ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 14 เรื่องนี้ต้องถามสวรรค์ (2)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ทุกเมืองที่เจริญรุ่งเรืองล้วนมีมุมมืดอยู่บ้าง ขอทาน นักเลงหัวไม้ นักพนัน นักโทษติดคดีมารวมตัวกันในที่ที่ไม่ให้คนพบเห็นโดยง่าย…ชีวิตเด็กดีล้วนไร้วาสนากับพวกเขา

 

 

อวี่ซือเฟิ่งต้องการพบคนผู้หนึ่ง ได้ยินน้ำเสียงเคารพของเขา ทุกคนคิดว่าต้องเป็นคนสูงส่งเหนือสามัญเป็นแน่ ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนสวมชุดขาวตัวยาว ในมือถือถ้วยชาทำจากไม้ไผ่ สีน้ำชาในถ้วยราวกับหยกเขียว ผู้ใดจะรู้ว่าผู้พวกเขาจะไปพบในเมืองนั้น หลังเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมา สุดท้ายมาถึงที่บ้านเช่นนี้ได้

 

 

จงหมิ่นเหยียนเห็นหลังคาบ้านชายคาเตี้ยทิ้งตัวต่ำ ตรอกแคบจนบีบให้เดินเอียงเข้าไปได้ทีละคน แอ่งน้ำสกปรกขยะเละเทะไปหมด เหม็นจนทนดมไม่ได้ ยามนั้นจึงขมวดคิ้วแน่น

 

 

“ซือเฟิ่ง สหายเจ้าผู้นี้…หรือว่าอยู่ที่นี่” เขายังไม่อยากจะเชื่อ

 

 

เสวียนจีเห็นในตรอกมีทางแยกมากมาย หลายคนก็ไม่สนใจว่าสกปรกหรือไม่ หากลงนั่งยองๆ ท่าทางร่าเริงอยู่กันตรงนั้น บ้างก็คุยเล่น บ้างก็สูบบ้องยา เห็นพวกเขาแต่งกายชุดสะอาดสะอ้าน ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หญิงสาวหน้าตาดี แต่ละคนก็จ้องมองตรงมา มีหลายคนสายตาเจ้าชู้เสเพล บ้างก็ส่งเสียงผิวปากดังมา กล่าววาจาเหลวไหลกันคำสองคำ

 

 

“อะไรคือนายกระต่าย[1]?” เสวียนจีหูไว ได้ยินวาจาหยาบโลนของพวกเขาเหล่านั้นนานแล้ว หันไปถามอวี่ซือเฟิ่ง

 

 

ชายหนุ่มทั้งสามพากันอึ้งไป ท่าทางเก้กังและโมโหในที จงหมิ่นเหยียนแค่นเสียงฮึ อวี่ซือเฟิ่งแสร้งทำไม่ได้ยิน รั่วอวี้ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ กล่าวว่า “อันนี้หรือ…ภาษาหยาบคายชาวบ้าน รู้ไปก็ไร้ความหมาย”

 

 

เสวียนจีเห็นคนเหล่านั้นอัดสูบบ้องควันอึดใจใหญ่ พ่นควันโขมงลอยออกมาตามลม กลิ่นหอมคล้ายแท่นบดยา หอมอยู่ไม่น้อย กลิ่นนั่นเหมือนห้องยาที่ยอดเขาชงหยางของสำนักเส้าหยาง ตอนปรุงยาลูกกลอนมักจะมีกลิ่นหอมควันโขมงลอยออกมา

 

 

“ผงห้าศิลา[2]!” จงหมิ่นเหยียนสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย รีบอุดจมูกแน่น เห็นเสวียนจียังเงยหน้าไปดม ก็รีบตีหลังคอนางทีหนึ่ง “เด็กโง่! นั่นมีพิษ! หลังติดแล้วก็กลายเป็นคนไม่คน ผีไม่ผี เจ้ายังจะดมอะไร!”

 

 

เสวียนจีถูกเขาตีจนส่งเสียงดัง “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง เจ็บหลังคอไปหมด อดกุมบริเวณที่เจ็บไว้ไม่ได้ ได้แต่มองเขาอย่างอัดอั้นใจ เขาจงใจแน่ ยังคงฝังใจที่คืนนั้นแพ้นางไปหนึ่งตำลึงเงิน นี่คือการแก้แค้นตามปกติ! ศิษย์พี่หกแต่ไรก็คิดเล็กคิดน้อย!

