ตอนที่1340 บัญญัติเทพแห่งถงเทียน!

 

“อะไรกัน…ข้ารู้สึกดั่งว่า…แทบ…แทบหายใจไม่ออกแล้ว!”

 

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาลูกยักษ์มันอะไรกัน? ไฉนถึงมีหุบเขาลูกมหึมาปรากฏขึ้นเหนือเมืองกุยฉางได้?”

“ช่างเป็นแรงกดดันที่น่าสะเทือนขวัญโดยแท้! ข้า…ข้าแทบต้านไม่ไหวแล้ว ราวกับต้องคุกเข่าให้มัน!”

 

“นั้นมันหุบเขาถงเทียน! หุบเขาลูกมหึมานั้นดูคล้ายหุบเขาถงเทียนอยู่หลายส่วน หากหล่นลงมา เมืองกุยฉางวินาศเป็นฝุ่นผงแน่!”

 

 

……………………

 

 

เช่นเดียวกันกับบริเวณตีนหุบเขาถงเทียนของจริงที่กำลังเกินภัยพิบัติสุดวิปลาส น่านฟ้าเหนือเมืองกุยฉางเองก็มีปรากฏการณ์สุดโกลาหลเช่นกัน

เหนือเมืองกุยฉาง จู่ๆก็มีหุบเขาลูกมหึมาปรากฏขึ้นท่ามกลางทุกสายตา

รัศมีเต๋าที่ปลดปล่อยออกมาจากหุบเขาลูกนี้ ช่างรุนแรงจนกดดันให้ทุกคนแทบต้องก้มกราบ

ยิ่งใหญ่เกินไป!

ยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด!

 

 

“ผู้อาวุโสซวน รีบหนีออกไปเมืองกุยฉางโดยเร็วเถิด! หากหุบเขาลูกนี้ถล่มตกลงมา แม้แต่พวกเราก็ไม่สามารถหนีได้ทัน!”

ณ ตำหนักตระกูลหวัง สีหน้าการแสดงออกของหวังซูพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก

ในระยะเวลาเกือบสามสิบปีที่ผ่านมานี้ หวังซูและหวังซวนเฟยอาศัยอยู่ในเมืองกุยฉางมาโดยตลอด ซึ่งนี่เปรียบเสมือนแรงคานอำนาจของหอมหาสมบัติมิให้ผงาดไปมากกว่านี้

ทว่าเพียงเหลือบเห็นหุบเขาถงเทียนลูกมหึมาที่ตั้งตระหง่านเหนือน่านฟ้า พวกเขาก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป

เผชิญกับความกดดันระดับนี้ แขนขาของทั้งสองสั่นเทาโดยมิตั้งใจ

 

หวังซวนเฟยสีหน้ามืดลง เขากล่าวตอบอย่างเคร่งขรึมว่า

“รีบไปกันเถอะ! ดูท่าเมืองกุยฉางคงไม่รอดแล้ว!”

หลังจากนั้นทั้งสองที่สนทนากันเสร็จสรรพ พวกเขาพลันเร่งฝีเท้าสับหนีออกนอกเมืองโดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลา

ซึ่งแท้ที่จริงแล้วนี่มิใช่แค่พวกเขา แต่เหล่านักสู้ของเมืองกุยฉางเองก็อพยพหนีออกจากเมืองจนเกือบหมด

ปัจจุบัน ทางเข้าเมืองกุยฉางถูกปิดผนึกโดยสมบูรณ์ ฝูงชนเบียดเสียดแน่นจนไม่มีแม้แต่น้ำสักหยดจะรินไหลผ่านไปได้ ต่างคนต่างต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด

แม้แต่องค์รักษ์ผู้พิทักษ์เมือง รวมไปถึงนายทวารเข้าประตูเมืองยังไม่รั้งรอ พวกเขาเองเข้าปะปนอยู่ในฝูงชนที่อพยพออกไปเช่นดัน

นี่หาใช่ความผิดของพวกเขาไม่ แต่เป็นเพราะแรงกดดันที่แผ่สะพัดเหนือน่านฟ้ากลับสะเทือนขวัญเกินไป!

