บทที่ 132 ถึงตายก็ไม่แปรเปลี่ยน

บุหลันเคียงรัก

หากชอบนางเข้า เจ้าจะต้องเสียใจ 

 

 

ผ่านไปสองหมื่นกว่าปี วาจาในเวทมายาก็หลุดออกมาจากปากของเซ่าอี๋อีกครั้ง

 

 

ฝูชางมองเขาเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ไม่ว่าจะมองอย่างไร เซ่าอี๋ก็เป็นเพียงแค่เทพหนุ่มธรรมดาๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น แม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์โดดเด่นกว่าคนอื่น แม้ว่าเขาจะถือกำเนิดในตระกูลชิงหยาง แต่กฎของธรรมชาติจะฝืนไม่ได้ ข้อจำกัดของอายุ ตบะและวิธีการต่างๆ ของเขาไม่น่าจะมากถึงขนาดไหนได้

 

 

แต่ว่าเขากลับเหมือนมีวิธีการต่างๆ และแผนการมากมายร้อยแปด

 

 

หายนะจากความเสเพลของมหาเทพจงซานเป็นเรื่องตลกขบขันของแดนเทพมานานมากแล้ว และเพราะองค์หญิงมังกร ฝูชางจึงสนใจเป็นพิเศษ หากว่านางได้รับบาดเจ็บตอนที่นางยังเล็ก ก็น่าจะเป็นตอนที่นางถูกเผ่าเทพเขาถงซานจับไป ตอนนั้นเซ่าอี๋เพิ่งจะอายุได้เท่าไหร่ สองหมื่นปี? เทพตระกูลชิงหยางที่สองหมื่นปีไม่ออกมาพบปะผู้คนรู้เรื่องที่นางได้รับบาดเจ็บหนักอย่างนั้นได้อย่างไร หนำซ้ำยังยอมเอาขนหัวใจหงส์ช่วยนางอีก

 

 

หรือว่า ทุกอย่างนี้ล้วนอยู่แผนการตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เซ่าอี๋ใช้ขนหัวใจหงส์ควบคุมองค์หญิงมังกร เพื่อขู่มหาเทพจงซานกับองค์ชายน้อย ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงหายตัวไปอย่างกะทันหัน ทุกวันนี้นางเองก็ตกอยู่ในเงื้อมมือเขา ตระกูลชิงหยางอยากจะแก้แค้น คิดจะกำจัดตระกูลจู๋อินทั้งหมดไปในช่วงเวลาที่แดนเทพกำลังวุ่นวายอย่างนี้หรือ

 

 

แผนการที่ละเอียดและรอบคอบเช่นนี้ คิดว่าเบื้องหลังต้องมีมหาเทพตระกูลชิงหยางคอยผลักดันเป็นแน่ เผ่านี้มักจะเก็บตัวไม่ค่อยออกมานัก เวลาทำอะไรก็จะถ่อมตัวเสมอมา ทำตัวลึกลับมาก หลายปีมานี้เมืองฉยงซางแทบจะไม่มีแขกเลย หรือว่าเพราะกำลังวางแผนพวกนี้อยู่ภายใน

 

 

“ข้ายังต้องรีบกลับไป” เซ่าอี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ศิษย์น้องฝูชาง พวกเราลากันตรงนี้เป็นอย่างไร”

 

 

รีบกลับไปหรือ กลับไปยังเมืองฉยงซางที่อยู่บนสวรรค์ชั้นเก้าน่ะหรือ มังกรสีทองข้างกายฝูชางพุ่งเข้าไปในทะเลเมฆ เขากล่าวเสียงเย็นว่า “ไม่ต้องมาพูดพล่ามไร้สาระ จับเจ้าโดยไม่ทำให้เจ้าบาดเจ็บ ใช่ว่าข้าจะทำไม่ได้”

 

 

ฝักกระบี่ลอยขึ้น วาดเป็นลมคมกริบสายหนึ่ง โจมตีไปที่ใต้คางของเซ่าอี๋ มือทั้งสองของเขาอุ้มเสวียนอี่ไว้อยู่ จึงได้แต่ถอยหลังไปสองก้าว ด้านหลังพลันมีสายลมบริสุทธิ์พัดมา เขาขี่ลมขึ้นแล้วหลบไปได้อย่างฉิวเฉียด แต่กลับเห็นมังกรสีทองตัวนั้นตัวโตกว่าปกติหลายเท่า มันอ้าปากกว้างแล้วสะบัดหาง ทำให้เกิดวงคลื่นในอากาศวงหนึ่งและบินเข้ามา คิดจะกลืนเขาลงไป