 

 

จงหมิ่นเหยียนกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่งปิดบังอาการกินปูนร้อนท้อง มองหน้าบ้านผุพังที่อวี่ซือเฟิ่งพามาถึง ยกมือเคาะประตูสองที ประตูนั้นไม่แข็งแรงสักนิด ถูกเขาเคาะก็ล้มครืนทิ้งตัวอยู่กับพื้นเสียงดังโครม พริบตาน้ำขังสกปรกก็กระเซ็นขึ้นมา ทำเอาทุกคนตกใจกระโดดหลบกันยกใหญ่

 

 

“นี่! ข้าว่าสหายเจ้าคนนี้ไม่อยู่ที่นี่กระมัง?!” จงหมิ่นเหยียนทนไม่ไหวแล้ว ที่เช่นนี้ดูอย่างไรก็ใช้ไม่ได้ สหายซือเฟิ่งคงไม่ใช่คนโฉดชั่วตัวฉกาจกระมัง

 

 

อวี่ซือเฟิ่งหน้าตาเรียบเฉย แม้แต่คิ้วก็นิ่ง ก้าวข้ามธรณีประตูผุพังเข้าไป ด้านในเป็นลานหน้าบ้านที่เละเทะไปหมดเหมือนกัน มีต้นสนใกล้ตายสองต้น รอบๆ กองเต็มไปด้วยเครื่องเรือนและของจิปาถะมากมาย ดูจากสภาพแล้วก็แยกไม่ออกว่าคืออะไร

 

 

“หมิ่นเหยียน คนเราไม่อาจดูแค่ภายนอก คนสูงส่ง ก็มัก…ทำอะไรก็มักไม่เป็นไปตามแบบแผน…”

 

 

รั่วอวี้ลงแรงเสริมช่วยให้เขาคลายความข้องใจ เสียงใต้ฝ่าเท้าดังขึ้นเสียงหนึ่ง บานประตูถูกตนเหยียบทะลุ ครึ่งเท้าเขาข้างหนึ่งจุ่มลงไปในน้ำครำ ได้แต่ตกใจสีหน้าดำคล้ำแล้ว

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเคาะหน้าประตูห้องสองครั้ง ปรากฏด้านในไม่มีเสียงใดแม้แต่น้อย เขารู้สึกยังไม่ยอมแพ้ ใช้แรงเคาะอีก ยังคงไร้ปฏิกิริยา เขาร้อนใจแล้ว ยกเท้าถีบประตูกระเด็น กล่าวดุดันว่า “หลิ่วอี้ฮวน เจ้าไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”

 

 

ประตูน่าสงสารอีกบานถูกเขาถีบพัง ในห้องยังคงเงียบกริบ ทุกคนอดแปลกใจไม่ได้ ชะโงกหน้ามองเข้าไปด้านใน รู้สึกเพียงกลิ่นเหม็นลอยแตะจมูก ด้านในไม่อาจเรียกว่าห้องคนอยู่ น่าจะเรียกว่า ‘คอกหมู’ หรือคอกหมูยังกลิ่นสะอาดกว่านี้อยู่สักหน่อยด้วยซ้ำไป

 

 

ยามนี้แม้แต่เสวียนจีเองก็ทนไม่ไหว อุดจมูกถอยหลังไปหลายก้าว เกือบถูกกลิ่นรมจนเห็นดาว อวี่ซือเฟิ่งมองไปรอบๆ ห้องอย่างละเอียด มั่นใจว่าไร้ผู้คน ได้แต่ถอยออกมา ประคองประตูที่หลุดออกบานนั้นขึ้นมา พยายามใส่กลับลงกรอบประตูให้มันทำหน้าที่ ‘ประตู’ ต่อไป

 

 

น่าจะเพราะเสียงพวกเขาดังทำคนข้างบ้านตกใจ ชายชราผู้หนึ่งถือไม้เท้าเดินเข้ามากล่าวว่า “จะหาอี้ฮวนหรือ ตอนนี้เดาว่ากำลังนอนอยู่ในเรือสำราญริมน้ำนั่นแน่ะ! พวกเจ้าไม่สู้ไปหาเขาที่นั่น”

