิบเข้าใกล้ถามจิ้งจอกม่วงว่า “ชิงเกิงกับตังคังคืออะไร”

 

จิ้งจอกม่วงค้อนขวับใส่นาง สะบัดพู่หาง โดดลงจากบ่านาง เดินนวยนาดงดงามไปข้างหน้า หันมากล่าวว่า “ยังคิดว่าเจ้าร้ายกาจสักแค่ไหน แค่เรื่องนี้ก็ไม่รู้…เชอะ! ถิงหนูเป็นเงือกอาวุโสและร้ายกาจมาก แน่นอนย่อมเลี้ยงดูปีศาจไว้ข้างกายคอยอารักขารับใช้ ชิงเกิงกับตังคังก็คือสัตว์เลี้ยงของเขาอย่างไรเล่า!”

 

เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เขาอาวุโสสูงและร้ายกาจมากหรือ เช่นนี้จะถูกเจ้าจับไปขังได้อย่างไร”

 

จิ้งจอกม่วงอึ้งไร้วาจาโต้ งึมงำเป็นนาน พลันอยู่ๆ ก็โมโหขึ้นแทน ฮึดฮัดกล่าวว่า “ข้ามาขอให้เขาช่วย! ผู้ใดบอกว่าข้าจับเขาไว้! จะว่าไป…เขาอยู่กับข้ากลับดีกว่า! จะได้ไม่ต้องถูกพวกเซียนปีศาจที่ไม่เกี่ยวข้องมารบกวนให้วุ่นวาย!”

 

“เหตุใดเซียนปีศาจต้องมารบกวนเขา” เสวียนจีไม่รู้จักดูสีหน้าคนจริงๆ ยังถามต่อ

 

จิ้งจอกม่วงโมโหฮึดฮัดถลึงตาใส่นาง เอาแต่เหตุใด เหตุใด นางจะยอมจบไหมเนี่ย?!

 

“เขา…เขา เมื่อก่อนเขาถูกคนใส่ร้ายประกาศจับช่วงหนึ่ง แม้ว่าต่อมายกเลิกประกาศจับไป แต่ยังคงมีพวกไม่รู้ความมากมายมาหาเรื่องเขา เจ้าอย่าถามมาก เรื่องคนอื่น เจ้าถามไปทำไม”

 

เสวียนจีรู้สึกงุนงงที่โดนว่า “เห็นๆ…ว่าเจ้าเองเป็นคนคุยกับข้า…”

 

คนกล่าวว่าจิ้งจอกปรวนแปรง่าย กล่าวได้ไม่ผิดแม้แต่น้อย เดิมเป็นจิ้งจอกม่วงที่พูดจาเบิกบานเอง นางเองจึงได้นึกสนุกรับฟัง ยามนี้กลับกลายเป็นความผิดนางไปเสียอย่างนั้น

 

“เจ้าน่ารังเกียจจริง!” จิ้งจอกม่วงทั้งโมโหทั้งอับอาย แม้เป็นจุดอ่อนที่ป้องกันแน่นหนา แต่ถูกนางแทงมั่วไปมาเช่นนี้ แทงเอาแทงเอาอย่างไรก็ย่อมต้องพัง นางเองก็รู้ว่าแม่นางน้อยหน้าตางดงามใต้หล้าล้วนไม่ใช่คนดีอันใด เจ้าเล่ห์ล่อลวงยิ่งนัก

 

นางสะบัดหาง หันกายกระโดดไปบนบ่าอวี่ซือเฟิ่งแทน สองอุ้งเท้ากอดคอเขาไว้กันลื่นตก พลางทำท่าทางเจ้าเล่ห์ส่งเสียงฉอเลาะว่า “แม่นางน้อยแสนน่ารังเกียจ ใครชอบก็เพราะไร้ตา!”

