ฝูชางฝันเห็นตัวเองเดินไปบนทุ่งหญ้ากว้างโล่งแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาเดินอยู่นานเท่าไร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเดินไปถึงปลายสุดอีกด้านได้เสียที
ที่ไกลๆ มีต้นตี้หนี่ว์ซางสูงใหญ่ต้นหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ลมพัดผ่านใบไม้จนทำให้เกิดเสียงราวกับฝนตกปรอยๆ
เขาหมุนตัวแล้วเดินเข้าไปหามันอย่างอดไม่อยู่ ไม่รู้เสียงจากที่ไหนที่กำลังเรียกสติเขาอยู่ว่า อย่าไป อย่าเข้าไปใกล้
เขาแยกไม่ออกว่าเสียงนั้นคือใคร เหมือนเป็นท่านพ่อ แต่ว่าก็เหมือนกับเสียงของท่านแม่ที่ไม่ได้ยินมานานหลายปีแล้ว เขาไม่ได้หยุดฝีเท้าลง แต่ยังคงดื้อดึงที่จะมุ่งไปทางต้นตี้หนี่ว์ซางนั่น
ใต้ต้นไม้มีเงาร่างงดงามเพรียวบางเงาหนึ่งยืนอยู่ ชุดตัวยาวสีขาวราวกับหิมะตัวโคร่งพลิ้วไปตามลม วงแหวนสีทองอร่ามบนผมเป็นประกายสว่าง นางพลันหมุนตัวกลับมา ใบหน้าเกลี้ยงเกลางามวิจิตร ดวงตาที่เงียบเหงาจ้องมาที่เขา พร้อมยื่นมือมาหาเขา
มาที่นี่ อยู่เป็นเพื่อนนาง
ฝูชางกุมมือที่เย็นราวกับน้ำแข็งนั่นเอาไว้ช้าๆ ฉุนจวินที่เอวพลันส่งเสียงดังสนั่นออกมาอย่างรุนแรง ตัวกระบี่สีน้ำเงินออกมาจากฝักอย่างควบคุมไม่อยู่ กระบี่เล่มหนึ่งแทงลงไปยังร่างเพรียวนั่นจนทะลุ เลือดสดๆ ไหลออกมาจากปากของนางช้าๆ นางเรียกเขา ศิษย์พี่ฝูชาง
ฝูชางตกใจจนลืมตาขึ้นมาทันที ภาพที่ปรากฏในสายตาคือยอดมุ้งที่คุ้นเคย เขากลับมาที่วังเทพบูรพาแล้วหรือ
เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาจากหน้าผากไปจนถึงลำคอ เขาพลิกตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง ชุดคลุมสีดำของเขาคลายออกและไหลลงมาถึงเอว มือเขากดทับไปบนเศษดินทราย แล้วก้มหน้าลงมองอย่างประหลาดใจ จึงพบว่าบนเตียงของตนมีเศษดินทรายมากมายกระจายไปทั่ว ใครใส่รองเท้าขึ้นมาบนเตียงเขากัน
ทันใดนั้นเอง ความทรงจำที่จับรัชทายาทอันดับสามก่อนหน้านี้และปะทะกับราชาซุ่ยหูก็เข้ามาในสมอง องค์หญิงมังกร…
ฝูชางลงจากเตียง เขาจัดชุดบนร่างให้ดีแล้วสาวเท้าเดินออกไปด้านนอก เมื่อไปถึงด้านนอกพลันรู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงหันกลับมามอง กระดาษสีขาวบนโต๊ะถูกลมพัดเสียจนปลิวว่อนไปหมด บนโต๊ะไม้ท้อตัวเล็กวางเครื่องประดับจำพวกสร้อยเข็มขัดและจี้วางระเกะระกะราวกับถูกรื้อค้นมาก่อน ส่วนของเล่นปั้นหิมะชิ้นเล็กๆ ที่ถูกลูบคลำจนเก่าบนชั้นหนังสือเหล่านั้นตอนนี้กลับเสมือนมีชีวิตราวกับของใหม่
นางมาที่นี่หรือ
