บทที่ 270 – แจ็คพ็อต (1)
ต้องใช้เวลากว่าสองชั่วโมงชาล็อค อาเรียถึงจะหลบหนีจากซอกกูนีร์ได้สำเร็จ
“ฮ่าาาาาห์”
นี่คือเหตุผลที่เธอไม่อยากจะเจอเขาที่ท้องพระโรง นับตั้งแต่ที่พี่คนรองแคมเบล อาเรียตายไป เขาก็จะจู้จี้กับเธอในทุกๆครั้งที่เจอเธอ
หลังจากที่มีประสบการณ์มาหลายปี แค่ได้เห็นหน้าเขาก็ทำให้เธอซึม และมวนท้องขึ้นมาแล้ว บางครั้งชาล็อต อาเรียก็เก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ และระบายมันออกไป เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเกิดขึ้นความต้องการที่จะไล่ซอกกูนีร์ออกไปก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
แน่นอนว่าแค่คิดเพียงเท่านั้นมันก็จะหยุดลงเสมอ และเธอก็ไม่เคยจะไล่เขาออกไปจริงๆ
สำหรับฐานะราชินีแล้ว ชาล็อต อาเรียเป็นคนที่เด็กและไม่บรรลุนิติภาวะ แต่มันก็ยากที่จะนับเธอเป็นคน ‘แย่’ เธอไม่ได้ไล่หัวใจถึงขนาดไล่ข้ารับใช้อันซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์ที่ทำงานมานับสิบๆปีได้ได้
ในแง่ดีเธอไร้เดียวสา แต่ในแง่ร้ายเธอไม่เด็ดขาด และใจอ่อน
การจะเป็นคนใจร้ายจะต้องมีจิตใจที่แน่วแน่ แต่ในแง่นี้การไม่ได้เป็นผู้ปกครองที่เลวร้ายก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน
“ฟู่วว…”
ชาล็อต อาเรียได้ถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่งก่อนจะมองไปรอบตัว ท้องพระโรงอันยิ่งใหญ่นั้นเงียบ และเปล่าเปลี่ยว
“…”
พอมาคิดดูแล้วนอกเหนือจากจองซูกับซอกกูนีร์ก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว ไม่มีใครเข้าหาเธอ ไม่มีใครขออะไรกับเธอ พูดตามตรงก็มีอีกคนหนึ่ง แต่ว่าคนๆนั้นมักจะทำให้เธอหมดแรงอยู่เสมอ
ในท้ายที่สุดเธอก็จะต้องอยู่ในวังแบบนี้ไปในทุกๆวัน
พอเป็นแบบนี้ความรู้สึกว่างเปล่า และเหงาก็พวยพุ่งขึ้นมาอยู่ภายในตัวเธอ
เธอได้ส่งจองซูออกไปแล้วหลังจากที่ทำการปลอบเธอ และก็ไล่ซอกกูนีร์ออกไปหลังจากตะโกนใส่เขา เธออยากที่จะระบายความอึดอัดกับใครสักคน ใครสักคนที่จะช่วยทำให้เธอหลุดพ้นจากสภาพอันน่าเศร้านี้ และปลอบใจเธอ
หลังจากเดินไปรอบๆท้องพระโรงอย่างไร้จุดหมาย ชาล็อต อาเรียก็ได้รีบเดินไปที่ห้องนอนของเธอ
“ให้ตายสิ ฉันเก็บเอาไว้ที่ไหนกันนะ?”
หลังจากค้นทั้งห้องอยู่นาน ในที่สุดเธอก็เจอของที่เธอหาอยู่ คริสตัลสื่อสาร
เมื่อเห็นคริสตัลสื่อสารได้มีประกายความลังเลปรากฏขึ้น แต่ว่าไม่นานนักเธอก็ตั้งมั่น และนั่งลงที่ขอบเตียง
เธอได้วางมือลงบนลูกคริสตัลอย่างอ่อนโยน แม้ว่าเธอจะไม่ได้พยายามฝึกอะไรมาก่อน แต่ราชวงศ์ก็คือราชวงศ์ นอกไปจากนี้ชาล็อต อาเรียก็ยังเป็นบุตรเชื้อสายตรงของจักรพรรดิสายฟ้า และตระกูลอาเรียที่รู้จักกันดีในด้านความเชี่ยวชาญเวทมนต์
อย่างน้อยที่สุดเธอก็มีความสามารถในการใช้งานคริสตัลสื่อสารได้ แม้ว่ามันจะเป็นทักษะที่พื้นฐานที่สุดก็ตามที
เมื่อเธอมองดูคริสตัลที่เปล่งแสงริบหรี่ด้วยความกังวล จู่ๆมันก็ส่องแสงจ้าออกมา หลังจากเห็นภาพคนสะท้อนอยู่ในคริสตัล สีหน้าของชาล็อต อาเรียก็สดใสขึ้นทันที
“พะ พี่สาว…”
-โอ้? อะไรทำให้ราชินีขี้แยติดต่อมาหาฉันล่ะ?
