มั่วชิงเฉินหยุดลง แต่ไม่เหลียวกลับ พูดขึ้นน้ำเสียงกังวานฟังชัด “ลมแรง เจ้ารีบกลับไปอาบน้ำนอนเสียเถอะ”
คนจำนวนมากไม่เข้าใจ รู้แต่เพียงว่าเจ้าสาวที่เก่งกาจเพียงนี้เพิ่งเป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอ ช่างเปิดโลกทัศน์เสียจริง ส่วนผู้บำเพ็ญผู้เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น ก็แอบหัวเราะกันอยู่เบา
เมื่อส่งมั่วชิงเฉินกลับห้องหอที่สร้างขึ้นบนยอดเขาข้างยอดเขาหลัวหั่วแล้ว เหล่าผู้บำเพ็ญก็ให้เยี่ยเทียนหยวนออกไป
เจ้าบ่าวต้องไปดื่มสุราที่ลานใหญ่ยอดเขาโฮ่วเต๋อ เจ้าสาวต้องนั่งรอบนเตียง คอยรับของกำนัลจากเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ส่งมาแสดงความยินดี ท้ายที่สุดเมื่อเหล่าหญิงสาวกลับไปแล้ว เหลือเพียงเพื่อนสนิทอย่างต้วนชิงเกอ หลัวเตี๋ยจวินและเหล่าพี่น้องจากตระกูลมั่วที่รีบตามมาจากทะเลขนาบใจ
“เจ้าสิบหก เจ้าก็ช่างเมตตาใจอ่อนจังนะ หญิงพรรค์นั้น น่าจะจัดการให้สิ้นซากไปเสีย” มั่วหร่านอีมองไปยังมั่วชิงเฉินอย่างไม่สบอารมณ์
มั่วชิงเฉินเหยียดมุมปาก พี่สิบ พวกเราอย่าได้เอาแต่ใช้วิธีแบบมารบำเพ็ญเพียรได้ไหม
มั่วเฟยเยียนลุกขึ้นมองอย่างเย็นชา แล้วพูดขึ้นเสียงเรียบ “คนเช่นนั้น ไม่ต้องไปแยแสจะดีกว่า ไม่คุ้มค่าจะให้มือต้องแปดเปื้อน”
มั่วหร่านอีแค่นเสียงเยาะหนึ่งที “ใช่ๆ เจ้ามันสูงส่ง”
มั่วหนิงโหรวมองทั้งสองคนทะเลาะกัน ก็กะพริบตาอย่างปวดหัว แล้วพูดขึ้น “พี่สิบ ท่านอย่าใจร้อนเช่นนี้ หร่วนหลิงซิ่วเป็นลูกสาวเจ้าสำนักลั่วสยา เกิดอะไรขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะวุ่นวายเพียงใด ชิงเฉิน ให้ข้าพูดนะ วันนี้ไม่ควรออกรับเลย หลิวซางเจินจวิน เสวียนหั่วเจินจวิน แล้วก็ยังมีเหอกวงเจินจวิน พวกเขาต้องอยู่ข้างเจ้าแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลั่วหยางเจินจวิน”
มั่วชิงเฉินในที่สุดก็เงยหน้าขึ้น แล้วยิ้ม “พี่สิบสี่ ข้าเข้าใจความหมายของท่าน”
มั่วหนิงโหรวประหลาดใจ “ในเมื่อเจ้าเข้าใจ แล้วไยจึง…”
มั่วชิงเฉินเอนกายพิงเตียง หรี่ตาลงอย่างสบายใจ “เข้าใจคือเรื่องหนึ่ง จะทำเช่นใดนั้นคือเรื่องหนึ่ง ไม่ผิดจริงๆ ตอนนั้นข้าสามารถอยู่นิ่งได้ รอให้คนอื่นออกหน้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องเปลืองแรงแก้ปัญหา ซ้ำยังได้ชื่อว่าเป็นกุลสตรีอ่อนโยน”
พูดเสร็จ มุมปากก็ยกยิ้ม เจอด้วยความเย้ยหยัน “แต่ว่า ทำไมข้าต้องรอให้คนอื่นออกหน้าแทนเล่า หร่วนหลิงซิ่วจะแย่งผู้ชายของข้า ก่อกวนงานแต่งงานของข้า แล้วไยข้าต้องอดทนความกลัดกลุ้มของตนเพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นกุลสตรีอ่อนโยน”
มั่วชิงเฉินพูด สายตามองไปยังยอดเขาโฮ่วเต๋อ แล้วพูดขึ้นอย่างทะเล้น “อย่างไรเสียข้าก็ออกเรือนแล้ว ไม่ได้หมายจะเป็นที่หมายปองของผู้คน ให้เหล่าผู้ชายเกาะชายกระโปรงอ้อนวอน อย่างนี้ดีแล้ว”
มั่วหนิงโหรวอึ้ง พักใหญ่ก็ทอดถอนใจ “ชิงเฉิน เจ้ามองทะลุปรุโปร่งกว่าข้าเสมอ มีชีวิตตามที่ใจอยาก”
