บทที่ 130 ความร้อนรุ่มและความเยือกเย็น

บุหลันเคียงรัก

เมืองฉยงซางอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้า อันเป็นที่อยู่ของตระกูลชิงหยาง แทบจะไม่มีแขกจากภายนอกเลย

 

 

ตอนนั้นที่ฉีหนานมาขอร้องให้ตระกูลชิงหยางช่วยเหลือ เขาวนอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้านี้หลายรอบแต่ก็ยังหาร่องรอยของเมืองฉยงซางไม่พบ คิดไม่ถึงว่าถึงตอนนี้ เซ่าอี๋กลับพาตระกูลจู๋อินทั้งครอบครัวไป

 

 

เสวียนอี่ยิ้มเย็น “ตระกูลชิงหยางปิดบังหลบซ่อนลึกล้ำ เหล่าเทพเรียกให้ไปฆ่ามารยังไม่สามารถเรียกมหาเทพของพวกท่านไปได้เลย คงไม่ใช่ว่าซ่อนอยู่แต่เมืองฉยงซางเพื่อคิดแต่ว่าจะจัดการกับตระกูลจู๋อินอย่างไรอยู่หรอกนะ”

 

 

เซ่าอี๋ริมน้ำชาให้นางจนเต็มถ้วย และส่งให้ด้วยท่วงท่างามสง่า จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิลงข้างล่างเตียง “ทุกวันนี้สายเลือดของตระกูลชิงหยางยังมีน้อยกว่าตระกูลจู๋อินของเจ้าเสียอีก ท่านพ่อมีข้าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว เขามีร่างกายอ่อนแอมาตลอด ยากนักที่จะออกไปจากเมืองฉยงซางได้ จักรพรรดิสวรรค์เองก็รู้เรื่องนี้ ดังนั้นการเรียกคำสั่งครั้งนี้จึงยอมละเว้นเขาเป็นพิเศษ”

 

 

ตระกูลชิงหยางไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีขนหัวใจหงส์คืนชีวิตหรือ ร่างกายยังอ่อนแออีกหรือ

 

 

เดิมเสวียนอี่คิดจะเอาน้ำชาสาดหน้าเขา แต่ทั้งปากนางเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ไม่สบายเอามากๆ สุดท้ายจึงก้มลงดื่มชาไป ทันใดนั้นนางก็ขมวดคิ้วอย่างรังเกียจทันที นี่มันชาบ้าอะไรกัน!

 

 

เซ่าอี๋หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “ปลาดุกอุยน้อย อยู่โลกเบื้องล่างเจ้าอย่าหวังสูงอย่างนั้นเลย อยากเสพสุข ไว้ไปที่เมืองฉยงซางแล้วเจ้าค่อยๆ ลิ้มรสความสุขที่นั่น”

 

 

“ข้าไปเมืองฉยงซางแล้วยังจะออกมาได้อีกไหม” นางถามเสียงเย็น

 

 

เซ่าอี๋ครุ่นคิดอย่างจริงจังไปครู่หนึ่ง “เกรงว่าคงยาก ทำไมหรือ ยังมีความปรารถนาอะไรที่ยังติดค้างในใจหรือ”

 

 

ความปรารถนาที่ติดอยู่ในใจหรือ เรื่องนั้นน่ะนางมีมากจริงๆ มากจนตัวนางเองยังกลัวเลย

 

 

นางอยากจะให้ชิงเยี่ยนและท่านพ่อกลับไปเขาจงซาน ถ้าเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยฉีหนานจะได้ไม่ต้องกังวล นางได้ยินเสียงร้องไห้ทั้งหลายมามากพอแล้ว เขาอย่าได้มาเพิ่มน้ำตาให้อีกเลย นางยังอยากให้ชิงเยี่ยนอย่าตำหนิตัวเอง ถึงเขาจะไม่เคยพูดอะไรเลย แต่นางก็รู้ว่า เขาตำหนิตัวเองเสมอมาเพราะเรื่องขนหัวใจหงส์ แม้ว่ามันจะรักษาชีวิตนางไว้ได้ แต่ว่าชีวิตนี้กลับตกอยู่ในกำมือของตระกูลชิงหยาง เขาทุ่มเทบำเพ็ญตบะมาตลอด ไม่สนใจเรื่องอื่นใดนอกจากนี้เลย เห็นเทพอายุน้อยองค์อื่นแต่ละคนใช้ชีวิตกันอย่างอิสรเสรี จริงๆ แล้วตระกูลจู๋อินไม่ควรจะแพ้พวกเขาถึงจะถูก

 

 

