“แม่นมฮวา เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด ข้ามีเรื่องปิดบังในใจอันใดกัน? ”
แม่นมฮวายิ้มกว้าง “พระชายาไม่มีเรื่องปิดบังก็ดีแล้วเพคะ เมื่อวานที่ศาลาร่มเย็น บ่าวเข้าใจทุกอย่าง ท่านอ๋องแสดงท่าทีเป็นคนใจร้าย แม้เป็นนิสัยแปลกประหลาดที่เลี่ยงไม่ได้ ทว่าไม่เคยมีสักวันที่ท่านอ๋องจะสบายใจ พระชายา… ท่านอย่าถือโทษ โกรธท่านอ๋องเลยนะเพคะ แม้ท่านอ๋องจะแสดงออกต่อพระชายาอย่างเย็นชา ทว่าความจริงใจที่ท่านอ๋องมีต่อท่านนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ที่แท้แม่นมฮวาคิดว่า นางคิดมากเรื่องที่เยี่ยโยวเหยาเย็นชากับนาง
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดอันใด นางเดินกลับเรือนอวิ๋นไค และทิ้งให้แม่นมฮวาที่ยืนอยู่ด้านหลังคาดเดาไปเอง
หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาเข้าวังมา ก็ตรงไปที่ตำหนักจ้งหวาทันที
ในเวลานี้ ตำหนักจ้งหวาเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังคุกเข่า ฮ่องเต้ที่ทรงพระประชวรหนักก็ให้คนหามพระเกี้ยวทองคำเข้ามาในตำหนักจ้งหวา ไท่จื่อก็คุกเข่าอยู่ที่ประตูทางเข้าตำหนักจ้งหวาเช่นกัน
ฮ่องเต้ทรงพระชราภาพลงไปมาก ขมับทั้งสองข้างมีพระเกศาสีขาว พระพักตร์เหลืองซีดไม่มีร่องรอยของพลังชีวิต เบ้าตาลึก ริมฝีปากบางส่วนเป็นสีเขียว
ดูแล้ว เหมือนจะมีพระชนม์ชีพอยู่ได้อีกไม่นาน
พระองค์นั่งอยู่บนพระเกี้ยวทองคำ เงยพระเศียรมองท้องฟ้า แววพระเนตรสงบนิ่งล่องลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่
ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว ฮ่องเต้มาพบหน้าฮองเฮาเป็นครั้งสุดท้ายด้วยพระองค์เอง หลังถูกคนหามออกมาก็ทรงประทับอยู่ที่นี่ และไม่ได้รับสั่งให้คนหามไปยังห้องบรรทมของพระองค์
พระองค์ไม่เคยลืมวันเวลาที่งดงามดั่งดอกไม้หลากสีสันบานสะพรั่ง
ฮองเฮาในตอนนั้นเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน เห็นได้ชัดว่านางเป็นสตรี แต่กลับกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเหมือนบุรุษ ครั้งแรกที่พระองค์พบนาง นางกำลังควบม้าพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วราวกับดอกไม้หลากสีที่กำลังเต้นระบำ ภาพนั้นงดงามเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ตั้งแต่ที่ฮองเฮาเสด็จเข้าวัง ฮ่องเต้ก็ไม่เคยเห็นนางที่เป็นเช่นนั้นอีกเลย
ในตอนนั้น พระองค์รักนางจริงๆ แม้เหล่าขุนนางจะคัดค้านเพราะสถานะที่ต่ำต้อยของนาง ทว่าพระองค์ยังยืนยันแต่งตั้งให้นางเป็นฮองเฮา
หลายปีมานี้ ฮ่องเต้คิดเสมอว่า พวกเขาทั้งสองรักใคร่ซึ่งกันและกัน เป็นความรักฉันท์สามีภรรยา แม้นางจะเย็นชาไปบ้าง ทว่านางยืนอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอ กลับคิดไม่ถึงว่า เมื่อครู่ก่อนที่ฮองเฮาจะสิ้นพระชนม์ พระองค์มองเห็นดวงตาคู่นั้นของนางมีความรู้สึกหลุดพ้นและเป็นอิสระอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ฮ่องเต้ไม่เข้าพระทัย ฮองเฮาและพระองค์รักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง เหตุใดนางจึงมีแววตาเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่นางจะสิ้นพระชนม์ แววตาของนางที่มองพระองค์นั้น ไม่มีความรัก ความอาลัยใดๆ อยู่เลย