เมื่อน้ำเสียงเนือยๆดังออกมา ชาล็อต อาเรียก็กลายเป็นซึมลงไปอย่างรวดเร็ว
“ฉันไม่ได้ขี้แยนะ…”
-ทำไมถึงติดต่อมาล่ะ?
“ฉันอยากจะขอคำแนะนำบางเรื่อง…”
-คำแนะนำ? หา ไม่ใช่ว่าคราวก่อนเธอพูดอย่างยิ่งใหญ่ว่าจะไม่ติดต่อมาหาฉันอีกหรอกหรอ? อะไรที่มันทำให้จู่ๆเธอเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ?
หญิงสาวได้ม้วนผมของเธอเล่น และพูดออกมาอย่างเฉยเมยนั่นก็คือเทเรซ่า ฮัสเซย์
อีวากับฮารามาร์ค ทั้งสองราชวงศ์ได้มีสัมพันธ์อันสนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่รุ่นแรงๆ และคงสัมพันธ์ฉันท์มิตรเอาไว้เสมอ
แม้ว่าในสถานการณ์ปัจจุบันพวกเขาก็ยังคงความสัมพันธ์เอาไว้ด้วยการแต่งงานของโซล อาเรียกับโอลิเวีย ฮัสเซย์ ส่วนทางชาล็อต อาเรียกับเทเรซ่าก็ยังพัฒนาความสัมพันธ์จนเป็นเหมือนกับพี่น้องกันตั้งแต่เล็กๆแล้ว
มันจนกระทั่งสงครามปะทุขึ้น
ในตอนแรกเทเรซ่าได้พยายามทำความเข้าใจในชาล็อต อาเรียอย่างเต็มกำลัง ในตอนปรสิตปรากฏตัวขึ้น น้องสาวต่างสายเลือดคนนี้เพิ่งมีอายุแค่สี่ขวบเท่านั้นเอง และจักรวรรดิที่เธอเชื่อมั่นก็ได้ล่มสลายลงในตอนเธออายุได้แปดวขวบ
เนื่องจากเธอได้สูญเสียครอบครัวไปตั้งแต่ยังเด็กขนาดนั้น และต้องบังคับให้ใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ มันก็เข้าใจได้เลยว่าเธอจะต้องประสบกับแผลใจรุนแรงขนาดไหน
แต่ทุกๆอย่างมันก็มีขีดจำกัดอยู่
หากว่าเอาแต่คร่ำครวญโศกเศร้าไปกับโชคชะตา ความเป็นจริงมันจะเปลี่ยนแปลงไปงั้นหรอ? ไม่เลย!
เทเรซ่ารู้ถึงเรื่องนี้ก่อนใคร ดังนั้นเธอจึงได้ใช้คำสัตย์ราชวงศ์เพื่อให้ได้รับในพลังแบบเดียวกับชาวโลก และกระโจนเข้าสู่สนามรบ
ย้อนกลับไปในตอนนั้นเธอยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักผ่อนด้วยซ้ำไป แค่การปะทะกับปรสิต รับมือกับชาวโลก และดูแลกิจการของราชวงศ์ก็เป็นงานที่ท่วมมือเธออยู่แล้ว
ด้วยตารางเวลาอันยุ่งเหยิงของเธอนี้ ยังมีชาล็อต อาเรียที่เอาแต่บ่นและร้องไห้อีกจนทำให้เธอเกิดความเครียดขึ้นมา แม้ว่าเวลาจะผ่านไป และเธอได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว เธอก็ยังเอาแต่พูดว่า “พี่สาว พี่สาว~” และคอยพึ่งตัวเธอเหมือนเป็นเด็กอยู่เสมอ นี่มันเป็นธรรมดาที่เทเรซ่าจะเริ่มหมดความอดทน และเหนื่อยหน่ายกับชาล็อต อาเรีย
ในท้ายที่สุดเทเรซ่าก็ระเบิดออกมา ทั้งสองคนได้ทะเลาะกันอย่างหนักก่อนที่จะตัดความสัมพันธ์กันไป
นับตั้งแต่นั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย จนกระทั่งชาล็อต อาเรียติดต่อมาอีกครั้งในวันนี้
-หากว่าเธอทำเหมือนกับฉันเป็นที่ระบายอารมณ์อีก ฉันก็ขอปฏินะ
“ที่ระบายอารมณ์?”
-ถ้าเธอไม่รู้ก็ยังมันเถอะนะ แต่ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญฉันจะวางสายนะ
“นี่พี่สาวยังโกรธเรื่องนั้น… อ่า พี่สาว!”
เมื่อเทเรซ่ากำลังจะวางสายไปจริงๆ ชาล็อต อาเรียก็ได้รีบตะโกนออกมา
“คราวนี้เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ!”
-ขอให้โชคดีนะ อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังจะพูดเรื่องที่ทำให้เธอลำบาก?
“ไม่ใช่แบบนั้น! อืม ใครกันนะ… ซอล… ใช่แล้วชาวโลกคนที่เป็นหัวหน้าของคาเพเดี่ยม!”
-หืมม?
ดวงตาของเทเรซ่าได้เบิกกว้างอย่างตกใจ
-โอ้ ซอลของฉันงั้นหรอ?
“ของฉัน?”