 

 

เรือสำราญ? ทุกคนล้วนแปลกใจเล็กน้อย ของเล่นพวกนี้น่าจะเป็นของที่พวกคนมีเงินเท่านั้นถึงจะขึ้นไปได้นี่ เห็นสภาพบ้านที่จนแทบเหมือนโดนน้ำชะล้างไปหมดเช่นนี้แล้ว แม้แต่หนูก็น่าจะไม่อยากมาเยือน เขาถึงกับมีเงินไปนอนเรือสำราญ?

 

 

สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งแปรเปลี่ยนทันที ร้อนใจกล่าวว่า “ที่เรียกว่าเรือสำราญ…หรือว่าเป็นหอเจียวหง?”

 

 

ชายสูงอายุผู้นั้นเผยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนยิ่ง ท่าทางราวกับจะบอกว่า “ข้าว่าละ หนุ่มสาวพวกนี้ไม่เรียนรู้สิ่งดีๆ กัน” หัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “เรือสำราญเมืองชิ่งหยาง นอกจากที่นั่น ยังมีที่ไหนมีชื่อยิ่งกว่าอีกหรือ”

 

 

สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวขาว สุดท้ายส่งเสียงฮึเสียงหนึ่ง ได้แต่หันกายออกไป

 

 

เสวียนจีแอบถามรั่วอวี้ “หอเจียวหงคืออะไร มีอะไรกินไหม”

 

 

รั่วอวี้ท่าทางลำบากใจเป็นนาน ก่อนจะยิ้มเฝื่อนๆ อธิบายว่า “อันนี้คือว่า…น่าจะ บางที ควรจะ…มีบ้างมั้ง…แต่…ที่นั่นไม่ใช่สถานที่ที่ดี”

 

 

ที่นั่นย่อมไม่ใช่สถานที่ที่ดีอันใด เพราะหอเจียวหงคือคณิกาที่มีชื่อที่สุดในเมืองชิ่งหยาง ที่มีชื่อไม่ได้อยู่ที่ความงามนางคณิกาในนั้น หรือเพราะบริการครบครัน แต่เพราะในนั้นคนประเภทไหนก็เข้าไปได้ แม้เจ้าจะเป็นนักโทษที่สังหารผู้อื่นมาเมื่อวันก่อนหน้า สตรีหน้าตาและอายุเช่นไรก็มาเป็นนางโลมที่นี่ได้ แม้เจ้าเป็นสาวแก่เกินเจ็ดสิบก็ตาม ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือราคาที่นี่ถูกมากจนผู้ใดก็คาดไม่ถึง

 

 

ตอนพวกอวี่ซือเฟิ่งหาที่นี่เจอนั้น นอกจากเสวียนจีที่ยังไม่เข้าใจกระจ่าง สีหน้าทุกคนล้วนใช้คำว่าหลากสีสันมาบรรยายได้

 

 

จงหมิ่นเหยียนกว่าจะหลบบรรดาฝ่ามือตะปบของสาวๆ ทั้งกลุ่มนั้นมาได้ก็ไม่ง่าย ใบหน้าก็ยังไม่รู้ไปถูกหอมแก้มมาตอนไหน ทิ้งรอยชาดแดงไว้รอยหนึ่ง ดูท่าแล้วเขาคงแทบอยากจะลอกหนังออกชั้นหนึ่งไปเสียเลย ร้อนใจจนเหงื่อผุดออกมา กล่าวแทบไม่หายใจว่า “หาไม่เจอกก็ช่างเถอะ! กลับกันเถอะ!”