ฮองเฮา…
ฮ่องเต้ยังไม่ทรงทราบเรื่องระหว่างฮองเฮากับหลวงจีนทุศีล
“ท่านอ๋อง! ” เสียงคำนับของทุกคนขัดจังหวะความคิดของฮ่องเต้
พระองค์ค่อยๆ ได้สติขึ้นมา ทรงทอดพระเนตรมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความสงบ ผู้ชนะคือราชา ผู้แพ้เป็นโจร พระองค์มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน จึงไม่ครุ่นคิดถึงเรื่องการต่อสู้ฆ่าฟันอีกแล้ว
พระองค์ยังมีพระโอรส ยังมีไท่จื่อ หากพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว ไท่จื่อก็จะทวงทุกอย่างที่เป็นของพระบิดากลับคืนมา
เยี่ยโยวเหยาไม่ชายตามองฮ่องเต้แม้แต่น้อย เขาเดินตรงไปยังห้องบรรทมของฮองเฮาทันที
“ท่านอ๋อง” นางกำนัลข้างพระวรกายของฮองเฮารีบเดินเข้ามาขวางด้านหน้าเยี่ยโยวเหยา “ท่านอ๋อง ยังไม่ได้ย้ายฮองเฮาลงในพระโกศ ท่านอ๋องเข้าไปไม่ได้นะเพคะ”
เยี่ยโยวเหยามองด้วยสายตาเย็นชา นางกำนัลตกใจจนสั่นเทาไปทั้งตัว นางรีบคุกเข่าลงกับพื้น ไม่กล้ายืนขวางอีก
เยี่ยโยวเหยาเดินไปด้านหน้า เยี่ยเซินที่คุกเข่าอยู่บนพื้น รีบลุกขึ้นยืนขวางทางเยี่ยโยวเหยาไว้ “เสด็จอาโยวอ๋อง ตามสถานะของท่าน หากเข้าไปในเวลานี้คงไม่เหมาะสมนัก เสด็จอาโปรดให้ความเคารพด้วย” ตอนที่เยี่ยเซินพูดคำนี้ ราวกับกำลังกัดฟันอยู่
“ถอยไป! ” เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงเย็นชา
แม้เยี่ยเซินยังคงหวาดกลัวเยี่ยโยวเหยา ทว่าเขายังยืนขวางอย่างดื้อรั้น
ไม่มีผู้ใดทราบว่า เยี่ยโยวเหยาต้องการเข้าไปในห้องบรรทมของฮองเฮาเพื่อการใด อย่าว่าแต่พระวรกายของฮองเฮายังไม่ถูกบรรจุลงในพระโกศเลย แม้จะบรรจุพระนางลงในพระโกศแล้ว ผู้ที่มีฐานะเป็นเชื้อพระวงศ์ หากเข้าไปในห้องบรรทมของฮองเฮา ก็ไม่เหมาะสมกับธรรมเนียมปฏิบัติเท่าใดนัก
“เจ้าเจ็ด นี่เจ้าคิดจะทำอันใด? นางสิ้นพระชนม์แล้ว หรือเจ้าไม่ต้องการให้นางไปสู่สุคติ? ” ฮ่องเต้ตรัส พลางกระแทกที่เท้าแขนของพระเกี้ยวอย่างรุนแรง
น่าเสียดาย เยี่ยโยวเหยาไม่เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
เขาสะบัดแขนเสื้อ เหวี่ยงเยี่ยเซินกระเด็นออกไปด้วยกำลังภายในที่แข็งแกร่ง
เมื่อเยี่ยเซินพยุงตนเองขึ้นจากมาพื้น เยี่ยโยวเหยาก็เดินหายเข้าไปในห้องบรรทมของฮองเฮาแล้ว
แม่นมกำลังนำผ้าขาวปิดที่ศีรษะของฮองเฮา เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาเดินเข้ามา ก็ตกใจกลัวจนตัวสั่นเทา นางรีบคุกเข่าลงกับพื้นโดยลืมขัดขวาง
เยี่ยโยวเหยาเดินไปด้านข้างพระศพของฮองเฮาทีละก้าวอย่างเยือกเย็น
แม้ฮองเฮาจะสวมฉลองพระองค์อันเคร่งขรึมของสตรีชาววัง ทว่าพระพักตร์กลับซีดเผือด แววตาไร้วิญญาณ ริมฝีปากที่เคลือบไว้หนาเป็นชั้น ทว่ายังมองเห็นเป็นสีขาวซีด
“ท่านอ๋อง” ในที่สุดแม่นมก็ส่งเสียงขัดขวาง นางไม่ได้ทำเพื่อพระศพของฮองเฮา ทว่าพูดเพื่อเยี่ยโยวเหยา “ฮองเฮาสิ้นพระชนม์แล้ว ที่นี่มีพลังของความโชคร้าย เกรงว่าจะไม่ดีต่อท่านอ๋องนะเพคะ ท่านอ๋องอย่าเข้าไปใกล้ดีกว่าเพคะ”