-ไม่ใช่ว่าเธอกำลังพูดถึงคุณซอลจีฮูงั้นหรอ? เขาไม่ใช่หัวหน้าของคาเพเดี่ยมนะ แต่เป็นตัวแทนของวัลฮาลาต่างหาก
“งะ งั้นหรอ?”
-น่าตกใจนะ ฉันไม่คิดเลยว่าชื่อของที่รักจะออกมาจากปากของเธอ
ชาล็อต อาเรียตกใจกับคำพูดว่า ‘ที่รัก’ อยู่เล็กน้อย แต่ว่าเมื่อเห็นว่าเทเรซ่ากำลังสนใจในสิ่งที่เธอพูดอยู่ เธอก็เลยรีบพูดออกมา
“ช่วงนี้ที่วังกำลังวุ่นวาย ชัดเจนว่าชาวโลกที่ชื่อซอลจีฮูคนนั้นข”
-งั้นหรอ? ถ้างั้นก็ไล่เขาออกมาเลย
เทเรซ่าได้ขัดเธอก่อนที่เธอจะได้พูดจบซะอีก
“หะ หือ?”
ชาล็อต อาเรียได้ผงะไป
-น่าตลกจังเลยนะ! ฉันคิดไม่ออกเลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ฉันทั้งได้ยินและได้เห็นทุกๆอย่าง เธอไม่พอใจอะไรตรงไหนกัน? เขาได้เก็บกวาดทำความสะอาดพวกปลิงที่คอยดูดผลประโยชน์ไปจากเมือง และช่วยเหลือผู้คนที่กำลังจะอดตาย เขาได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้เมืองเดินหน้าต่อไปได้ ถึงขนาดต้องใช้เงินของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
เทเรซ่าได้แค่นเสียงออกมา
-ต่อให้เธอจะคำนับให้เขาเป็นร้อยครั้งก็ยังไม่พอ แล้วนี่เธอยังจะมาบ่นเขาแค่เพราะความวุ่นวายเล็กๆเนี้ยนะ?
“ฟะ ฟังฉันก่อน…”
-อ่า ไม่ ฉันไม่อยากจะฟัง ไล่เขาออกมาก็พอแล้ว เธอเป็นราชินีเพราะงั้นเธอก็น่าจะมีอำนาจที่จะทำแบบนั้น พอเขาหายไปมันก็จะกลับไปเงียบอีกครั้งหนึ่ง ใช่แล้วล่ะ นี่คือวิธีแก้ของเธอ
“…”
-ฉันไม่เข้าใจเลย ไม่ใช่แค่ฮารามาร์คนะ ทั้งกราเซีย นัวร์ สกีเฮราซาร์ด โอดอร์ แล้วก็คาลิโก้ ราชวงส์ทั้งหกนี้ต่างก็อยากจะเชิญตัวเขาไปที่เมืองให้ได้ แต่ทำไมถึงเป็นอีวาล่ะ…? อ๊า นี่เธอไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าโชคดีขนาดไหน
เทเรซ่าได้พูดทั้งหมดนี้ออกมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของชาล็อต อาเรียได้ปรากฏเป็นความสับสนออกมา เธอรู้ว่าเทเรซ่าได้เปลี่ยนไปมากนับตั้งแต่ที่เธอได้เริ่มรู้จักกับชาวโลก แต่ว่าเธอก็ยังไม่ชินกับด้านนี้ของเทเรซ่าอยู่ดี
-โอ้ ถ้าทำได้ก็ไล่ให้เขามาที่ฮารามาร์คนะ เธอรู้ไหมว่าฉันต้องนอนซมร้องไห้อยู่กี่วันในตอนที่เขาจากไป? นี่มันยอดไปเลย ส่งเขากลับมา ถ้าเธอไล่เขากลับมาที่ฮารามาร์คได้นะ ฉันจะยอมฟังเธอบ่นเป็นสิบปีเลย นี่ฉันพูดจริงนะ
คำพูดได้หลุดออกมาจากปากของเทเรซ่าอย่างต่อเนื่อง และชาล็อค อาเรียก็คิดตามแทบจะไม่ทัน
“พี่สาว อย่าทำแบบนี้สิ ฟังฉันก่อน ผู้ดูแลราชวงศ์ของฉัน-“
-จริงด้วยสิ ไล่เขาออกมาด้วย
ไม่ว่าราชินีจะพูดอะไร เทเรซ่าก็ยังคงพูดแบบเดิม
-อาเบอร์ มูโต้งานท่วมหัวจนจะตายอยู่แล้ว สำหรับในตอนนี้ทุกๆคนที่มีศักยภาพต่างก็มีค่า ซอกกูนีร์จะช่วยได้มากเลยล่ะ ใช่แล้ว ไล่เขามาที่ฮารามาร์คด้วยสิ เมื่อไหร่ที่ไม่มีเขาคอยจู้จี้จุกจิก เธอก็น่าจะมีความสุขแล้วนี่นา แถมฉันก็จะมีความสุขด้วย เป็นยังไงล่ะ?