 

 

นี่คือมังกรทองที่แปลงมาจากกระบี่ฉุนจวิน หากถูกกลืนเข้าไปเกรงว่าคงยากจะออกมาได้

 

 

เซ่าอี๋สะบัดชุดคลุม แล้วหลบมังกรทองไปอีกครั้งอย่างน่าหวาดเสียว แต่ฝูชางพลันโยนฝักกระบี่ออกมา มันกลายเป็นมังกรสีทองขนาดเล็กตัวหนึ่งในพริบตา พุ่งอย่างรวดเร็วราวกับดาวตกเข้าไปรัดขาของเขาเอาไว้แล้วดึงลงไปด้านล่าง สายลมบริสุทธิ์พัดจนผมยาวของเขาพลิ้วสะบัด มังกรสีทองขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาพร้อมอ้าปากแล้วกลืนลงไป

 

 

เซ่าอี๋สะบัดชุดคลุม รีบร้อนพุ่งเข้าไปในทะเลเมฆ ตอนนี้เขาไม่สามารถจะใช้มือทั้งสองอุ้มเสวียนอี่ได้แล้ว ได้แต่ต้องใช้มือข้างเดียวคว้าเอวนางไว้เท่านั้น เขาดีดปลายนิ้ว มีดยาวขนหงส์ก็ลากเป็นประกายเพลิงสีน้ำเงินและฟันลงไปที่มังกรทอง ประกายเพลิงเร็วมาก แต่แสงสีทองทั้งสองกลับเร็วยิ่งกว่า ฝักกระบี่กลายเป็นมังกรทองและรัดที่ขาของเขาอีกครั้งพร้อมโยนร่างของเขาขึ้นสูง มังกรสีทองขนาดใหญ่ไล่ตามด้านหลังมาติดๆ มันสะบัดหางออกไป ปากที่เปล่งแสงสีทองอร่ามขนาดใหญ่ก็พลันปรากฏอยู่ตรงหน้า

 

 

ร้ายกาจอย่างนี้เลยหรือ เซ่าอี๋ฝืนบินหลบไปอย่างรวดเร็ว หางตาพลันเห็นว่ามีเงาร่างสีขาวขี่ลมพุ่งเข้ามา จากนั้นไหล่ก็สะเทือน แขนที่อุ้มเสวียนอี่เอาไว้ข้างนั้นพลันไร้เรี่ยวแรง และปล่อยร่างนางอย่างควบคุมไม่ได้ แขนเสื้อของเขาสะบัดไปราวกับปีก แล้วยกร่างของนางเอาไว้เบาๆ เบี่ยงหลบจนพ้นมือของฝูชางที่ยื่นเข้ามา นางตกลงมาในอ้อมอกเขาอีกครั้งราวกับขนนก

 

 

ขณะกำลังจะถอนหายใจ ด้านหลังพลันมีลมรุนแรงพัดมา เซ่าอี๋กำลังคิดจะหลบให้พ้น แต่ใครจะรู้ว่าร่างเขากลับถูกรัดแน่น มังกรทองที่แปลงมาจากฝักกระบี่รัดร่างเขาเอาไว้หลายต่อหลายทบราวกับเชือก ทะเลเมฆระเบิดและแยกจากกัน มังกรทองบินมาตรงหน้า เขารีบร้อนท่องคาถา ม่านพลังชั้นหนึ่งก็ปรากฏเบื้องหน้าเขา มังกรทองชนเข้าไปอย่างแรง เกิดเสียงแตกดังขึ้นอย่างชัดเจนแต่กลับยังไม่ได้แตกสลายไปในทันที

 

 

เซ่าอี๋รีบสร้างม่านพลังขึ้นใหม่แล้วมองไปที่ฝูชางพลางถอนหายใจ “ศิษย์น้องฝูชาง เจ้าจับข้า เพื่อจะพาข้าไปยังกรมอาญาหรือ”

 

 

มังกรทองวนเวียนอยู่รอบนอกม่านพลัง ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “คำสั่งเรียกรวมเหล่าเทพไปฆ่ามารออกมา กระทั่งเทพที่ไม่ได้มีฐานะอะไร กักขังเพื่อนนักรบด้วยกันโดยไม่สนใจเรื่องใหญ่ของฟ้าดิน ยังถือเป็นโทษหนักและจะต้องถูกสายฟ้าพิฆาตของสวรรค์เหนือชั้นสามสิบสามขึ้นไปลงโทษ ตระกูลชิงหยางจะไม่ใจกล้ามากเกินไปหน่อยหรือ”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวเสียงเนิบ “สวรรค์ไร้ความปรานี เหล่าเทพจำนวนมากในทุกวันนี้ต่างก็ไปฆ่าเผ่ามาร เพียงเพราะรักษาระเบียบของฟ้าดินเท่านั้น แต่ว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าชีวิตของปลาดุกอุยน้อยคงจะจบเร็วขึ้นกว่านี้แน่ เจ้าคงจะไม่ยินดีที่จะเห็นนางต้องดับสูญหรอกกระมัง”