เยี่ยโยวเหยาทำราวกับไม่ได้ยินอันใด เขายื่นมือไปตรวจชีพจรที่คอของฮองเฮา ทั้งยังดึงข้อมือของฮองเฮาออกมาตรวจชีพจรอีกด้วย หลังจากยืนยันแน่ชัดแล้วว่าฮองเฮาสิ้นพระชนม์แล้วจริงๆ จึงเดินจากไป
แม่นมตกใจจนใบหน้าขาวซีด
“เยี่ยโยวเหยา เจ้า เจ้าทำเกินไปแล้ว ข้า… แม้ข้าต้องตายกลายเป็นผีก็จะไม่ละเว้นเจ้า” ฮ่องเต้พลัดตกจากพระเกี้ยว พระวรกายที่ทรงประชวรนั้นหนักเกินไป ขันทีสองนายมาช่วยประคองอยู่นาน ก็ไม่สามารถประคองพระองค์ขึ้นมาได้
เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาเดินออกมา ฮ่องเต้จึงคลานเข้ามาที่ข้างเท้าของเยี่ยโยวเหยา
เดิมทีพระองค์ได้สูญสิ้นซึ่งอำนาจไปแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่า หลังจากการสิ้นพระชนม์ของสตรีที่พระองค์รักที่สุด พระองค์ยังไม่สามารถปกป้องนางให้ปราศจากมลทินเป็นครั้งสุดท้ายได้ พระองค์เป็นฮ่องเต้ที่ไร้ค่า เป็นบุรุษที่น่าอับอายยิ่งนัก
เยี่ยโยวเหยาเอามือไพล่หลัง เขามองฮ่องเต้จากด้านบน ฮ่องเต้ในเวลานี้ตกต่ำราวกับผงธุลี ไม่ว่าจะเป็นอำนาจบารมี หรือสง่าราศีดั่งผู้เป็นกษัตริย์ เยี่ยโยวเหยาล้วนมีมากกว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันหลายเท่านัก
“เป็นผู้ใดที่พาฝ่าบาทออกมา? ” เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงเย็นชา
“ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ พวกบ่าวจะพาฝ่าบาทกลับห้องบรรทมเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีจำนวนหนึ่งรีบเดินไปข้างหน้าเพื่อพยุงฮ่องเต้ขึ้นประทับบนพระเกี้ยว ก่อนจะหามออกไปจากตำหนักจ้งหวาทันที
เดินไปไกลมากแล้ว ทว่าเสียงด่าทอสาปแช่งของฮ่องเต้ยังดังอยู่
“เยี่ยโยวเหยา เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าต้องได้รับการลงโทษ”
“เยี่ยโยวเหยา พระบรมอรรคราชบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยต้องไม่ให้อภัยเจ้า”
“เยี่ยโยวเหยา แม้ข้าจะตายไปแล้ว ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไว้”
……
“ท่านอ๋อง… ”
หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาเดินออกจากตำหนักจ้งหวา องครักษ์เงาผู้หนึ่งก็เหาะลงมาอยู่ข้างกายเขา
“สืบพบอันใด? ”
“ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมเฝ้าอยู่บนหลังคาตำหนักจ้งหวาอยู่นาน ตั้งแต่ท่านอ๋องเข้าไปจนกระทั่งออกมา ช่วงเวลานี้ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้คนจับตาดูต่อไป”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
องครักษ์เงากำลังจะไป เยี่ยโยวเหยาก็เรียกเขากลับมาอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ส่งคนไปเพิ่มที่จวนหลี่ เฝ้าระวังรอบด้าน หากมีการเคลื่อนไหวอันใด ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด จับตัวมาทันที! ”
องครักษ์เงามีท่าทีลังเลเล็กน้อย เขาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถามออกไปว่า “ท่านอ๋อง รวม… รวมถึงพระชายาด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”