ทารกปราณตัวน้อยๆ เข้าสู่กายของมั่วชิงเฉิน แล้วแทรกซึมเข้าสู่ทะเลแห่งความตระหนักของนางอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็พบจิตดั้งเดิมที่กำลังหลับไหลอยู่
ใบหน้าของทารกแสดงความเจ็บปวด ค่อยเดินไปอย่างอ่อนแรง โอบกอดจิตดั้งเดิมไว้ในอ้อมกอด แล้วก็นั่งขัดสมาธิ ท่าทีเคร่งขรึม
ทั่วกายมั่วชิงเฉินปกคลุมไปด้วยแสงสีแดง เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมา ในวินาทีนั้น ดวงตาของนางก็มองเห็นภาพภายในกายได้อย่างชัดเจน
“ศิษย์พี่หรือ”
“ชิงเฉิน อย่าตื่นเต้นเลย นี่คือขั้นแรกของการเข้าคู่บำเพ็ญ” เสียงเยี่ยเทียนหยวนลอยมา กลับไม่ได้ลอดเข้าหูของมั่วชิงเฉิน แต่มุ่งสู่ใจนางโดยตรง
มั่วชิงเฉินนิ่งเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง
“ชิงเฉิน เป็นอะไรหรือ”
มั่วชิงเฉินพูดอย่างฉงนว่า “ศิษย์พี่ ท่านว่าอะไรนะ นี่…นี่คือการเข้าคู่บำเพ็ญหรือ”
น้ำเสียงเยี่ยเทียนหยวนฟังดูหนักใจเล็กน้อย เสียงเขาต่ำลง “ครั้งนี้ ข้าทำไม่ผิดแน่นอน เจ้าวางใจได้…”
มั่วชิงเฉินสีหน้าเหยเกขึ้นมาทันที ให้นางวางใจ นางวางใจได้อย่างนั้นหรือ หากนี่คือการเข้าคู่บำเพ็ญ เช่นนั้นตอนแรกระหว่างนางและหลัวอวี้เฉิง คืออะไรกัน!
จิตดั้งเดิมของทั้งสองโอบกอดกัน สนิทแนบชิดยิ่งกว่ากายเนื้อ ความรู้สึกในวินาทีนี้ของมั่วชิงเฉิน ส่งผ่านไปยังใจของเยี่ยเทียนหยวนอย่างไม่อาจปิดบังได้
ใจเยี่ยเทียนหยวนหนักอึ้ง “ศิษย์น้อง ไยเจ้าไม่ยินดี”
ใจมั่วชิงเฉินราวกับตกลึกลงไปในหลุมน้ำแข็ง หนาวเฉียบถึงกระดูก สัมผัสได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นของเยี่ยเทียนหยวน พบว่าตัวเองไม่สามารถปิดบังได้แม้แต่เล็กน้อย “ศิษย์พี่ ข้า…ข้าเคยเข้าคู่บำเพ็ญกับคนอื่น”
ความรู้สึกเจ็บเสียดแผ่เข้ามาจากร่างกายของอีกฝ่าย เสียดทิ่มไปยังหัวใจของนาง เยี่ยเทียนหยวนซุกอยู่ในตัวนาง ตัวแข็งทื่อไม่เคลื่อนไหว
มั่วชิงเฉินรู้สึกขวยเขิน ยื่นมือไปผลักเขาออก
หยดเลือดไหลผ่านริมฝีปากที่ถูกขบแน่นของอีกฝ่าย เป็นเพราะจิตดั้งเดิมเชื่อมต่อกัน มั่วชิงเฉินจึงมองเห็นอย่างชัดเจน นางยิ้มอย่างขมขื่น “ศิษย์พี่ ลุกขึ้นเถิด”
มือทั้งคู่ของเยี่ยเทียนหยวนกอดไหล่มั่วชิงเฉินแน่น สักครู่ใหญ่ จึงพูดขึ้นเสียงเบา “ศิษย์น้อง เจ้าอย่าผลักข้าเลย…เจ้าแต่งงานกับข้าแล้วนะ…”
มั่วชิงเฉินหลับตาลง หยดน้ำตาใสๆ ไหลรินลงมา
เยี่ยเทียนหยวนลนลานเล็กน้อย เขาจุมพิตน้ำตานาง “ศิษย์น้อง เจ้าอย่าร้องไห้ ข้า…ข้าไม่ถือสา…”
“ท่านโกหก ถ้าท่านไปม่ถือสา ไยใจจึงปวดใจ”
เยี่ยเทียนหยวนกอดมั่วชิงเฉินแน่นยิ่งขึ้น แล้วพูดขึ้นเสียงต่ำ “นั่นมันคนละเรื่องกัน ขอเพียงเจ้ายินดีออกเรือนกับข้า แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
มั่วชิงเฉินโอบเอวเขาแน่น แล้วเล่าเรื่องอุบัติเหตุกับหลัวอวี้เฉิงครั้งนั้นออกมา
เยี่ยเทียนหยวนนิ่งเหม่อไปชั่วครู่ “เป็นเช่นนั้นหรือ”