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มนิ่งเรียบ ไม่กล่าวอันใด

 

“เจ้ายิ้มอันใด” จิ้งจอกม่วงยิ้มแย้มคุยกับชายหนุ่มทันที หรี่ตางามมอง แลบลิ้นเลียใบหน้าเขาทีหนึ่งเบาๆ แม้ว่านางไม่กล้าดูดพลังหยางเสริมพลังหยินอะไรพวกนั้น แต่ชายหนุ่มสง่าสูงส่งเช่นนี้วางอยู่ตรงหน้า ไม่เอาเปรียบสักหน่อย เหมือนไม่ใช่นิสัยดั้งเดิมตนเองเอาเสียเลย ครั้งก่อนเรื่องดีๆ ถูกขัดจังหวะ ตอนนี้นางยังโมโหอยู่เลย

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า ยกมือคว้าพู่หางนางไว้ ค่อยๆ ยกขึ้นเบาๆ

 

จิ้งจอกม่วงส่งเสียงขู่ฟ่อร้องดัง “เจ้าจะทำอะไรน่ะ?! เจ้าโจรหน้าเหม็น! หางมารดาเจ้า เจ้ากล้าจับหรือ?! ปล่อยนะ ปล่อยนะ!”

 

ยังร้องไม่ทันจบ ก็ถูกอวี่ซือเฟิ่งยัดเข้าแขนเสื้อกว้างไป

 

“ในนี้มืดไปหมด หายใจไม่ออก!” นางใช้อุ้งเท้าตะกายแขนเสื้อจนขาดเป็นรู ปากแหลมๆ ยื่นออกมา พลันหางถูกของเย็นเยียบอะไรสักอย่างพันรัดไว้ ดึงนางกลับเข้าไปอย่างแรง

 

จิ้งจอกม่วงรีบหันกลับไปมอง เห็นเพียงในแขนเสื้อมืดมิดไปหมด ด้านในมีดวงตาสองดวงราวไฟภูตจ้องมองนางอยู่ นางพลันหุบปากแน่น เห็นเพียงว่ามีหางงูส่องประกายสีเงินวาวพันรัดตั้งแต่หางถึงขา จากนั้นลิ้นเย็นเยียบราวน้ำแข็งยังมาจรดอยู่ตรงจมูกนาง

 

“ในที่สุดนางก็หยุดโวยวายแล้ว” จงหมิ่นเหยียนปาดเหงื่อ ตลอดทางมาได้ฟังแต่จิ้งจอกม่วงส่งเสียงพูดไม่หยุด แม้ว่าเสียงนางไพเราะ แต่ก็เอาแต่เอะอะ จิ้งจอกจึงยังคงน่ารำคาญมาก

 

“อา อา อา อา อา อา! งู! เป็นงู!!!”

 

เสียงร้องแหลมดังแว่วออกมาจากในแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่ง จิ้งจอกม่วงตะกายอยู่ในนั้นอย่างไม่คิดชีวิต ร้องไห้เรียกหาบิดามารดา

 

“งู งู งู!”

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเล็กน้อย ตบแขนเสื้อกล่าวเบาๆ ว่า “เสี่ยวอิ๋นฮวา นุ่มนวลหน่อย อยู่กันอย่างสามัคคีหน่อย”

 

จงหมิ่นเหยียนกุมหู เหงื่อเย็นหลั่งท่วมแผ่นหลัง มองรอยยิ้มบางที่ริมฝีปากอวี่ซือเฟิ่ง พลันรู้สึกว่ามีเรื่องกับผู้ใดก็ได้ แต่ห้ามมีเรื่องกับคนผู้นี้

 

น่ากลัวมาก!

 

เสียงทะเลาะดังมาตลอดทางเช่นนี้ เมืองชิ่งหยางอยู่ตรงหน้าแล้ว

 

เมืองชิ่งหยางอาจเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมใหญ่ที่สุดทางฝั่งตะวันตก หากเทียบกับเมืองจงหลีก่อนหน้านี้ ร่ำรวยอู้ฟู่รุ่งเรืองกว่าไม่รู้เท่าไร

 

ตลอดทางลงเขาฝึกฝนตนผ่านเมืองต่างๆ มา แต่ละเมืองสวยขึ้นเรื่อยๆ เรื่องที่พานพบก็แปลกขึ้นเรื่อยๆ แม้เสวียนจีไม่รู้นี่ใช่ที่เรียกกันว่า ‘เปิดโลกทัศน์’ หรือไม่ แต่ไม่ทันรู้ตัว พวกเขาก็เหมือนว่าได้เรียนรู้อะไรไปไม่น้อยจริงๆ