ชาล็อต อาเรียได้อ้าปากออกมาอย่างสับสน แน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้โง่ เธอเข้าใจว่าเทเรซ่าพูดแบบนี้เพราะจะประชดเธอ
“พี่สาว แล้วหัวหน้าอีวาเกลีน จองซูล่ะ?”
เมื่อเธอถามเผื่อเอาไว้…
-นี่เธอบ้าไปแล้วหรอ?
คำตอบในเชิงลบได้ถูกส่งกลับมาในทันที
-เธอเก็บยัยไว้เถอะ อย่าได้ปล่อยยัยสวะนั่นมาที่อื่นเชียวนะ
“สวะ?”
-นี่ไม่ตลกเลยนะ อย่าได้กล้าโยนถังขึ้ให้คนอื่นเชียวล่ะ
‘ถังขี้’ ชาล็อค อาเรียตกตะลึงกับคำดูถูกของเทเรซ่าเป็นอย่างมา
เธอได้หรี่ตาจ้องไปที่คริสตัล
“ทำไมพี่สาวถึงได้เอาคนไปเปรียบกับอุจาระแบบนี้ล่ะ?”
-ฉันพูดมากกว่านั้นก็ได้นะ ยัยนั่นมันได้ทำลายน้องสาวแสนน่ารักของฉันไป
ชาล็อต อาเรียดูจะโกรธจริงๆแล้ว แต่จู่ๆเธอก็รู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า ‘น้องสาวแสนน่ารัก’
“อะแฮ่ม นั่นก็เพราะพี่สาวยังไม่รู้จักเธอ เธอน่ะ…”
-จะยังไงก็เถอะ ฉันรู้ถึงสถานการณ์เป็นอย่างดี เธอไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว
เทเรซ่าได้พูดออกมาอย่างหนักแน่นก่อนที่จะกอดอก
-ในตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ไม่ใช่ว่าเราก็เคยคุยกันทำนองนี้มาก่อนหรอ?
เมื่อเทเรซ่าได้เปลี่ยนเป็นจริงจัง ชาล็อต อาเรียก็ค่อยๆพยักหน้าออกมา
-ฉันไม่รู้หรอกว่านะว่าหวังอะไรถึงติดต่อมาหาฉันอีก แต่ว่าคำตอบของฉันจะไม่ต่างไปจากคราวที่แล้ว
“ไม่ ฉันแค่…”
-ฉันเหนื่อยที่จะปลอบเธอแล้ว ยิ่งเธอไม่ยอมรับฟังคำแนะนำของฉัน มันก็ยิ่งทำให้ฉันไม่มีอะไรจะพูดอีก
เมื่อเทเรซ่าพูดอย่างเย็นชา ชาล็อต อาเรียก็เม้มปากออกมา
“พี่สาวโหดร้ายไปแล้ว!”
เทเรซ่าได้กดขมับ และส่ายหัวออกมา แต่ว่านี่มีแต่ทำให้ชาล็อต อาเรียโกรธยิ่งขึ้น
“พี่สาวก็เหมือนกับผู้ดูแลราชวงศ์เลย! พี่ไม่เคยลองทำความเข้าใจความรู้สึกของฉัน! ไม่ค่อยยอมฟังฉันอยู่เรื่อย-“
-นั่นก็เพราะคำขอของเธอมันไร้สาระ
“มันไม่ได้ไร้สาระ!”
-หยุดพูดทุกๆอย่างออกมา และใช้ความคิดให้มากขึ้น อาชญากรมักจะบอกว่าพวกเขาได้รับความไม่เป็นธรรม จะมีอาชญากรคนไหนที่พูดว่า ‘ใช่แล้ว! ฉันเป็นคนทำ!’? แต่เธอกลับเชื่ออาชญากร แล้วเอาแต่พูดว่า ‘มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ!’ มันไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอกำลังจะทำให้ผู้ดูแลราชวงศ์คลั่ง
“อย่ามาล้อเลียนฉันนะ! ฉันไม่เคยพูดอะไรแบบนั้น!”
-ฟู่วว
เทเรซ่ารู้สึกว่ายิ่งพูดกับชาล็อต อาเรียก็ยิ่งเสียเวลาเปล่า แต่ว่าเธอก็ยังพูดสิ่งที่คิดออกมาอย่างใจกว้าง
-เธออยากจะให้ฉันลองเดาดูไหมล่ะ? เธออยากที่จะเก็บถังขี้นั่นไว้กับเธอถูกไหม?
“อย่าเรียกเธอแบบนั้นนะ! เธอมีชื่อ!”
ชาล็อต อาเรียได้ตะโกนออกมาด้วยอารมณ์โกรธ แต่เทเรซ่าก็ยังพูดต่อ
-เธอไม่สนหรอกว่าถังขี้นั่นจะถูกหรือผิด เธอจะปิดหูปิดตา และปิดปากแค่เพราะเธอไม่อยากจะเชื่อ
ชาล็อต อาเรียที่กำลังจะแผดเสียงร้องได้ผงะไปเล็กน้อย
-‘แต่ราชินี~ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย~’ เธอถูกคำพูดไร้สาระพวกนี้ทำให้สั่นคลอนทั้งๆที่มีหลักฐานอยู่ทุกอย่างแล้ว
“ฮึ่ม… แล้วนี่พี่สาวจะบอกว่าทั้งหมดเป็นความผิดของฉันหรอ? ฉันเป็นราชินีนะ แต่ว่าฉันควรที่จะเอาแต่ทำตามที่ซอกกูนีร์พูดงั้นหรอ?”