เขารีบร้อนเดินออกไปนอกเรือน ท้องฟ้าสว่าง ด้านนอกว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลย
ฝูชางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เขานอนหลับไปนานแค่ไหนกัน
เดินกลับไปในห้องช้าๆ พลันเห็นบนโต๊ะมีกระดาษสีขาวอีกแผ่นถูกที่ทับกระดาษทับเอาไว้ บนนั้นยังมีรอยหมึกอยู่ เขียนตัวหนังสือไว้บนนั้นหลายบรรทัด เขาหยิบที่ทับกระดาษออก เป็นลายมือหวัดขององค์หญิงมังกรจริงๆ
ท่านนอนหลับอย่างกับสุกรมานานหลายวันแล้ว ชิงเยี่ยนเร่งให้ข้ากลับไปโลกเบื้องล่าง ข้าไปแล้ว
ฝูชางทั้งรู้สึกน่าขันและรู้สึกผิดไปพร้อมกัน ทั้งยังรู้สึกประหลาดใจไปด้วย แค่พลังเทพหมดเท่านั้น เขากลับนอนหลับไปนานขนาดนี้
เขารีบร้อนอาบน้ำแต่งตัว แล้วกลับไปเอาฉุนจวินในห้อง กุมด้ามกระบี่ไว้ในมือ ในใจพลันรู้สึกเข้าใจขึ้นมา ที่แท้ แปลงปราณกระบี่เป็นเทพ…มิน่าเขาถึงได้หลับไปนานอย่างนี้ได้ วิถีกระบี่ของเขาเลื่อนขั้นอีกแล้ว แต่ว่าเขาไม่มีเวลาพอที่จะเสียเวลาไปอีกครึ่งปีเพื่อศึกษามัน จึงได้แต่วางสิ่งที่ต้องศึกษาเอาไว้ก่อน
ออกไปจากเขตแดนเมฆาของเรือน เหล่าเทพขุนนางเห็นเขาก็พากันทำความเคารพ พร้อมบอกเรื่องที่องค์หญิงมังกรมาที่นี่กับเขา ครั้งนี้เขากลับนอนหลับไปนานถึงสิบกว่าวัน เขาขอบคุณและปฏิเสธเหล่าเทพขุนนางที่เรียกให้เขาอยู่ทานอาหาร ฝูชางไม่ทันจะได้ดื่มชาสักนิด รีบกลับลงไปที่โลกเบื้องล่าง
ฝันนั่นของเขาทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย
เผ่าเทพถือกำเนิดจากไอบริสุทธิ์ ไม่มีความฝัน หากว่าวันใดมีความฝัน นั่นหมายถึงลางบอกเหตุ หากไม่ใช่โชคดีมากก็คือภัยพิบัติใหญ่หลวง เรื่องทำนายฝันคิดว่าคงมีเพียงแต่มหาเทพไป๋เจ๋อเท่านั้นที่รู้ เขาไม่ทันจะไปถามเขาก็รีบร้อนไปหาองค์หญิงมังกรเสียก่อน
แต่ว่าฝูชางกลับคิดไม่ถึงว่า โลกเบื้องล่างเกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่โตถึงขนาดนี้ เขาหลับใหลอยู่ที่แดนเทพมาหลายสิบวัน มีราชาสามตนมาก่อนความวุ่นวาย ถูกฆ่าตายไปสอง บาดเจ็บสาหัสไปหนึ่ง ส่วนนักรบที่มีความสามารถที่สุดของแดนเทพอย่างตระกูลจู๋อินนั้น เริ่มจากมหาเทพจงซาน ไปถึงองค์ชายน้อยกลับหายตัวไป แม้แต่มหาเทพไป๋เจ๋อยังหาพวกเขาไม่พบ เพราะอย่างนี้ในเบื้องต้นจึงถูกมองว่าเป็นเทพที่ดับสูญไประหว่างการฆ่าเผ่ามาร ซึ่งทำให้เหล่าเทพทั้งหลายต่างสงสัยกันมาก
องค์หญิงมังกรเองก็ไม่อยู่แล้ว
รัชทายาทฉางฉินเห็นเขาก็บ่นทันที “องค์หญิงมังกรของตระกูลจู๋อินคนนั้นหยิ่งยโสเกินไปแล้ว นางคุยกับข้ายังมีท่าทีสูงศักดิ์อย่างนั้น ทั้งวันไม่รู้จักทำอะไร ดีแต่สร้างความวุ่นวายไปทั่ว นางมีดีอะไรตรงไหนกัน สายตาเจ้านี่มันยังไง”