 

 

 เมื่อครู่เสวียนจีถูกพี่สาวคนสวยกลุ่มหนึ่งกระตือรือร้นพากันสวมกอดไปมา ยังหอมแก้มนางอีก บอกว่านางน่ารัก นางบอกว่าหิว ก็รีบมีคนยกขนมจานหนึ่งมาให้นาง นางหน้าหนามาก รับมากินทันที กินเอร็ดอร่อยอีกด้วย ดังนั้นนางรู้สึกว่าหอเจียวหงนี่น่าสนใจมาก เป็นสถานที่ที่ดี

 

 

ทุกคนขึ้นไปชั้นสองของเรือสำราญ ด้านหน้ามีชายรับใช้รีบกระลิ้มกระเหลี่ยยิ้มร่าเดินเข้าทักทายทันที “โอ้ นายท่านทั้งหลายแปลกหน้า! ไม่ใช่คนที่นี่กระมัง ชอบแม่นางแบบไหน อย่าได้เกรงใจ คิดเสียว่าเป็นบ้านตนเอง!”

 

 

กล่าวจบก็เห็นในมือเสวียนจีมีจานขนม กินไปมองไปรอบๆ นางรูปโฉมสะคราญ ผิวขาวผุดผ่อง เป็นสินค้าที่หาได้ยากยิ่งจริงๆ ชายบริการรับใช้ในหอคณิกาผู้นั้นดวงตาเป็นประกาย รีบเข้าไปกระซิบถามเบาๆ อีกว่า “แม่นาง แต่ไรมาหอเจียวหงไม่เอาเปรียบบรรดาแม่นางที่นี่ แขกตกรางวัลและส่วนแบ่งค่าสุราล้วนเป็นของพวกนาง หากวันหน้าแม่นางสนใจ ก็พิจารณามาที่นี่ได้ตลอด…”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งไม่รอให้เขาพูดจาเหลวไหลจบ กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกเรามาหาคน”

 

 

ชายรับใช้ผู้นั้นเพิ่งเห็นว่าพวกเขาพกกระบี่ที่เอว สีหน้ากรุ่นไอสังหาร คิดว่าน่าจะเป็นชาวยุทธ์ จึงไม่กล้าพูดจาเหลวไหลต่อ หากแย้มยิ้มกล่าวว่า “พูดกันดีๆ! จอมยุทธ์ท่านนี้ต้องการหาผู้ใด”

 

 

“หลิ่วอี้ฮวน” อวี่ซือเฟิ่งกล่าวชื่อสามคำออกมาราวกับลอดออกมาจากร่องฟัน ฟังแล้วไอสังหารรุนแรงเต็มที่ ทำเอาชายรับใช้นั่นเข่าอ่อนยวบ รีบกล่าวว่า “ข้าน้อยไม่รู้…นายท่านทุกท่านตามสบาย…อย่างนั้น…ไม่ต้องเกรงใจ…”

 

 

กล่าวจบก็รีบวิ่งแทบจะกลิ้งออกไป

 

 

ไม่มีคนนำทาง ทุกคนได้แต่ค้นหาไปทีละห้อง ในการนี้ทำลายการค้าไปเท่าไรไม่ต้องพูดถึง แค่บรรดานางคณิกาเปล่าเปลือยส่งเสียงหวีดร้องก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาหูดับไปสามวันได้เลยทีเดียว

 

 

เดินค้นหามาจนห้องหรูสุดท้ายในชั้นสอง สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งก็เขียวคล้ำราวกับผักเขียวนานแล้ว เขาขี้เกียจจะเคาะประตูแล้ว ยกเท้าถีบบานประตูกระดาษพังทันที ตามคาด ในนั้นมีเสียงหญิงคณิกาส่งเสียงร้องตกใจดังมา

 

 

จากนั้นเสียงหวีดร้องตกใจยังไม่ทันเงียบ ก็พลันได้ยินเสียงทุ้มอย่างเกียจคร้านดังขึ้น “เอะอะอะไรกัน ผู้หญิงไม่มีอะไรก็เอาแต่ร้องโวยวาย มีปากนอกจากกินข้าวก็เอาแต่ร้องโวยวาย”

 

 

พออวี่ซือเฟิ่งได้ยินเสียง ยามนั้นก็ถอนหายใจยาวทันที ปั้นหน้าบึ้งตึงก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้ามาที่เช่นนี้อีกแล้ว! ทำเอาข้าหายากมาก!”