-โอ้ ขอล่ะ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าราชินีเป็นยังไง
เทเรซ่าได้ก้มหน้าลง เธอได้ถอนหายใจยาวจนชาล็อต อาเรียได้ยินอย่างชัดเจน จากนั้นเธอก็ยิ้มเยาะออกมา
-ฉันจะพูดแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันนะ? จะยังไงเธอก็เอาแต่เลือกสิ่งที่อยากจะได้ยิน และเห็นอยู่แล้ว
“อีกแล้วนะ!”
-ฉันมั่นใจเลยว่ากษัตริย์องค์กรคงกำลังเศร้าหมองอยู่แน่ พี่ชายทั้งสองคนของเธอก็คงเป็นเหมือนกัน เธอควรจะละอายใจบ้างนะ
ในตอนนี้เองสีหน้าของชาล็อต อาเรียก็ได้เปลี่ยนแปลงไป เธอเกลียดการเปรียบเทียบกับครอบครัวของเธอที่สุด
“กึก!”
เธออยากจะเถียง แต่เธอก็พูดไม่ออก ใบหน้าของเธอได้แดงขึ้นพร้อมๆกับที่ดวงตาของเทเรซ่ามีประกายขึ้น
-ทำไมล่ะ? ฉันพูดผิดงั้นหรอ?
“พี่สาวพูดผิด!”
-ถ้างั้นก็แสดงให้ฉันเห็นสิ
ชาล็อต อาเรียได้ขมวดคิ้วขึ้น
-ใช่แล้ว ซอกกูนีร์ไม่ได้ถูกอยู่ตลอด เขาอาจจะเข้าใจผิดอย่างที่เธอพูดจริงๆก็ได้
“ใช่แล้ว! นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันอยากจะบอก”
-หากว่าเธออยากจะโน้มน้าวฉัน หรือใครก็ตาม อย่างน้อยก็ต้องมีหลักฐาน
“?”
-ไปตัดสินด้วยตาตัวเอง ‘ฉันได้เห็น และได้ยินด้วยตาตัวเองแล้ว นี่คือสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะงั้นฉันคิดว่าการทำแบบนี้มันจะดีกว่า’ หากว่าเธอมีเหตุผลแบบนี้ เธอคิดหรอว่าซอกกูนีร์จะยังคงเอาแต่พูดิ่งเดิมๆ? เธอไม่คิดงั้นหรอ?
“…แล้วถ้าเขายังพูดเรื่องเดิมอยู่ล่ะ?”
ชาล็อต อาเรียได้ค่อยๆถามออกมา เทเรซ่าได้ขมวดคิ้วอย่างหนัก
-แค่ลองทำดูก่อน
พรึบ! แสงบนคริสตัลได้ดับลงไป เทเรซ่าได้ตัดสายไปแล้ว
“พี่สาว? พี่สาว!”
ชาล็อต อาเรียได้รีบหยิบคริสตัลสื่อสารขึ้นมา เธอได้ใส่มานาเข้าไปอีกครั้ง แต่ว่าก็ไม่มีการตอบรับกลับมา
มันชัดเจนว่าเทเรซ่าตั้งใจที่จะไม่รับสาย
“ฟู่วววว!”
ชาล็อต อาเรียที่ไม่อาจจะระบายอะไรออกไปได้อีกก็ได้แต่กลิ้งไปมาอยู่แต่บนเตียงของเธอ เธอได้ระบายความโกรธอยู่กับตัวเอง และพยายามจะทำตัวใจเย็น แต่ว่าคำพูดของเทเรซ่าก็ยังคงกวนใจเธออยู่ดี
ต่อให้เป็นเรื่องโกหกมันก็จะดูเหมือนเรื่องจริงได้หากมีคนพูดเหมือนกันมากพอ
ไม่ใช่แค่ซอกกูนีร์ที่อยู่กับเธอมานาเท่านั้น แม้กระทั่งเทเรซ่าที่เป็นเหมือนกับพี่สาวของเธอก็ยังพูดแบบเดียวกัน ในตอนนี้ชาล็อต อาเรียกำลังรู้สึกซับซ้อนอยู่
ในอีกด้านหนึ่งความสงสัยได้เริ่มเบ่งบานขึ้นจากในตัวของเธอ
‘ที่รัก?’