 

ดังนั้นมาเมืองชิ่งหยางครั้งนี้ แม้ว่าเป็นเมืองใหญ่ แต่พวกเขาก็ไม่ไร้เดียงสาเหมือนตอนแรกที่ไปถึงเมืองจงหลีนั้นแล้ว ไม่ไปเหม่อมองสิ่งก่อสร้างอาคารต่างๆ ราวกับมาจากบ้านนอกห่างไกลเช่นนั้นแล้ว

 

อวี่ซือเฟิ่งคุ้นเคยเส้นทางที่นี่มาก หาโรงเตี๊ยมเจออย่างรวดเร็ว ทุกคนเข้าพักเรียบร้อยก็กลับห้องไปสั่งน้ำร้อนมาอาบกันก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เกลือแห้งกรังออก พวกเขาเดินทางรอนแรมออกจากเกาะฝูอวี้มาทั้งคืน ว่ายน้ำทะเลอยู่ครึ่งวัน พอขึ้นฝั่งก็กลัวถูกไล่ตามทัน ไม่ทันได้พักหายใจสักนิดก็ต้องรีบเหินกระบี่กันไป มาถึงตอนนี้จึงได้พักผ่อนกันสักหน่อย

 

เสวียนจีง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้นนานแล้ว อาบน้ำเสร็จก็ไม่ทันรอให้ผมแห้ง ล้มหัวถึงหมอนหลับไปทันที พวกอวี่ซือเฟิ่งยังทนไหว มานั่งอยู่ชั้นล่างดื่มสุราคุยสัพเพเหระกัน

 

จงหมิ่นเหยียนเห็นในแขนเสื้อเขาเงียบไป ไม่มีเสียงอันใดแม้แต่น้อย อดกังวลไม่ได้ กล่าวว่า “เสี่ยวอิ๋นฮวาเจ้ามีพิษกระมัง อย่ากัดจิ้งจอกตายล่ะ พวกเราจะไม่ได้ไปเขาปู้โจวซานกัน!”

 

อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด รั่วอวี้ข้างๆ ยิ้มกล่าวว่า “หมิ่นเหยียน นั่นจิ้งจอกผ่านการบำเพ็ญเพียรนับพันปี เสี่ยวอิ๋นฮวาเป็นแค่สัตว์ภูตที่ยังไม่บรรลุเป็นมารปีศาจ พิษไม่ทำให้ตาย แค่ขู่นางได้เท่านั้น”

 

จงหมิ่นเหยียนหาวหวอด เขาก็แทบไม่ได้นอนมาสองวันสองคืนแล้ว สีหน้าเหนื่อยล้ามาก แต่ในใจมีเรื่องวางไม่ลง แม้นอนก็หลับไม่สนิท

 

“จิ้งจอกนั่นไม่ได้บอกหรือว่าที่นี่มีกลิ่นถิงหนู รีบเรียกนางออกมาถามสิ แท้จริงอยู่ที่ใด พวกเราจะได้ไปหาเขา”

 

เขาหยิบตะเกียบออกมาเคาะชามเสียงดังติ๊งๆ น่ารำคาญมาก

 

อวี่ซือเฟิ่งสะบัดแขนเสื้อ จิ้งจอกม่วงขดตัวกลมดิ๊กหล่นลงบนเก้าอี้ดังตุ้บ นางหลับตาปี๋ ร่างยังคงมีงูสีเงินลำตัวขนาดเท่าข้อมือพันอยู่ สัตว์สองตัวไม่ไหวติง ไม่รู้เป็นหรือตาย

 

“ตายแล้ว?!” ตะเกียบในมือจงหมิ่นเหยียนร่วงลงกับพื้นด้วยความตกใจ

 

อวี่ซือเฟิ่งยังไม่ทันได้กล่าวอันใดก็เอื้อมมือไปคว้าเสี่ยวอิ๋นฮวานุ่มนิ่มขึ้นมา มันเงยหน้ามองเจ้าของอย่างเกียจคร้าน พันวนไปรอบข้อมือเขาอย่างไม่อยากตัดใจ ก่อนจะหลบกลับเข้าแขนเสื้อนอนต่อ

 

“หากเจ้าแกล้งตายอยู่อีก พวกเราจะไม่ช่วยถิงหนูแล้ว”

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ วาจาเพิ่งกล่าวจบ จิ้งจอกนั่นก็กระโดดขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา ลื่นไถลตัวเข้าสู่อ้อมกอดเขา สองอุ้งเท้าตะกุยหน้าอกเขา ร้องไห้ไปด่าไปว่า “เจ้าโจรไร้คุณธรรม! เจ้าโจร! โจรหน้าเหม็น! ถึงกับทรมานข้าเช่นนี้!”