มั่วชิงเฉินหยอกเขาหนึ่งที “เป็นเช่นนั้นหรือหมายความเช่นไร”
เงียบอยู่พักใหญ่ เยี่ยเทียนหยวนก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ หัวเราะไปพลางพูดไปพลาง “ศิษย์น้อง เจ้ามักบอกว่าข้าโง่ อันที่จริง เจ้าก็ไม่ได้เหนือกว่าข้าไปสักเท่าไหร่”
“หมายความว่าอย่างไรกัน”
เยี่ยเทียนหยวนมองท่าทางอึ้งงันของนาง ใจก็สั่นกระเพื่อม แล้วก็แข็งใจพูดออกไปว่า “นั่นไม่นับ”
พูดจบ ก็อธิบายการเข้าคู่บำเพ็ญผ่านเข้าไปในแววตาอันขุ่นเคืองของมั่วชิงเฉิน
“ศิษย์น้อง ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม”
มั่วชิงเฉินไม่ตอบสนอง
“ศิษย์น้อง?” เยี่ยเทียนหยวนเรียกอีกหนึ่งครั้ง
มั่วชิงเฉินเอามือบังหน้า แล้วพูดอู้อี้ “ไม่ต้องยุ่งกับข้า อายจะตายอยู่แล้ว”
บางทีเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องของตน จึงได้สับสนทำตัวไม่ถูก ลืมไปเสียว่าหลัวอวี้เฉิงจะเป็นคนที่ฉวยโอกาสในขณะที่คนอื่นลำบากลอบทำร้ายได้อย่างไร
เยี่ยเทียนหยวนอมยิ้ม แล้วพาตัวเข้าแนบชิด พูดขึ้นพึมพำว่า “เด็กโง่”
มั่วชิงเฉินถูกหัวเราะเยาะจนหมดสภาพ จึงเริ่มโกรธขึ้นมา พลิกตัวกดร่างเยี่ยเทียนหยวนไว้ด้านล่าง แล้วพูดขึ้นอย่างดุดัน “ห้ามพูดถึงอีก!”
พูดจบก็หลับตาลง แล้วค่อยๆ ขยับเอวบาง
เยี่ยเทียนหยวนสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งที หลับตาลง ปล่อยให้หญิงสาวเคลื่อนไหวซุกซนอยู่บนกายตน จนกระทั่งความรู้สึกสุขสมประเดประดังเข้าปะทะหัวใจเขาจนแทบสติหลุดลอย ทารกปราณที่หยุดอยู่ในร่างของมั่วชิงเฉิน ก็เริ่มเข้าสู่การเข้าคู่บำเพ็ญโดยสัญชาตญาณ
ทารกปราณนั้นกอดดวงจิตดั้งเดิมของมั่วชิงเฉินเอาไว้แน่น อ้าปากขึ้นเล็กน้อย แล้วคายดวงแสงออกมาลูกแล้วลูกเรา ดวงจิตดั้งเดิมของมั่วชิงเฉินอาบไปด้วยแสงสว่าง ขยับไหวไม่หยุด
ทารกปราณโอบกอดดวงจิตดั้งเดิมน้อยๆ นั้นเอาไว้ แล้วประทับจุมพิตลงทีละน้อยไปจนทั่ว จุมพิตไปพร้อมกับกอดเอาไว้แน่น คลายแสงสว่างออกมาโอบล้อมทั้งสองเอาไว้ ร่างทั้งสองค่อยแนบสนิทชิดกันจนไร้ช่องว่าง แล้วก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน จนแยกไม่ออกว่าอันไหนคือทารกปราณของเยี่ยเทียนหยวน อันไหนคือดวงจิตดั้งเดิมของมั่วชิงเฉิน
ทั้งสองคนหมดสิ้นซึ่งสัมปชัญญะไปแล้ว ปล่อยให้จิตใต้สำนึกเกี่ยวพันเข้าด้วยกัน เริ่มเคลื่อนไหวตามแบบดั้งเดิม ความรู้สึกอันมหัศจรรย์ราวกับได้ก้าวสู่ดินแดนแห่งเซียนซึมลึกลงในวิญญาณของคนทั้งสอง
นั่นคือความรู้สึกสุขสมอันถึงที่สุด จิตวิญญาณรู้สึกอยากร่ำไห้อย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกนั้นยากจะบรรยายด้วยคำพูด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ทารกปราณและดวงจิตดั้งเดิมภายในร่างจึงค่อยๆ ถอยห่างออกจากกัน ทารกปราณที่หน้าตาเหมือนกับเยี่ยเทียนหยวนราวกับเป็นคนเดียวกันอมยิ้ม สีหน้าเบิกบานแจ่มใส ดูพึงพอใจอย่างไม่อาจอธิบายได้ และจิตดั้งเดิมของมั่วชิงเฉินเองก็ดูอิ่มเอมสดใสขึ้นกว่าตอนแรกอย่างมาก