แม้ว่านี่จะเป็นการพูดนอกเรื่อง แต่เทเรซ่าเป็นคนที่ช่างเลือกคู่ครองของตัวเองเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งพี่ชายของเธอทั้งสองคนที่ชาล็อต อาเรียชื่นชนก็ยังถูกเทเรซ่าประเมินแค่ว่า ‘งั้นๆ’
ถึงมันจะเป็นแค่ความทรงจำจากในวัยเด็ก แต่เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อไหร่ที่พวกเธอสองคนอยู่ด้วยกัน เทเรซ่าก็มักจะบอกเธอเสมอว่าจะเลือกคู่ครองด้วยตัวเอง และเลือกที่จะหนีจากราชวงศ์มากกว่าการต้องยอมแต่งงานทางการเมือง
มีความสามารถ ชื่อเสียง วีรบุรุษ จิตใจดี รูปหล่อ และมีความคิด หากว่าขาดไปสักอย่าง เทเรซ่าก็จะบอกว่าเธอจะไม่มีวันแต่งงานต่อให้ถูกเอามีดจ่อคอก็ตาม
นอกไปจากนี้คนๆนั้นยังเป็นชาวโลกที่เป็นที่ต้องการของอีกหกราชวงศ์อีกด้วย
‘ฉันคิดว่าฉันเคยได้ยินข่าวลือมาก่อน…’
ไม่ว่าจะยังไงจากสิ่งที่เทเรซ่าได้พูดเกี่ยวกับซอลจีฮูให้ฟังก็ได้ทำให้ชาล็อตอาเรียไม่อาจจะเก็บความสงสัยเอาไว้ได้
[แค่ลองดูก่อน]
“…ฮึ่ม”
เมื่อนึกถึงเทเรซ่า ความรู้สึกต่อต้านที่เธอจัดการหยุดเอาไว้ก็พุ่งขึ้นอีกครั้งจนทำให้ชาล็อต อาเรียหน้ามุ๋ยขึ้นมา
‘พี่สาวคิดว่าฉันทำไม่ได้งั้นหรอ!? ก็ได้ ฉันจะไปตัดสินด้วยตาตัวเอง!’
ชาล็อต อาเรียได้บังคับร่างกายตัวเองให้ลุกขึ้นด้วยจากทั้งความรู้สึกต่อต้าน และความสงสัย จากนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นได้ และครุ่นคิดกับตัวเอง
‘เดี๋ยวก่อนนะ หากฉันบอกซอกกูนีร์ก่อนจะไป เขาก็อาจจะแสดงแค่ด้านดีออกมาให้เห็น…’
ธาตุแท้ของคนเราจะแสดงออกมาในตอนที่พวกเขาเปลือยเปล่าเท่านั้น ทันใดนั้นเธอก็คิดขึ้นได้ว่า ‘ฉันควรจะแอบออกไป?’
ไม่นานนักความลังเลของชาล็อต อาเรียก็หายไป และมุมปากของเธอก็ยกขึ้น
ในตอนนี้เธอต้องลงมือทำอะไรบางอย่างแล้ว
ด้วยเหตุผลบางอย่างก็ได้ทำให้เธอเริ่มสนุกขึ้นมา
***
เฮ้อ ซอลจีฮูได้ถอนหายใจยาวออกมาหลัจากพลิกกระดาษเอกสารหน้าสุดท้าย
รายงานที่ยุนซอฮุยทิ้งเอาไว้เป็นของขวัญ มันมีความหนามากพอๆกับข้อมูลมหาศาลที่ถูกเขียนไว้ภายใน
เริ่มต้นจากชีวิตของชาล็อต อาเรียไปจนขึ้นการเข้ามาของจองซู ทุกอย่างถูกบันทึกเอาไว้อย่างละเอียด
ซอลจีฮูได้แต่รู้สึกตกใจว่าซินยองไปหาข้อมูลจากเมื่อสิบปีก่อนได้ยังไงกัน
ไม่ว่าจะยังไงภายในรายงานก็มีข้อมูลถูกเขียนเอาไว้จำนวนมาก
‘แต่ว่าหากให้ต้องพูดถึงชาล็อต อาเรียออกมาด้วยหนึ่งประโยค…’
รายงานได้เขียนเอาไว้แบบนี้
-ราชินีอีวาเป็นโครตตัวตลก
และหากให้เขาเสริมเข้าไปอีกประโยค
-เป็นความลึกลับแบบไหนกันถึงได้ทำให้มีเด็กปัญญาอ่อนแบบนี้เกิดมา ทั้งๆที่บุตรคนแรกกับคนที่สองต่างก็โดดเด่น
ซอลจีฮูไม่ได้พูดเกินจริงเลย นี่มันเป็นสิ่งที่รายงานเขียนครอบคลุมเอาไว้อย่างชัดเจน
เขาสามารถจะบอกได้เลยว่าคนที่เขียนรายงานนี้รู้สึกตกตะลึงมากจนถึงขนาดเผลอแสดงความเห็นส่วนตัวลงไปเล็กน้อย
‘หากว่าผู้ปกครองแห่งอีวาไม่ใช่ชาล็อต อาเรีย แต่เป็นคนแบบกษัตริย์คนก่อน…’
ตามรายงานนี้พ่อของชาล็อต อาเรียเป็นนักเวทย์ทรงพลังที่มีฉายาว่า ‘จักรพรรดิสายฟ้า’
ซอลจีฮูอดที่จะคิดไม่ได้ว่ามันจะดีขนาดไหนกันหากว่ากษัตริย์คนก่อนยังคงมีชีวิตอยู่เหมือนกษัตริย์ฟีไฮ
‘ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจถึงชะตากรรมอันน่าสงสารของเธอที่ต้องมาเจอเข้ากับสงครามตั้งแต่ยังเด็ก..’