 

พลังฟ้าดินที่แท้จริง มีหรือทั่มนุษย์จะหาญกล้าต้านทานได้?

ณ หอมหาสมบัติ ซูหลิงปู้และหยางรุยจับจ้องไปที่หุบเขาลูกมหึมานั้น ในทำนองเดียวกัน สีหน้าอารมณ์ในยามนี้ค่อนข้างรวนเรสองจิตสองใจ

 

“ท่านประมุขหอ พวกเราไม่หนีไปกับพวกเขารึ?”

ซูหลิงปู้กล่าว

 

หยางรุคลี่ยิ้มสุดระทมขมขื่นใจ ก่อนกล่าวว่า

“หนีไป? พวกเราสามารถหนีได้ด้วยรึ? ไม่ว่าวรยุทธเคลื่อนที่จะว่องไวเพียงใด เกรงว่าพวกเราก็หนีไม่ทันแล้ว!”

 

“เกิด…เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไฉนถึงต้องเป็นเมืองกุยฉาง?”

ซูหลิงปู้กล่าวขึ้นเจือน้ำเสียงแฝงปริศนามากมาย

 

“เฮ้ออ…นั้นสิ บนมหาพิภพถงเทียนมีเมืองมากมายนับไม่ถ้วน แต่ไฉนถึงต้องเป็นเมืองกุยฉาง? หรือเป็นไปได้ไหมว่า จู่ๆหุบเขาถงเทียนจะเคลื่อนที่มาหาเมืองกุยฉางเอง? แต่นี่เป็นไปได้อย่างไร?”

หยางรุยบ่นพึมพำ

 

 

…………………..

 

พริบตาเดียวเวลาบนโลกภายนอกพ้นผ่านไปสามสิบปี ในขณะที่เย่หยวนใช้เวลาอยู่ในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพไปแล้วถึงสามร้อยปี

อย่างไรก็ตามแต่ ในขณะที่มหาพิภพถงเทียนกำลังประสบภัยพิบัติสุดวิปลาส เย่หยวนก็ค่อยๆลืมตาขึ้นจากห้วงสมาธิ

คู่ดวงเนตรแผดประกายแสงเจิดจ้า ผู้ใดได้เห็นต่างต้องให้ความเกรงขามอยู่หลายส่วน

สถานะความแกร่งกล้าในปัจจุบันกล่าวได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของเย่หยวนแล้ว!

 

ตรงกันข้ามกับ ชายชราในชุดอาภรณ์สีเทาอย่างหวู่เฉิน เขาได้แต่จับจ้องเย่หยวนด้วยความประหลาดใจ

เห็นเย่หยวนลืมตาตื่นจากสมาธิ เขาเผยสีหน้าแปลกๆก่อนเอ่ยถามขึ้นด้วยความวิตกสุดขีดว่า

“เจ้าหนู เจ้ากำลังทำบ้าอันใด?”

 

เนื่องด้วยตอนนี้วรยุทธบ่มเพาะพลังของเย่หยวนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นจนปิดไม่อยู่ พร้อมเอ่ยตอบอย่างยิ้มแย้มขึ้นว่า

“มิใช่ว่าท่านอาวุโสเฝ้ามองข้าอยู่ตลอดรึ? ข้าก็กำลังหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังของข้าขึ้นมา!”

 

เพราะหวูเฉินเฝ้ามองเย่หยวนอยู่ตลอด เขาจึงตระหนักได้ทันทีว่า ภัยพิบัติสุดวิปลาสด้านนอกคือฝีมือของเย่หยวนแน่นอน!

เพียงแต่ เขากลับไม่สามารถเข้าใจได้เลยสักนิด เย่หยวนไปเย้ยฟ้าท้าดินอะไรเข้า ไฉนถึงกระตุ้นให้มหาพิภพถงเทียนปั่นปวนได้ขนาดนี้

 

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่า ตอนนี้เมืองกุยฉางกำลังตกสู่ความหายนะ! หุบเขาถงเทียนจู่ๆก็ปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้า!”