นางยังอยากรู้ว่าหลังจากนั้นกู่ถิงกับเหยียนสยาจะเป็นอย่างไรกันแล้ว ยังมีจื่อซีอีกคนที่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนด้วย นางคิดถึงนางแล้ว

 

 

ใช่แล้ว ยังมีศิษย์พี่ฝูชางอีก

 

 

เซ่าอี๋เท้าคางมองจ้องนางอย่างสบายอารมณ์อยู่นาน ท่าทางของนางเริ่มจากความสงบราบเรียบ แล้วลูกตาก็เริ่มกลอกกลิ้งไปมา พร้อมแสดงความอบอุ่นนุ่มนวลที่แฝงไปด้วยความเสียใจออกมา เขาอดยื่นมือออกไปลูบเรือนผมยาวที่แผ่สยายลงมาของนางช้าๆ ไม่ได้ แล้วกล่าวน้ำเสียงอบอุ่น “ความลุ่มหลงรักใคร่เป็นสิ่งที่ทำร้ายผู้อื่นและตนเองเสมอมา ข้าเคยบอกเจ้าไว้นานแล้ว เจ้านี่นะ ไม่รู้จักฟังเลยจริงๆ”

 

 

เสวียนอี่เบี่ยงหลบมือของเขา แล้ววางถ้วยชาลง พลางกล่าวเสียงเรียบว่า “ไปที่เมืองฉยงซางตอนนี้เลย”

 

 

เซ่าอี๋เอาถ้วยชาที่นางจิบไปแล้วมาเล่นในมือ “ถ้าอย่างนั้นรอให้ข้าไปลาก่อน ไม่อย่างนั้นเมืองฉยงซางที่กว้างใหญ่ไพศาล เกรงว่าคงทำให้องค์หญิงสูงศักดิ์อย่างเจ้าอึดอัดแย่แน่”

 

 

เสวียนอี่ขมวดคิ้ว “เมื่อกี้ท่านพูดว่า ชิงเยี่ยนกับท่านพ่อข้าอยู่ที่เมืองฉยงซาง”

 

 

“ใช่แล้ว” เซ่าอี๋ใช้ปลายนิ้วลูบรอยที่ประทับที่ขอบถ้วยชาไป แล้วยิ้มให้นางน้อยๆ “ตระกูลจู๋อินเอาเรื่องขึ้นมาเรียกว่าพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ข้าก็ต้องคิดหาวิธีที่จะไม่ให้เขาทำลายเมืองฉยงซางจนพังสิ เจ้าไม่ไปดูยังดีหน่อย แต่ว่าหากเจ้ายืนกรานอย่างนั้น ข้าก็จะให้ตามที่เจ้าต้องการ”

 

 

เสวียนอี่พลันหลับตาลงทันที แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง ถึงได้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติได้ “…ตระกูลชิงหยางใช้วิธีการอะไรถึงจับพวกเขาไปได้”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวช้าๆ ว่า “จริงๆ แล้วง่ายมาก เพียงแค่เอาเรื่องขนหัวใจหงส์และชื่อของเจ้าเขียนลงไปบนกระดาษแผ่นหนึ่ง เมื่อได้เวลาเหมาะสมก็โยนออกไป จากความฉลาดเฉลียวของตระกูลจู๋อิน จะต้องเข้าใจได้ในทันทีแน่ องค์ชายน้อยนั้นไปด้วยตนเอง ส่วนมหาเทพจงซานกลับต้องเสียแรงมากหน่อย ยังดีที่พลังความมืดจู๋อินของเขาถูกทะเลหลีเฮิ่นดูดกลืนไปกว่าครึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาเองก็ไม่ถือว่ามีพรสวรรค์อะไร เวลาจัดการรับมือกับเขาจึงง่ายกว่าที่คิดเอาไว้มาก”

 

 

ทะเลหลีเฮิ่นยังดูดกลืนพลังมืดจู๋อินได้ด้วย มิน่าถึงได้รีบร้อนออกคำสั่งให้เหล่าเทพทั้งหลายลงไปฆ่ามาร เพราะพลังมืดจู๋อินของท่านพ่อถูกกลืนไปทำให้ทะเลหลีเฮิ่นขยายขนาดขึ้นอย่างนั้นหรือ แล้วตัวเขาที่เป็นคนรุ่นหลังคนหนึ่ง กลับใช้น้ำเสียงราวกับผู้ที่เหนือกว่ามาวิจารณ์มหาเทพองค์หนึ่งอย่างนี้หรือ

 

 