เมื่อช่องว่างที่เชื่อมติดกันระหว่างทารกปราณและดวงจิตดั้งเดิมแยกออกจากกัน วิญญาณของทั้งสองก็กระตุก ร่างกายเข้าสู่จุดสูงสุด จากนั้นก็ลืมตาขึ้นพร้อมกัน
มองไปยังกลางดวงตารูปดอกท้อของมั่วชิงเฉินที่มีภาพของตนสะท้อนอยู่ชัดเจน เยี่ยเทียนหยวนก็จุมพิตลงบนหน้าผากมั่วชิงเฉิน แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูแหบพร่าเล็กน้อย “ชิงเฉิน เจ้ามองเห็นแล้วใช่หรือไม่”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า ความรู้สึกยากจะบรรยายนั้นค่อยๆ เลือนหายไปจากภายในกาย ทำให้นางไม่กล้าจะสบสายตาเขา
โอบกอดกันอยู่สักพัก จิตใจของทั้งสองก็เริ่มสงบลงแล้วจึงลุกขึ้น
ใครจะรู้เมื่อออกจากประตูแล้ว มองผ่านสายตาคลุมเครือผู้คนจึงได้พบว่า นับตั้งแต่คืนที่พวกเขาเข้าห้องหอ เวลาผ่านไปนานถึงครึ่งเดือนแล้ว
ในขณะที่ผู้บำเพ็ญเพียรชายคนที่ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ต่างชื่นชมความเก่งกล้าของเยี่ยเทียนหยวน มั่วชิงเฉินก็อดทนต่อไม่ไหว รีบวิ่งกลับห้องไป
เสียงเคาะประตูจากข้างนอกดังขึ้นทันที
มั่วชิงเฉินพูดขึ้นอย่างอ่อนแรง “ไม่ต้องเคาะแล้ว อย่างไรข้าก็ไม่ออกไป บอกว่าข้าเก็บตัวแล้วกัน”
เสียงอันอ่อนโยนของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้น “ชิงเฉิน ข้าเอง”
มั่วชิงเฉินลุกขึ้นนั่งตัวตรง “พี่สิบสี่หรือ” พูดทางเปิดประตูออก
มั่วหนิงโหรวเดินเข้ามา มองไปยังมั่วชิงเฉินแล้วหลุดเสียงหัวเราะออกมา “ชิงเฉิน สีหน้าเจ้าดูดีขึ้นเยอะเชียว”
มั่วชิงเฉินหน้าแดง ขบฟันแล้วพูดขึ้นว่า “เปลี่ยนเรื่องพูดได้ไหม”
มั่วหนิงโหรวจึงได้หยุดหัวเราะ แล้วพูดว่า “พี่สิบไปตั้งแต่วันที่สอง หลังจากงานมงคลของพวกเจ้า วันนี้พี่เก้าเองก็วางแผนจะไปแล้วเช่นกัน”
“ไยจึงเร็วเช่นนี้” มั่วชิงเฉินแปลกใจ
มั่วหนิงโหรวกระแอมสองที “ไม่เร็วแล้วนะ นี่ก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว ตอนแรกที่เก้าตั้งใจจะไปเร็วกว่านี้ แต่อยากพบหน้าเจ้าสักครั้ง…”
มั่วชิงเฉินชะงักงัน…
“เอาล่ะ ไม่ต้องอายแล้ว ทุกคนต่างยินดีกับเจ้า พวกเรากลับไปพบพี่เก้าที่ยอดเขาลั่วเถาก่อนเถิด” มั่วหนิงโหรวผลักมั่วชิงเฉิน
เมื่อพ้นประตู มั่วชิงเฉินก็รีบพามั่วหนิงโหรวจากไปจากยอดเขาหลัวหั่วด้วยความเร็วอย่างไม่เคยมีมาก่อน มุ่งตรงไปยังยอดเขาลั่วเถา
หลังจากทักทายพอเป็นพิธีกับเหล่าผู้คนพี่ยอดเขาลั่วเถา มั่วเฟยเยียนก็ให้สัญญาณ พี่น้องตระกูลมั่วก็เข้าไปยังห้องหนึ่ง แล้วพวกนางก็พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ชิงเฉิน เจ้าคงได้รับข่าวแล้ว ว่าข้ามาหาเจ้าแล้วครั้งหนึ่งใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินพยักหน้า
“พวกเราอยู่ที่นี่พอดี ข้าอยากจะเล่าเรื่องที่สองสามปีมานี้ได้สืบรู้มาให้ฟัง”