 

 

…ทั้งสองเรื่องนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกันตรงไหน ตระกูลชิงหยางที่พูดจาอวดดี

 

 

ฝูชางพลิกข้อมือ มังกรทองก็กลายเป็นคลื่นน้ำนับหมื่นนับพันถาโถมไปยังม่านพลังจากทั่วทุกสารทิศ

 

 

ทันใดนั้น เสียงที่เต็มไปด้วยโทสะเสียงหนึ่งก็ตะคอกดังจากที่ไกลๆ “ฝูชาง!”

 

 

ฝูชางไม่หันกลับไป แสงสีทองราวกับคลื่นน้ำโหมกระหน่ำไปยังม่านพลังอย่างไม่ลังเล เห็นอยู่กับตาว่าม่านพลังกำลังจะแตกแล้ว มังกรทองขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาราวกับสายฟ้าแลบ แล้วไปหุ้มม่านพลังของเซ่าอี๋เอาไว้อย่างหนาแน่น แสงสีทองราวกับสายน้ำโจมตีไปตัวบนมังกรทอง เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นอย่างน่ากลัว ทะเลเมฆถูกลมพัดจนสลายไปคนละทิศละทาง

 

 

ฝูชางนิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หันกลับมาคารวะ “…ท่านพ่อ”

 

 

มหาเทพบูรพาที่ไล่ตามมาอย่างรีบร้อนมีสีหน้าเคร่งเครียด เห็นเขายังไม่ยอมเก็บปราณกระบี่ฉุนจวินกลับไป ก็อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้ “ฆ่าเพื่อนนักรบด้วยกัน! เจ้ากำลังทำอะไร?!”

 

 

เดิมเพราะหลายวันนี้ราชาของโลกเบื้องล่างล้วนไม่มีเคลื่อนไหวอะไรอย่างแต่ก่อน และเริ่มที่จะปกปิดร่องรอยของตน เขาจึงคิดจะไปหน่วยติงเหม่าเพื่อไปดูฝูชาง เขานอนหลับไปหลายสิบวันตอนนี้น่าจะตื่นแล้ว เขาจะต้องเข้าใจอะไรมากขึ้นในด้านวิถีกระบี่แน่นอน จึงคิดจะมาแนะนำเขาเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าเมื่อมาถึงหน่วยติงเหม่า เขากลับไม่อยู่ ตนจึงไล่ตามร่องรอยไอบริสุทธิ์มาตลอดทาง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมาพบเขากำลังจะฆ่าเพื่อนนักรบด้วยกันอย่างนี้

 

 

มหาเทพบูรพามีสายตาระดับไหน เขาเห็นแล้วว่าเทพธิดาที่อยู่ในอ้อมอกของตระกูลชิงหยางก็คือองค์หญิงตระกูลจู๋อินที่มีสัมพันธ์กับฝูชางคนนั้น ในใจเขายิ่งไม่ชอบใจมากขึ้น เขาไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของฝูชาง แต่ว่าเขาไม่สามารถทนมองลูกของตนเดินไปบนทางที่ผิดเพียงเพราะเทพธิดาองค์หนึ่งได้

 

 

“เก็บกระบี่” มหาเทพบูรพามีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก

 

 

ฝูชางนิ่งไปนาน แล้วหันหลังกลับไปพร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “ขอโทษด้วย ข้าทำไม่ได้”

 

 

แสงสีทองราวกับคลื่นน้ำรัดมังกรทองของมหาเทพบูรพาและม่านพลังไว้ด้วยกัน เขาสะบัดแขนเสื้อ มีเสียงดังตูม ม่านพลังนั้นถูกบีบจนแตกทันที ฝักกระบี่กลายเป็นมังกรและวนเวียนอยู่ในนั้นราวกับดาวตก แต่เซ่าอี๋กลับหายตัวไปแล้ว

 

 

สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที ปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรของตระกูลหวาซวีล้อมเอาไว้ถึงสองชั้น แล้วเซ่าอี๋หนีไปได้อย่างไร

 

 