หวูเฉินกล่าวขึ้นด้วยความตกใจ

 

“หึ้ม? หุบเขาถงเทียน?”

เย่หยวนแลจับจ้องด้วยสายตาสุดว่างเปล่า ทันใดนั้นเขาะลนสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่สะท้อนกังวาลจากด้านนอก!

 

ในที่สุดหุบเขาถงเทียนก็ค่อยๆร่วงหล่นลงมาจากน่านฟ้าเหนือเมืองกุยฉางแล้ว!

ตึงงง….

 

แรงกดดันอันไร้ขอบเขตเริ่มเข้าบดขยี้พื้นพิภพอย่างช้าๆ ฟ้าดินเกิดปรากฏการณ์วิปลาสเปลี่ยนสี

ค่ายกลปกป้องเมืองกุยฉางในขณะนี้คล้ายกับแผ่นกระดาษบางรองใต้หุบเขาถงเทียน

 

“อ๊ากกก!!”

ทั่วบริเวณเมืองกุยฉาง เสียงกรีดร้องสุดเวทนาดังผสานรวมกลายเป็นหนึ่ง

 

เย่หยวนถอดสีหน้าในทันใด เสี้ยวพริบตาต่อมา เขาเร่งออกจากโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังห์พิภพโดยไว เมื่อเห็นสถานการณ์บนโลกภายนอก ท่าทางการแสดงออกดูวิตกถึงขีดสุด

“ท่านอาวุโส เกิดเรื่อนอะไรขึ้นกับที่นี่?”

เย่หยวนสีหน้าซีดเซียวหนักขณะเอ่ยถาม

 

“เจ้ายังกล้าถามข้า? ควรถามตัวเองดีกว่า! ภัยพิบัตินี้มิใช่เจ้าเรียกแล้วสวรรค์วิมารใดเรียกมา?!”

หวูเฉินตะโกนสวดใส่เย่หยวนไปหนึ่งบท

 

เย่หยวนตะลึงงันหนักเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ข้า? ไม่มีทาง?”

 

“ข้าก็เลยถามเจ้าไงว่า เจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่! ไฉนสรวงสวรรค์ถึงพิโรธขนาดนี้?!”

เสียงหวูเฉินแผดดังสนั่นร้องลั่น

เขามั่นใจเป็นที่สุด หุบเขาถงเทียนนี้ถูกเรียกมาโดยเย่หยวนแน่นอน!

 

เย่หยวนยิ้มขืนแลดูหดหู่หนัก

“ข้า…ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน! ข้าก็กำลังหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะตามปกติ และเพิ่งเสร็จสมบูรณ์เร็วๆนี้เท่านั้น!”

 

“หึ ข้าก็กล่าวจนปากเปียกปากแฉะ แต่เจ้ากลับไม่รู้จักฟัง! ตอนนี้เจ้าก็เห็นผลของการกระทำแล้วใช่ไหม? จะรับผิดชอบอย่างไรต่อ?”

หวูเฉินกล่าวขึ้นด้วยท่าทีที่ดูโกรธและผิดหวังอย่างมาก

 

คลืนนน!

ปรากฏว่า นี่คือหุบเขาถงเทียนของจริงขนานแท้ ขนาดของมันกว้างใหญ่ไพศาลจนบดบังดวงสุริยันจนมืดมิด ซึ่งรัศมีพื้นที่ที่ครอบคลุมกลับมิใช่แค่เมืองเล็กๆอย่างเมืองกุยฉางแห่งเดียว!

ทุกคนในรัศมีนี้กลับไม่มีที่ซ่อนแต่อย่างใด!

 

ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง กลิ่นอายสิ้นหวังคลุกระจายทั่วทุกหย่อมหญ้า ในที่สุดหุบเขาถงเทียนก็ถล่มลงมา ดิ่งพสุธากระแทกพื้นโดยตรง!

…..

……….

 

อย่างไรก็ตาม….ผลลัพธ์ที่ได้กลับมิใช่อย่างที่ทุกคนคิดไว้เลย ปรากฏว่าวันโลกาวินาศยังไม่มาถึง!