ฝูชางฟังไม่ชัดว่าเขากล่าวอะไร เขายืนอยู่หน้ากระโจมของนักรบหน่วยติงเหม่า รู้สึกในหูราวกับมีเสียงดังกระหึ่ม มหาเทพจงซานกับองค์ชายน้อยหายตัวไปจะต้องส่งผลกับองค์หญิงมังกรมากแน่ๆ นางหลบไปอยู่ที่ไหนกัน แล้วทำไมถึงไม่มาหาเขาที่วังเทพบูรพา
เขาพลันคิดถึงคืนวันนั้นขึ้นมาได้ เมื่อองค์ชายน้อยประลองกับเขาจบ ก็กล่าวถึงเรื่องอาการบาดเจ็บที่หัวใจขององค์หญิงมังกร แต่เขากล่าวอย่างคลุมเครือ ไม่ได้พูดว่ารักษาหายได้อย่างไร สุดท้ายยังแสดงแววตาเศร้าระทมออกมาอีก เขาพูดแค่ว่า “วิถีกระบี่ของตระกูลหวาซวีเหนือกว่าสวรรค์ชั้นสามสิบสามไป เทพฝูชางมีพรสวรรค์สูงส่ง ข้าวางใจมาก วันหลังต้องรบกวนให้เจ้าช่วยดูแลน้องหญิงให้มากแล้ว”
วันนี้นึกๆ ดู คำพูดประโยคนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมและความโดดเดี่ยว องค์ชายน้อยรู้แต่แรกแล้วว่าตนจะต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้นหรือ
ฝูชางเป็นพวกไหวพริบดีมาตลอด แค่พริบตาก็เหมือนเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ เขาหันไปถามรัชทายาทฉางฉินที่กำลังบ่นอยู่ว่า “ตอนนี้เซ่าอี๋ของตระกูลชิงหยางถูกจัดอยู่ที่หน่วยไหน”
หน่วยอี่ปิ่งอิ๋น นักรบในหน่วยนี้ทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบคนเป็นพวกที่ธรรมดาที่สุด และเป็นนักรบที่ไม่ได้เด่นสะดุดตาที่สุด เหมือนกับนิสัยที่เซ่าอี๋มักจะเป็นเสมอ เขาไม่เคยให้ตัวเขาเปล่งแสงโดดเด่นสะดุดตาผู้คน ตอนนั้นที่วิถีกระบี่ของเขาเลื่อนขั้น มุมมองเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีก และเขามองออกแล้วว่าเซ่าอี๋ไม่ธรรมดา แต่ว่าเขาเพียงแต่คิดว่าเขาแค่ชอบเสแสร้งแกล้งทำ ที่แท้เขากลับคิดผิดไปแล้ว
ราชสีห์เก้าเศียรบินไปในทะเลเมฆ ฝูชางคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ขึ้นมา ยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ
อ้อมเขาลูกหนึ่งมา เขาพลันเห็นมีเมฆสีดำกลุ่มใหญ่รวมกันอยู่บนยอดเขาไกลๆ เป็นความมืดของตระกูลจู๋อิน องค์หญิงมังกรกำลังต่อสู้หรือ
ฝูชางรีบกลายเป็นลมพายุสายหนึ่งพุ่งออกไปทันที พลังมืดจู๋อินขนาดใหญ่นั่นพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา นักรบชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาและอุ้มนางเอาไว้ เป็นเซ่าอี๋จริงๆ
ฉุนจวินออกจากฝัก มันฟันไปที่อัญมณีที่หน้าผากของเขาอย่างลองเชิงและระวัง