เสวียนอี่นับวันยิ่งไม่เข้าใจตระกูลชิงหยางมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่าต้องการอะไรกันแน่ “ท่านอยากจะเป็นราชาเผ่ามารจริงๆ หรือ ต่อให้ขังตระกูลจู๋อินไว้ได้ แต่แดนเทพก็ยังมีนักรบอีกมากมายนับไม่ถ้วน ท่านจะไม่หวังเกินไปหน่อยหรือ”

 

 

เซ่าอี๋ขำพรืดออกมา “ความเป็นไปได้ที่เจ้าจะเป็นราชาเผ่ามารยังมากกว่าข้าเสียอีก ส่วนที่ว่าจะให้เจ้าทำอะไรนั้น ไปถึงเมืองฉยงซางแล้วข้าค่อยบอกเจ้า ทุกวันนี้ความสามารถของเผ่าเทพอ่อนแอลงไปมาก แค่ทะเลหลีเฮิ่นยังสามารถทำให้พวกเขาร้อนรนหัวแทบแตกอย่างนี้แล้ว ควรให้พวกเขาตื่นขึ้นมาได้เสียที ถึงแม้การท่องเที่ยวหลงระเริงจะน่าสนุก แต่ก็ไม่ควรหลงลืมหน้าที่ของเทพ”

 

 

เสวียนอี่กล่าวแฝงนัยยะประชดว่า “พูดอย่างกับว่าท่านทำเรื่องยิ่งใหญ่อะไรอย่างนั้น”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวเสียงเรียบ “ข้าทำอะไรไม่เคยนึกว่าจะดีหรือเลว มีแต่ควรหรือไม่ควรทำเท่านั้น เรื่องที่ควรทำ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้ได้”

 

 

เขาลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้อง ถอดชุดคลุมสีเงินที่ชุ่มไปด้วยเลือดออก บนร่างเขาเต็มไปด้วยรอยแผล นางแทงเขาอย่างกับจะให้เขากลายเป็นเม่นจริงๆ

 

 

เขาไม่สนใจบาดแผลแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนักรบสีดำ เมื่อออกมาก็โอบเอวของเสวียนอี่ก่อนจะผลักประตูเดินออกไป “ข้าต้องดูเสียหน่อยว่าตบะของเจ้าตอนนี้เป็นอย่างไร”

 

 

แขนเสื้อกว้างของเขาคลุมร่างนางไว้จนมิด ไม่มีส่วนไหนโผล่ออกมาเลย เขาเดินผ่านระเบียงคดที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์อย่างเชื่องช้า ยังไม่ลืมที่จะกล่าวทักทายเหล่านักรบที่เดินผ่านไปมาด้วยรอยยิ้มอีก เหล่าเทพรู้ดีว่าเขาเป็นพวกเล่นสนุกเสเพล เห็นในอ้อมอกเขาโอบร่างเพรียวบางอยู่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

 

 

ออกไปจากกระโจมนักรบแล้ว เซ่าอี๋ก็มองไปรอบๆ แล้วขี่ลมขึ้นไป เขาบินอยู่นานจึงร่อนลงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง เขาคลายวงแขนออกแล้ววางเสวียนอี่ลงที่พื้น แสงสว่างสีทองสลับดำรอบร่างสว่างไสว แผลทั้งหมดบนร่างก็พลันสมานกันจนหายดีในพริบตา

 

 

นึกไม่ถึงว่าเขาจะดูเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังอย่างยิ่ง “ปล่อยพลังความมืดของเจ้าออกมาให้หมด จนกระทั่งพลังเทพหมด”

 

 

เสวียนอี่ใบหน้าขาวซีดราวกับจะสลายไป นางหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดทำให้สมาธิของนางแตกกระเจิงไปไม่น้อย นางไม่ได้ถามว่าเพราะอะไร เพียงแบมือขึ้น แสงสว่างจุดเล็กราวแสงเทียนปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ รอบด้านก็พลันมืดลงจนยื่นนิ้วออกไปยังมองไม่เห็น

 

 

…สมแล้วที่เป็นตระกูลจู๋อินที่อายุได้สองร้อยปีก็แปลงกายเป็นมนุษย์ได้ นางมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ หากว่าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บที่หัวใจยังไม่หายดี อาศัยแค่ขนหัวใจหงส์สองเส้นยันไว้ ไม่สามารถใช้พลังเทพได้ ความสำเร็จของนางจะต้องยอดเยี่ยมยิ่งกว่านี้มาก ตอนนี้ในร่างนางมีขนหัวใจหงส์สามเส้นแล้ว ปล่อยพลังเทพออกมาจึงง่ายดายขึ้นมา

 

 