แต่ว่าการอยู่ในจุดเดิมมากว่าสิบปีมันก็เกินไปอยู่ดี
มันง่ายมาก มีคนอย่างเทเรซ่า ฮัสเซย์ที่เลือกเผชิญหน้ากับความจริงและชักดาบออกมา แต่ว่าก็มีคนแบบชาล็อต อาเรียที่เลือกหลบหนีความจริง
ในท้ายที่สุดแล้วสมาชิกราชวงศ์ก็คือมนุษย์
มันไม่ใช่แค่ชาล็อต อาเรียเท่านั้น
‘คิมฮันนาห์พูดถูก’
หลังจากที่ได้อ่านเรื่องของจองซูแล้ว ซอลจีฮูก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น เธอไม่ได้มีทักษะการต่อสู้หรือบริหารเหมือนอย่างคิมฮันนาห์เลย
การแสดง
เธอได้ใช้แค่การแสดงไต่เต้าขึ้นมาจนอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน แน่นอนว่าชาล็อต อเรียมีส่วนสำคัญในการทำให้คนอ่อนแอมาถึงจุดนี้ได้ แต่ว่าการจะคว้าโอกาสนั้นได้ต้องด้วยทักษะของตัวเอง
ขณะนั้นเองที่ซอลจีฮูกำลังคิดอยู่กับตัวเอง คริสตัลสื่อสารก็ส่องแสงขึ้นมา
ผู้ที่ติดต่อเข้ามาก็คือเทเรซ่า ฮัสเซย์
“เจ้าหญิง?”
-ฟุฟุ สบายดีไหม?
‘เธอติดต่อมาเรื่องอะไรงั้นหรอ?’
ซอลจีฮูได้พยายามเก็บความกังวลเอาไว้ในใจ และถามออกมา จากนั้นเมื่อเขาได้ยินคำอธิบายของเทเรซ่า เขาก็ต้องเบิกตากว้าง
“ว่ายังไงนะ?”
-ฉันคิดว่ามีโอกาสประมาณ 70 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ อย่างเร็วสุดก็วันนี้ อย่างช้าสุดก็พรุ่งนี้
เทเรซ่าได้หยักไหล่ออกมา
-เธอเป็นคนแบบนี้แหละ เธอน่ะมีปมด้อยอยู่นิดหน่อย ก็นะ ฉันเอาเรื่องครอบครัวเธอมาพูด แล้วก็พูดเรื่องโหดร้ายออกไป แต่ก็ต้องทำแบบนี้เท่านั้นเธอถึงจะยอมทำอะไรซะบ้าง
“…”
-พูดตามตรง นี่กำลังทำให้นายอารมณ์เสียใช่ไหมล่ะ?
เทเรซ่าได้ปิดปากหัวเราะออกมา
-ฉันเข้าใจ เธอเป็นคนที่ไม่รู้จักแยกแยะความแตกต่างระหว่างอุจาระกับปัสสาวะด้วยซ้ำไป
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา หากจะบอกว่าเขาไม่เคยอารมณ์เสียเลยก็คงจะไม่จริง
จากมุมมองของราชวงศ์อีวาแล้ว ซอลจีฮูเป็นชาวโลกที่ได้สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำเพื่อหวังรางวัล แต่ว่าเขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อได้ยินว่าราชินีเข้าข้างจองซู
-แต่ว่าปกติแล้วเธอก็ไม่ใช่เด็กไม่ดีหรอกนะ นี่มันเป็นจุดอ่อนของเธอ เมื่อไหร่ที่เธอเชื่อใจใคร เธอก็จะกลายเป็นผู้ให้ เธอจะกลายเป็นมิตรที่ไร้เงื่อนไขใดๆตามแต่ที่นายปฏิบัติต่อเธอ
ไม่ดีเลิศ ไม่ทุ่มเท แต่เป็นพันธมิตรที่ไร้ซึ่งเงื่อนไข
ซอลจีฮูได้ตัดสินใจเก็บคำแนะนำนี้เอาไว้ในใจ
-ไม่ว่าจะยังไงก็ลองคว้าโอกาสนี้เอาไว้นะ ด้วยเสน่ห์ของนาย ฉันมั่นใจว่านายจะต้องจับเธอเอาไว้ได้แน่
ซอลจีฮูได้มองเทเรซ่าด้วยสีหน้าแปลกๆ ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะโทรมาบ่นเขาเรื่องที่เขาไม่ค่อยติดต่อไปซะอีก
-อ่า หากฉันไม่ควรเข้าไปยุ่งก็ขอโทษด้วยนะ มันก็แค่รู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นว่าทั้งๆแค่อีกไม่กี่ก้าวก็จะสำเร็จแล้ว แต่มันกลับชะงักไป…
แต่ว่ากลับไม่ใช่แบบนั้น กลับกันเลยเธอได้ช่วยเขาเป็นอย่างมาก
“ไม่เลยสักนิด ฉันก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน ขอบคุณที่ช่วยนะเจ้าหญิง”
การสนับสนุนของเธอดีเทียบเท่ากับซอยูฮุยกับโฟลนเลย
‘เดี๋ยวก่อนนะ ยุนซอฮุยก็ด้วยสินะ?’