 

อวี่ซือเฟิ่งดึงหนังหลังคอนาง ยกนางขึ้น สัตว์ขนนุ่มนิ่มนั่นรู้สึกไม่สบายตัว สี่ขาตะกายสุดแรงกระเสือกกระสน ท่าทางเต็มไปอาการประหนึ่งว่า “ข้าจะตะกุยเจ้าให้ตาย”

 

“เจ้าไม่ใช่บอกว่าได้กลิ่นถิงหนูหรือ เขาอยู่ในเมืองนี้ใช่หรือไม่”

 

จิ้งจอกม่วงแสร้งทำทีร้องไห้จะแขวนคอตายตามแบบฉบับ ดิ้นรนแสดงอยู่เป็นนาน พบว่าอีกฝ่ายไม่สนใจตนเองสักนิด ได้แต่หยุดพักรบ ปาดน้ำตาท่าทางอัดอั้นกล่าวว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร…เมื่อครู่อยู่ข้างบนนั่นได้กลิ่นเขากลับชิงเกิง แต่มาถึงในเมืองกลิ่นก็หายไปแล้ว”

 

“นี่ นี่ นี่! เจ้าอย่ามาแกล้งเลอะเลือนเช่นนี้! หลอกคนก็ต้องหาข้ออ้างดีๆ หน่อยไหม” จงหมิ่นเหยียนโมโหเริ่มเคาะถ้วยชาอีกแล้ว

 

จิ้งจอกม่วงไม่ได้เกรงใจเขาอันใด ม้วนหางขึ้นส่งเสียงฮึดฮัดทะนงตนว่า “ข้าต้องหลอกพวกหน้าเหม็นเช่นเจ้าด้วยหรือ ไม่ได้กลิ่นก็คือไม่ได้กลิ่น และไม่เพียงไม่ได้กลิ่นถิงหนู กลิ่นอื่นๆ ก็ไม่ได้กลิ่น ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายปีศาจเข้มข้นมาก กลบกลิ่นคนอื่นเขาไปหมดแล้ว”

 

“ปีศาจอีกแล้ว! ทำไมทุกที่ล้วนมีปีศาจ!” ตอนนี้จงหมิ่นเหยียนพอได้ยินคำว่ามารปีศาจ หัวก็พองโตใหญ่ทันที

 

“เจ้าว่านั่นคือปีศาจอะไร ทำร้ายคนไหม” อวี่ซือเฟิ่งถามเบาๆ

 

จิ้งจอกม่วงกระดิกหู ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่รู้ จริงๆ แล้วปีศาจมากมายบำเพ็ญจนมีร่างมนุษย์ได้แล้ว ก็ชอบอยู่ร่วมกับมนุษย์เหมือนคนปกติ หรือว่าเป็นปีศาจก็ต้องทำร้ายมนุษย์กัน”

 

จงหมิ่นเหยียนขี้เกียจต่อปากกับนางให้มากความ ร้อนใจกล่าวว่า “พอแล้วๆ! พวกเราน่าจะทำการค้าขาดทุนแล้ว ซือเฟิ่ง พวกเราขจัดกลิ่นปีศาจเข้มข้นพวกนี้ไปก่อน ค่อยหาถิงหนูกันเถอะ!”

 

อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบเป็นนานพลันกล่าวว่า “ข้ามีความคิดว่าจะไปเยี่ยมคารวะคนผู้หนึ่งที่อยู่เมืองชิ่งหยาง เรื่องกำจัดปีศาจ ข้าคิดว่ารอให้เข้าคารวะเขาก่อนค่อยว่ากัน”