 

หุบเขาถง้ทียนลูกมหึมาจู่ๆก็หายวับลับสายตาไปทั้งๆแบบนั้น ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

 

“นี่…นี่เกิดบ้าอะไรขึ้นอีก? หุบเขานั้นหายไปไหนแล้ว?”

 

“ฮะ-ฮ่าฮ่า…รอดตายแล้ว! ข้ายังไม่ตาย! ข้ายังไม่ตายจริงๆ! ฮ่าฮ่าฮ่า…”

 

“บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป… สวรรค์…ทำให้ข้าขวัญเสียเกินไปแล้ว!”

 

 

…………………….

 

 

ในเวลานี้เอง เมืองกุยฉางเต็มไปด้วยเสียงอุทานยินดีปรีใจดังก้อง เพราะรอดชีวิตจากภัยพิบัติได้อย่างปาฏิหาริย์

เว้นเสียว่า เย่หยวนกลับขมวดคิ้วแน่น สีหน้าชวนสับสนงุนงงหนัก ก่อนเร่งปรี่เข้าไปในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลักงก์พิภพเพื่อตรวจสอบอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้นเขาพลันเห็นหุบเขาถงเทียนจำลองที่แปรเปลี่ยนไป จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาเชื่อมต่อกับมันจนหลอมรวมกับดวงใจ

ก่อนค้นพบว่า บริเวณตีนเขาด้านล่างสุดของหุบเขาถงเทียนจำลอง สีสรรบริเวณนั้นกลับดูเข้มขึ้นถนัดตา

 

“ท่านอาวุโส ดูเหมือนว่า…ข้าจะดูดซับเต๋าภายในหุบเขาถงเทียนจำลองได้เล็กน้อย!”

เย่หยวนเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่ยังคงความไม่มั่นใจอยู่หลายส่วน

 

หวูเฉินหน้าเสียหนัก พลันกล่าวด้วยความไม่เชื่อว่า

“เจ้าหนู เจ้ากำลังทำให้ข้ากลัว! จอมเทพนิรันดร์ครอบครองหุบเขาถงเทียนจำลองมาเป็นเวลาเนินนานนับหลายล้านปี กระทั่งเขายังไม่กล้าพูดเลยว่า ตนสามารถดูดซับเต๋าจากในนั้นได้!”

 

เย่หยวนแช่มหายใจด้วยความตะลึง แม้แต่เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน

แต่ทันใดนั้น หุบเขาถงเทียนจำลองพลันหดขนาดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะบินรอนลงมาบนฝ่ามือของเย่หยวน!

 

เมื่อเห็นภาพฉากนี้ ดวงตาของหวูเฉินแทบถลนหลุดออกมา!

 

เย่หยวนสามารถดูดซับมันได้แล้วจริงๆ!

 

“เจ้า…เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”

หวูเฉินกล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึงสุดขีด

 

เย่หยวนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปชั่วขณะเช่นกัน ยามได้สติจึงกล่าวต่อว่า

“ข้า…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน! ท่านอาวุโส…อย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น! ข้าไม่รู้จริงๆ! ข้าเพียงมุ่งความสมาธิทั้งหมดเพื่อหลอมสร้างวรบุทธบ่มเพาะพลังบทแรกเท่านั้น และนั้นคือทั้งหมด!”

 

หวูเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดเอ่ยปากถามมิได้ว่า

“เจ้า…เจ้าดันไปหลอมสร้างวรยุทธวิปลาสแบบใดขึ้นมา?”

 

เย่หยวนกล่าวตอบว่า

“แน่นอนว่าต้องเป็นวรยุทธบ่มเพาะพลัง! ข้าเองก็ยังไม่ได้คิดชื่อเลย อืม…ท่าจะหาชื่อที่เหมาะสมกับมันที่สุดล่ะก็… ในเมื่อมันมีต้นกำเนิดมาจากหุบเขาถงเทียนจำลอง ดังนั้นข้าควรจะเรียกมันว่า…บัญญัติเทพแห่งถงเทียน!”