รายงานบนโต๊ะได้ดึงดูดสายตาเขาไป แต่จากนั้นเขาก็ส่ายหัวสลัดความคิดนี้ออกไป
หลังจากแสดงความขอบคุณกับเทเรซ่าแล้ว เขาก็ได้ลุกขึ้นยืน ในเมื่อเรื่องนี้มาถึงจุดเปลี่ยน เขาก็จะต้องคุยแผนกันกับคิมฮันนาห์
***
มีคนนับร้อยมารวมตัวกันอยู่ตรงหน้าสำนักงานคาเพเดี่ยมเหมือนอย่างเคย นี่เป็นการแจกจายอาหารอย่างอิสระเสรี
เนื่องจากว่าพันธมิตรอีวาล่มสลายไปแล้ว มันก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินแผนนี้ต่อไปก็ได้ แต่ว่าการหยุดในทันทีมันจะชัดเจนเกินไปทำให้คิมฮันนาห์ได้แนะนำให้พวกเขาทำการแจกอาหารต่อไปอีกประมาณสองสัปดาห์ และซอลจีฮูก็ตอบตกลงในทันที
มีคำกล่าวไว้ว่าหากนานเกินไปจะทำให้ผู้คนสับสนระหว่างความปรารถนาดีกับสิทธิพิเศษ แต่ว่าผู้คนในอีวาไม่ใช่แบบนั้น จริงๆแล้วความซาบซึ้งของพวกเขามีแต่จะเพิ่มขึ้นไปในทุกๆวัน
นี่มันก็เพราะว่าวัลฮาลาได้ยึดหนี้ของพันธมิตรอีวามาเป็นของตัวเองภายใต้หน้ากากของการชดเชยความเสียหาย และสร้างสัญญาใหม่ให้กับผู้คนด้วยเงื่อนไขที่สมเหตุสมผล
คิมฮันนาห์ได้จัดการเรื่องนี้เพื่อไม่ให้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมาอีก ด้วยเหตุนี้ทำให้ประชาชนของอีวาเริ่มคิดกับวัลฮาลาว่าไม่ใช่แค่พวกเขาเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์เท่านั้น แต่ยังเป็นองค์กรตัวแทนของทั้งพาราไดซ์อีกด้วย
ในวันนี้คิมฮันนาห์ก็ได้เฝ้าดูแลการแจกจ่ายอาหารเหมือนอย่างเคย
ซอลจีฮูที่เห็นเธอจากไกลๆได้เดินเข้าไปหา
“คิมฮันนาห์!”
“หืมมม? ทำไมนายมาที่นี่ล่ะ?”
“ฉันมีเรื่องด่วนที่ต้องคุยกับเธอ”
คิมฮันนาห์ได้หันกลับมามองด้วยสีหน้าสับสน จากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“อะไรล่ะ?”
“คือว่านะ…”
“ไม่หรอก ฉันเข้าใจ งั้นเธอกำลังจะเชิญตัวเราหรือไม่ก็มาเยี่ยมเราอย่างเป็นทางการใช่ไหม? หรือว่า-“
หลังจากหันหน้าไปมา…
“…”
คิมฮันนาห์ก็ต้องเงียบลงไปโดยไม่อาจจะพูดจบประโยคได้ เมื่อเธอได้จ้องไปที่จุดๆหนึ่ง ดวงตาเธอก็เบิกกว้างขึ้น
มันอดไม่ได้จริงๆ แม้ว่าจะมีมวลชนนับร้อยคนมารวมตัวกัน แต่ก็มีคนๆหนึ่งที่รูปลักษณ์และเสื้อผ้าโดดเด่นอยู่ท่ามกลางชาวบ้านธรรมดา
แน่นอนว่าเธอคงคิดว่าเธอซ่อนตัวและปลอมตัวได้อย่างแนบเนียนแล้ว แต่การปลอมตัวจอมปลอมแบบนี้ไม่อาจจะหลอกสายตาของคิมฮันนาห์ได้เลย
หากว่าคิมฮันนาห์ไม่เจอตัวเธอก็คงจะเป็นคนละเรื่อง แต่ว่าเมื่อเธอเจอตัวแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะต้องให้ความสนใจ
เมื่อพูดถึงเธอ ราชินีอีวาก็ได้มาแล้ว และตัดสินจากการที่เธอมาเพียงลำพังมันดูเหมือนกับว่าเธอจะแอบมา
คิมฮันนาห์ได้มองอยู่อย่างสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเธอนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่ซอลจีฮูบอกกับเธอ…
“…เฮ้”
คิมฮันนาห์ได้ลดสายตาลงต่ำในทันที สมองของเธอกำลังทำงานอย่างต่อเนื่องพร้อมกับพูดออกมาเบาๆ
“ตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันจะพูดให้ดี”
ดวงตาของคิมฮันนาห์ได้เป็นประกายขึ้นเหมือนกับจิ้งจอกที่จ้องเหยื่อ