มั่วชิงเฉินมองไปยังมั่วหนิงโหรวสายตาเร่าร้อน “พี่สิบสี่ ขอเพียงเจ้ายอม ก็ทำได้”
เวลาผ่านเข้าสู่กลางคืนอย่างรวดเร็ว เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกมึนเมาเล็กน้อย กลิ่นสุราน้ำค้างเดือนสารทคละคลุ้งไปทั้งตัวเดินเข้าสู่ห้องหอ ต้วนชิงเกอและคนอื่นๆ พูดคุยด้วยเล็กน้อยแล้วจากไป
แววตาที่เย็นยะเยือกเป็นประกายคู่นั้นของเยี่ยเทียนหยวน จ้องนิ่งไปยังมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินมองไม่เห็น แต่กลับสัมผัสได้ถึงสายตาอันอ่อนโยนดุจสายน้ำของเขาที่สาดส่องมายังนาง ก็ร้องขึ้นว่า “เทียนหยวน” เสียงหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
เยี่ยเทียนหยวนไม่ลังเล รีบเดินไปนั่งลงด้านหน้าเตียง แล้วรวบตัวมั่วชิงเฉิน กลิ่นกรุ่นสุราโอบล้อมตัวนางอย่างรวดเร็ว
“เจ้าดื่มไปเยอะหรือ” มั่วชิงเฉินเอนตัวพิงไหล่เขา
เยี่ยเทียนหยวนหัวเราะเสียงทุ้ม “วางใจได้ ไม่เมาหรอก”
พูดจบก็กอดคนในอ้อมอกแน่นขึ้น ใช้ครางสีเรือนผมของนาง “ชิงเฉิน งานมงคลกลายเป็นเช่นนี้ ทำให้เจ้าต้องน้อยใจแล้ว”
มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างไม่ได้ใส่ใจ “น้อยใจอะไรกัน ตอนนั้นหงุดหงิดในตอนนั้นก็จบแล้ว ยังมีเรื่องใหญ่โต อันคุ้มค่าจะให้ข้าจดจำอยู่”
มองดูรอยยิ้มราวกับดอกไม้เบ่งบานของนาง เยี่ยเทียนหยวนก็อึ้ง แล้วหลุดปากพูดออกมา “อยากดื่มน้ำหรือไม่”
“หือ” มั่วชิงเฉินรู้สึกฉงน หัวข้อสนทนาช่างเปลี่ยนเร็วเสียเหลือเกิน
เยี่ยเทียนหยวนเอาจอกชายัดใส่มือนาง “พูดมาเยอะขนาดนี้ ดื่มน้ำให้หายคอแห้งสักหน่อย”
มั่วชิงเฉินแม้จะรู้สึกขบขัน แต่ก็จิบชาอย่างเชื่อฟัง กำลังจะวางลง ก็ได้ยินเสียงเยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้นอีกว่า “อยากกินอะไรสักหน่อยหรือไม่”
“ไม่หิว”
“ถ้า…ถ้าเช่นนั้นเหนื่อยหรือไม่ ให้ข้านวดให้เจ้า…”
“ไม่เหนื่อย”
“หรือ…หรือว่าพวกเราออกไปเดินเล่นกันสักหน่อยไหม”
มั่วชิงเฉินกุมขมับ ขบฟันพูดขึ้นว่า “อาจารย์อา ท่านเป็นอะไรกันแน่”
เยี่ยเทียนหยวนได้ยินคำว่าอาจารย์อา ก็หน้าแดงขึ้นมาในทันที แล้วมองไปยังนางด้วยสีหน้าขวยเขินและจนปัญญา
มั่วชิงเฉินเม้มปาก “หากท่านไม่พูด ข้าก็จะนอนก่อนแล้ว”
พูดจบก็เอนตัวลง แต่ก็ถูกเยี่ยเทียนหยวนดึงเข้าไปในอ้อมกอด แล้วพูดขึ้นเสียงเบาๆ ว่า “ชิงเฉิน วิธีเข้าคู่บำเพ็ญ ข้าได้มาแล้ว…”
ได้ยินน้ำเสียงขวยเขินของเขา มั่วชิงเฉินก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาหนึ่งที “อาจารย์อา ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าวิธีเข้าคู่บำเพ็ญไม่ใช่หนังสือภาพ…”
พูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกเยี่ยเทียนหยวนประกบริมฝีปาก
กลิ่นสุราคละคลุ้งเจือด้วยลมหายใจอันเย็นเฉียบจู่โจมเข้ามา มั่วชิงเฉินปากตั้งใจจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ถูกลิ้นอีกฝ่ายสอดเข้ามา เกี่ยวพันเข้าด้วยกัน จนกระทั่งทั้งสองคนต่างหายใจหอบจึงหยุดลง แล้วกดน้ำเสียงพูดออกมาว่า “ชิงเฉิน ไม่อนุญาตให้เรียกข้าว่าอาจารย์อา”