 

 

ทุกคนพอได้ยินเช่นนี้ ก็รู้ว่าหาคนที่ต้องการพบแล้ว แต่ละคนอดใจไม่ไหวรีบวิ่งเข้าไปดูคนที่พวกเขาใช้เวลาหามาตั้งนาน แท้จริงแล้วคือผู้ใดกัน

 

 

เสวียนจีเคลื่อนไหวรวดเร็ว ลอดตัวเข้าไปได้ก่อน เห็นกลางห้องมีพรมขนแกะผืนหนึ่งปูลาดอยู่ ด้านบนมีโต๊ะเตี้ยวางอยู่ตัวหนึ่ง หลังโต๊ะมีชายผมยาวนอนเอนตัวเอกเขนก ผมยังคงทิ้งตัวกระจัดกระจายอยู่บนบ่า บดบังร่างกายเขาไปกว่าครึ่ง เขาสวมชุดสีเทาเก่าคร่ำคร่าตัวหนึ่ง หน้าอกเผยออกเกินครึ่ง ถึงกับอกกว้างหนั่นแน่น

 

 

เห็นเสวียนจีจ้องมองตรงมายังตน คนผู้นั้นพลันเงยหน้าสบตานาง ท่าทางเขาเกียจคร้านเช่นนี้ แต่สายตาถึงกับคมกริบราวมีด พอกวาดตามองมา ถึงกับทำให้เสวียนจีรู้สึกชาวาบไปทั้งหน้า แทบอยากจะถอยหลังหนึ่งก้าว

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้าเขา ชายท่าทางเสเพลเช่นนี้ข้างกายยังมีนางคณิกาสองนางท่าทางหวาดกลัวนอนก่ายอยู่ด้วย ราวกับคิดจะหนีแต่ถูกเขาใช้มือหนึ่งกอดเอาไว้ หนีก็หนีไม่ได้ ได้แต่ตัวสั่นน่าสงสารยิ่ง

 

 

“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ ปอกองุ่นเม็ดหนึ่งส่งเข้าปาก

 

 

ชายผู้นั้น น่าจะเป็นหลิ่วอี้ฮวน ยันตัวขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน กวักมือเรียกทั้งสามที่สีหน้าตะลึงอยู่ด้านหลัง “มานั่งด้วยกันสิ อย่าได้เกรงใจ มา…กินผลไม้!”

 

 

ท่าทางเช่นนี้ของเขาราวกับเห็นหอคณิกานี้เป็นดังบ้านตนเอง นางคณิกาทั้งสองข้างกายอาศัยจังหวะที่เขายกมือขึ้นโบกรีบหนีออกไปทันที พวกเสวียนจีทั้งสามได้แต่นั่งลงจ้องมอง ไม่รู้ควรกล่าวอันใด

 

 

คนผู้นั้นยันศีรษะจ้องมองอวี่ซือเฟิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงจิ๊ๆ แสยะยิ้มกล่าวว่า “ไม่เลว ปลดหน้ากากออกแล้ว ข้าต้องแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย!”

 

 

กล่าวจบก็มองไปทางเสวียนจี พอนางเห็นว่ามีอะไรกินก็จิตใจนิ่งสงบ ฟังคำเชื้อเชิญ คว้าองุ่นพวงหนึ่งส่งเข้าปากทีละเม็ด

 

 

ย่อมเป็นนางแล้ว หลิ่วอี้ฮวนยิ้มเล็กน้อย เคาะโต๊ะเบาๆ เสียงดังกล่าวว่า “เอาละ! เจ้าลงทุนลงแรงมาหาข้าเช่นนี้เพื่อเรื่องใดกัน?”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “รบกวนเจ้าเปิดดวงตาสวรรค์ พวกข้าต้องการหาเงือกตนหนึ่ง”

 

 

 

 

 

 

[1] ชาวกรุงเก่าปักกิ่งเรียกหญิงงามเมืองว่า ไก่ เรียกชายงามเมืองว่า กระต่าย

 

 

[2] ยาเสพติดสมัยโบราณ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยฟลูออไรต์ ควอตซ์ ผงดินแดง หินย้อยและกำมะถัน มีมาตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น ต่อมาพบว่าใช้มากเกินไปทำให้สติคลุ้มคลั่ง หลังยุคราชวงศ์ถังมาจึงประกาศให้เป็นยาผิดกฎหมาย