เซ่าอี๋มองดูพลังความมืดจู๋อินรอบด้านอย่างละเอียด แสงเทียนสั่นไหวทำให้เงาเพรียวบางของเสวียนอี่ทอดลงไปในความมืดสนิทนี้ เขาก้มหน้าลงไปมองนาง ตอนนี้นางไม่ได้บ้าคลั่งอีกแล้ว ไฟเทียนส่องไปยังใบหน้าซีดขาวที่ย้อมไปด้วยเลือดของนาง แสงสว่างสองจุดเต้นระริกอยู่ในลูกตา ดูสุขุมเงียบงันและน่าพิศวง

 

 

เขานั่งลงข้างกายนาง ถามนางราวกับกล่าวเรื่องธรรมดาทั่วไปว่า “กำลังคิดอะไรอยู่”

 

 

เสวียนอี่น้ำเสียงราบเรียบ “กำลังคิดว่าจะจับท่านมาถลกหนังเลาะฟันอย่างไรดี เริ่มจากเท้าแล้วถลกขึ้นมาทีละแผ่นๆ อย่างช้าๆ”

 

 

เขาไม่ได้ฝืนยิ้มออกมา กลับถอนหายใจแล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “ต่อให้เป็นอย่างนั้น ข้าก็ยังไม่ดับสูญอยู่ดี เกรงว่าเป็นเจ้าเองนี่แหละที่จะทนความเจ็บปวดอย่างนี้ไม่ไหว”

 

 

นางไม่กล่าวอะไรอีก ไอขุ่นมัวของโลกเบื้องล่างเข้มข้นมาก การปลดปล่อยพลังความมืดจู๋อินออกมาเริ่มทำให้นางรู้สึกลำบากบ้างแล้ว จุดแสงเทียนจุดเล็กบนฝ่ามือเริ่มกะพริบ ลมหายใจของนางเองก็หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ หยาดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาบนผิวเนียนเกลี้ยงเกลาราวกระเบื้องเคลือบของนางจนทำให้รอยเลือดบนใบหน้าไหลลงไปเป็นสาย

 

 

เซ่าอี๋จับแขนเสื้อแล้วเช็ดเลือดบนใบหน้าให้นางจนสะอาด วงแหวนสีทองบนผมของนางเกี่ยวช่อผมของนางไว้และสั่นไหวราวกับกำลังจะร่วงลงมา เขาจึงไปนั่งด้านหลังนางแล้วจัดการสางผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของนางด้วยนิ้วทั้งห้าจนเป็นระเบียบจากนั้นก็ใช้วงแหวนครอบรัดให้ใหม่

 

 

เมื่อจัดการทั้งหมดนี้เสร็จ ความมืดมิดที่ขนาดยื่นมือออกไปยังมองไม่เห็นก็หายไปหมดสิ้น เขายื่นแขนออกไป เสวียนอี่หมดสติอยู่ในอ้อมอกของเขาแล้ว

 

 

เซ่าอี๋ก้มหน้าลงจ้องมองใบหน้าของนางอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วของนางยังมีรอยเลือดติดอยู่ เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดเบาๆ อย่างพิถีพิถัน

 

 

ยังมีความปรารถนาที่ยังไม่ได้ทำจริงๆ หรือ แต่ว่า หากนางกล่าวออกมา บางทีเขาอาจจะอดไม่ได้และยอมให้นางได้ทำอย่างที่นางต้องการอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่พูดออกมาจะดีกว่า

 

 

ริมฝีปากงดงามอิ่มเอิบชุ่มชื่นอ้าน้อยๆ เซ่าอี๋มองอยู่นาน ราวกับลังเล แต่ก็ราวกับกำลังระวังอะไร เขาก้มหน้าลงแล้วประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ

 

 

ความเยือกเย็นและร้อนรุ่มปะทะเข้าด้วยกันอีกครั้ง เขาสัมผัสเพียงพริบตาก็ผละออก จากนั้นขมวดคิ้วและเหม่อลอย ไม่รู้กำลังคิดอะไร

 

 

ลมบริสุทธิ์พัดมา ทำให้ผมยาวของเขาและนางยุ่งเหยิง เซ่าอี๋พลันเห็นแสงสีทองแวบผ่านจากที่ไกลๆ ดวงตาทั้งสองของเขาหรี่ลง แต่ไม่ได้หลบเลี่ยง ปล่อยให้แสงสีทองสายนั้นมาปรากฏเบื้องหน้ารวดเร็วราวกับสายฟ้า จากนั้นอัญมณีสีแดงเพลิงที่หน้าผากที่อยู่กับเขามานานก็พลันถูกตัดขาดจนร่วงลงไปบนเสื้อผ้า

 

 

เขาหันกลับไปมองสบเข้ากับดวงตาเยือกเย็นลุ่มลึกคู่หนึ่ง