“ท่าน…ท่านแต่ไหนแต่ไรก็คือ…” มั่วชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเขา
เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกร้อนไปทั่วท้อง โอบกอดเรือนร่างอันอ่อนนิ่มไว้แน่น “เรียกข้าว่าเทียนหยวน หรือไม่ก็ศิษย์พี่”
มั่วชิงเฉินโคลงศีรษะเล็กน้อย แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ไม่ ข้าจะเรียกท่านว่าอาจารย์อา”
เยี่ยเทียนหยวนสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งที แต่ก็สะกดอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ โน้มกายลงประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากที่อ่อนนิ่มเย้ายวนยิ่งกว่ากลีบดอกท้อ
เป็นเพราะมองไม่เห็น ร่างกายจึงมีความรู้สึกไว จุมพิตนั้นประทับลงมาไม่ขาดช่วง มั่วชิงเฉินรู้สึกราวกับว่าทั้งกายลุกเป็นไฟ อดไม่ได้ที่จะบิดตัว
ร่างกายเยี่ยเทียนหยวนแข็งทื่อ แข็งทื่อยิ่งกว่าเหล็กกล้ากดไปยังท้องน้อยที่ร้อนผ่าวของนาง
มั่วชิงเฉินหลับตาลง ขนตาสั่นระริก หัวใจราวกับละลายเป็นสายน้ำแห่งฤดูใบไม้ผลิ ไหลซึมอาบไปทั่วสรรพางค์กาย
มืออันเทอะทะคู่นั้นของเยี่ยเทียนหยวนลูบไล้ไปบนเรือนร่างอันขาวผ่องราวกับหยกของนาง เหมือนกับแฝงด้วยพลังมาร ทำให้เกิดกระแสร้อนผะผ่าว
มั่วชิงเฉินคว้ามือของเขาไว้แน่นโดยไม่รู้สึกตัว
เยี่ยเทียนหยวนก้มหน้า จุมพิตลงบนนิ้วของนาง เรือนนิ้วเรียวยาวเนียนดั่งหยกคลายออกโดยไม่รู้ตัว มือโตนั้นลูบไล้ลง ค่อยๆ สัมผัสบนบริเวณลับอันผุดผ่องราวหยดน้ำค้าง เมื่อเห็นคนที่อยู่ด้านล่างค่อยๆ ผ่อนคลาย ก็สอดนิ้วเข้าไปทันที
มั่วชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะงอตัว ส่งเสียงครางหนึ่งที
“ศิษย์น้อง เรียกข้าว่าศิษย์พี่สิ” เยี่ยเทียนหยวนประชิดข้างหูนาง แล้วกระซิบบอก
มั่วชิงเฉินขบริมฝีปาก “ข้าไม่เรียก”
นิ้วมือที่ชำแรกลึกกอยู่ในกายนาง ก็ขยับออกแรงอย่างอ่อนโยน
มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งที ตานี่ ไปเรียนรู้เรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่ตอนไหนกัน…
เยี่ยเทียนหยวนจุมพิตลงบนตาของมั่วชิงเฉินครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นคิ้วของนางขมวดเบาๆ ก็ไม่อาจปล่อยให้นางต้องทรมานต่อไป ทิ้งเอวลงไป แทรกซึมเข้าสู่กายนาง
“ศิษย์พี่…” มั่วชิงเฉินร้องหนึ่งที แล้วกุมไหล่เขาเอาไว้แน่นโดยพลัน
เยี่ยเทียนหยวนรวบมือของมั่วชิงเฉินไว้แน่น สิบนิ้วประสานกัน เสียงครางดังขึ้นเป็นระยะ มุ้งสีแดงสดเขย่าโยกอย่างรุนแรง
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ พระจันทร์บนท้องฟ้าค่อยๆ หลบเข้าสู่กลีบเมฆ ทั้งห้องเต็มไปด้วยความมืด แต่ไม่อาจปิดบังแสงเสน่หา ปราณก่อกำเนิดร่างเด็กทารกตัวน้อยหน้าตาเหมือนกับเยี่ยเทียนหยวนราวกับเป็นคนเดียวกันลอยออกมาจากหว่างคิ้วเขา จมเข้าสู่ในกายมั่วชิงเฉิน
“ศิษย์น้อง ผ่อนคลายหน่อย ที่เหลือก็มอบให้ข้าแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูดเสียงเบาข้างหูมั่วชิงเฉิน แล้วหลับตาลงสนิท