มังกรทองกลายเป็นกระบี่ไม้ท้อลอยกลับมาในมือของมหาเทพบูรพา เขาเองก็มีสีหน้าประหลาดใจ กระทั่งเขาเองก็ยังไม่สังเกตว่าตระกูลชิงหยางอายุน้อยคนนั้นหนีไปตั้งแต่เมื่อใด หางตาสีทองปรายตามองเห็นฝูชางเก็บฉุนจวินเข้าไปในฝัก มหาเทพบูรพาขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ฝูชาง ปกติแล้วเจ้าไม่ใช่คนวู่วาม ครั้งนี้เป็นอะไรไป”

 

 

ฝูชางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในสมองเขามีแต่คำพูดของเซ่าอี๋ เจ้าคงไม่อยากเห็นนางดับสูญหรอกกระมัง 

 

 

เขารู้สึกสังหรณ์ใจ แต่ว่ากลับไม่สามารถกล่าวออกมาได้ เรื่องนี้ไม่พูดออกไปจะดีกว่า

 

 

ครั้นเบิกตากว้างขึ้นอีก ไอขุ่นมัวของโลกมนุษย์ก็มารวมกันที่ขอบฟ้า ดำทะมึนไปทั้งฟ้า เหมือนกับจิตใจของเขาในตอนนี้ที่ร้อนรุ่มและไม่สามารถสงบลงได้

 

 

เมืองฉยงซางที่ลึกลับราวกับไร้ตัวตนบนสวรรค์ชั้นเก้า

 

 

เขาเรียกราชสีห์เก้าเศียรมาแล้วโค้งคารวะให้มหาเทพบูรพา พร้อมจากไปโดยไม่กล่าวอะไร

 

 

บังเหียนถูกกำไว้แน่น มหาเทพบูรพาขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้ากับองค์หญิงตระกูลจู๋อินเกี่ยวข้องกันถึงขั้นไหน เกรงว่าวันหลังคงไม่มีจุดจบที่ดีนัก อนาคตเจ้ายังต้องรับตำแหน่งมหาเทพบูรพา ฟ้าดินกว้างใหญ่ทั่วทุกสารทิศ จะต้องกังวลว่าจะไม่มีเทพธิดาที่ดีกว่านี้แล้วหรือไร หากว่าเจ้าดื้อรั้นเกินไป จะไม่เป็นผลดีกับชื่อเสียงของตระกูลหวาซวี”

 

 

ฝูชางกล่าวเสียงเบา “ตอนนั้นท่านแม่ผ่านชีวิตเวียนว่ายตายเกิดนับร้อยก็ยังไม่สำเร็จ วิญญาณเทพแตกสลายและดับสูญไป ปราณกระบี่จำแลงบาดาลและโลกของท่านพ่อ ไปเก็บเอาร่างและวิญญาณมารักษาไว้ในกระบี่ไม้ท้อ แน่นอนว่านี่ก็เป็นความคิดที่ดื้อรั้นเช่นกัน”

 

 

มหาเทพบูรพาขมวดคิ้วมองเขา แล้วถอนหายใจออกมา “ท่านแม่เจ้าใกล้ดับสูญ ข้าจึงได้แต่ต้องทำอย่างนี้ แล้วเจ้าทำไปเพื่ออะไรกัน ฝูชาง องค์หญิงตระกูลจู๋อินทรมานเจ้าเสียจนทำให้นิสัยเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ตระกูลนี้มักจะชอบทำอะไรแปลกประหลาดไม่สนใจใคร เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ที่ดีนัก หากว่านางไม่ได้มีใจให้เจ้า เจ้าทำอย่างนี้จะต่างอะไรกับการบังคับกักขังกัน”

 

 

“ในใจข้า นางก็เหมือนกับท่านแม่ในใจของท่านพ่อ “ ฝูชางดึงบังเหียนออกอย่างเชื่องช้าทว่าเด็ดเดี่ยว

 

 

ไล่ตามและคุ้มครอง นี่ก็คือตระกูลหวาซวี

 

 

ไม่รู้ทำไม ฝูชางพลันนึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้วขึ้นมา ตอนที่เขาอยู่โลกเบื้องล่างและกำลังจัดการกับเทพีอูเจียงด้วยกันกับองค์หญิงมังกร เขาเอากระบี่ฉุนจวินส่งให้กับนางแล้วกล่าววาจาไร้สาระไปประโยคหนึ่ง แต่ว่าคิดๆ ดูตอนนี้ ที่เขาพูดกลับกลายเป็นจริงไปเสียได้

 

 

ถึงตายก็ไม่แปรเปลี่ยน ให้ฉุนจวินเป็นพยาน