ลมพลันหยุดนิ่งลง เซ่าอี๋เงยหน้าขึ้นมามองเขา แล้วก้มหน้าลงไปมองอัญมณีเพลิงที่ตกอยู่บนชุดเขา เขาใช้มือหยิบมันขึ้นมาช้าๆ แล้วกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “กระบี่เจ้าเร็วอย่างนี้ ทำไมเจ้าไม่โจมตีไปที่จุดสำคัญของข้าเสียเลยล่ะ”
มังกรทองกลับมา แล้วกลายเป็นกระบี่ฉุนจวินสีน้ำเงินบนฝ่ามือของฝูชาง เขามองเขาอย่างเยือกเย็น แววตาก็มองไปยังร่างขององค์หญิงมังกรในอ้อมอกเขา ใบหน้าของนางซีดขาวกว่าปกติหลายเท่า แม้ว่าเสื้อผ้าจะยังคงเรียบร้อย แต่บนคอกลับเห็นคราบเลือดที่แห้งแล้วติดอยู่จางๆ คิดว่าน่าจะเป็นเลือดของตระกูลชิงหยาง
ฝูชางกล่าวช้าๆ ว่า “เจ้าไม่ยอมตัดสัมพันธ์ขนหัวใจหงส์ เพื่ออะไรกัน”
เซ่าอี๋เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเดาออกแล้วหรือ หรือว่าพวกเขาบอกเจ้ากัน”
พวกเขาไม่ได้บอกเขา ตระกูลจู๋อินไม่เคยพูดจุดอ่อนและความยากลำบากของตน เขาเพียงแต่คาดเดาจากข้อมูลที่ราวกับใยแมงมุมนั่น บางทีเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับขนหัวใจหงส์
ประโยชน์ของขนหัวใจหงส์นั้นเขาเองก็เพิ่งรู้หลังจากที่ได้เป็นนักรบแล้ว ของวิเศษล้ำค่าในแผ่นดินชิ้นนี้มีเพียงตระกูลชิงหยางเท่านั้นที่สร้างมันขึ้นมาได้ แม้แต่ตระกูลจู๋อินที่วิชาใดๆ ก็ไร้ผลยังสามารถรักษาได้ ดังนั้นตอนที่ขาขวาขององค์หญิงมังกรเจ็บ เซ่าอี๋ถึงได้ปรากฏตัวขึ้นมากะทันหันที่โลกเบื้องล่าง และช่วยรักษาอาการเจ็บให้นางชั่วคราว ดังนั้นองค์ชายน้อยจึงมักกังวลกับแผลที่หัวใจขององค์หญิงมังกร แววตาเขามักมีความเศร้าและทุกข์ระทมอยู่ ดังนั้นครั้งที่แล้วแม้องค์หญิงมังกรจะไม่ได้บาดเจ็บแต่กลับกุมอกเอาไว้ตลอด ดังนั้นเซ่าอี๋จึงกล่าวว่า “ช่วยดูแลนางแทนเขา” รวมถึงความยุ่งยากจากการที่บาดแผลหัวใจกำเริบต่อเขาอีก
ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “ปล่อยนาง”
เซ่าอี๋ยิ้ม “ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องขนหัวใจหงส์แล้ว ยังคิดว่าข้าจะปล่อยอีกหรือ ครั้งที่แล้วยกให้เจ้า เจ้ายังทิ้งนางไว้อีก ครั้งนี้ข้าไม่มีทางยกให้เจ้าแล้วจริงๆ ”
ฉุนจวินกลายเป็นมังกรสีทองตัวใหญ่ แววตาเต็มไปด้วยโทสะและกำลังจะเคลื่อนไหว
เซ่าอี๋ยิ่งยิ้มชัดกว่าเดิม “เจ้าฆ่าข้า นางเองก็ต้องดับสูญไปด้วย หัวใจของข้ากับนางเชื่อมกัน หากบาดเจ็บอีกฝ่ายก็จะรู้สึกได้ ศิษย์น้องฝูชาง ข้ารู้ว่าเจ้าชอบนาง แต่ว่าข้าเคยเตือนเจ้าไว้นานมากแล้วว่า หากชอบนางเข้า เจ้าจะต้องเสียใจ”