บทที่ 133 ความผิดหวังอันแสนเศร้าและงดงาม

บุหลันเคียงรัก

จื่อซียืนอยู่หลังกิ่งไม้แน่นขนัด มองกระโจมที่พักนักรบของหน่วยอี่ปิ่งอิ๋นอยู่เงียบๆ

 

 

แสงสว่างสลัวลง ด้านนอกมีนักรบลาดตระเวนของหน่วยอี่ปิ่งอิ๋นเดินไปมา ทุกอย่างยังคงสงบเหมือนเดิม นางเองก็ยังคงไม่ได้เจอเซ่าอี๋เหมือนเดิมเช่นกัน เห็นฟ้าเริ่มมืดแล้ว ในใจนางก็ไม่รู้ว่ากำลังผิดหวังหรือรู้สึกอะไรอยู่

 

 

เขาเคยจูบนาง ไม่ใช่เพราะหยอกเย้าล้อเล่น แต่ด้วยความอบอุ่นและปลอบประโลม นางไม่สามารถลืมจูบนั้นได้ นางพยายามห้ามตนเองไม่ให้ไปหาเขาอีก แต่ก็อดถลำลึกลงไปกับมันไม่ได้

 

 

วันที่ราชาซางเหม่าและราชาหูเซินก่อความวุ่นวายขึ้นกะทันหันนั้น ได้มีคำสั่งเรียกรวมพลส่งไปยังนักรบของหน่วยต่างๆ ตัวนางเองก็ไปด้วย ตอนที่นางไปนางไม่ได้คิดอะไร คิดแต่เพียงต้องไปฆ่าเผ่ามารเท่านั้น แต่นางมองเห็นพายุหิมะของตระกูลจู๋อิน นั่นคือวิชาที่มีเฉพาะตระกูลจู๋อินเท่านั้นที่จะมีได้ ไม่อยากมองยังยาก

 

 

จากนั้น นางก็เห็นเซ่าอี๋กับเสวียนอี่

 

 

พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันไม่กี่ประโยค ดูๆ แล้วไม่ได้สนิทสนมชิดเชื้อเหมือนกับที่นางคิด จื่อซีพลันคิดขึ้นมาทันทีว่า บางทีเรื่องก่อนหน้านี้ทั้งหมดนางอาจจะเดาผิดไปเอง

 

 

เซ่าอี๋ไม่มีทางชอบเสวียนหรอก ใช่แล้ว เขาจะชอบนางได้อย่างไรกัน เขาปฏิบัติตัวกับนางไม่ได้ต่างจากเหล่าเทพธิดาที่ห้อมล้อมรอบข้างกายเขาเลย ที่ไปแย่งชิงกับฝูชางก็อาจจะเพราะอยากเอาชนะเท่านั้น เซ่าอี๋เป็นพวกชอบปล่อยตัวตามใจในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เสมออยู่แล้ว แต่ว่าเขากลับไม่ได้ปฏิบัติกับนางเหมือนอย่างคนอื่น กระทั่งยังจูบนางยังนุ่มนวลถึงปานนั้น เขากำลังบอกความนัยอะไรอยู่ใช่ไหม

 

 

จื่อซีพยายามคิดหาเหตุผลที่เหมาะสมให้เขาและนาง นางเองก็รู้ว่าที่นางทำอย่างนี้มันช่างดูโง่งมเหลือเกิน แต่ว่านางกลับจมลึกลงไปในทะเลหลีเฮิ่นนี้จนไม่สามารถถอนตัวได้แล้ว ดึงนางลงไปอีก ให้นางถูกฝังลงไปทั้งกระดูกและวิญญาณ ไม่ต้องให้นางทรมานอย่างนี้

 

 

นางไปสืบข่าวมาแล้วว่าตอนนี้เซ่าอี๋อยู่ที่หน่วยอี่ปิ่งอิ๋น ทุกวันเมื่อทำภารกิจฆ่าปีศาจเสร็จ นางก็มักจะมามองบริเวณใกล้ๆ กับกระโจมนักรบที่นี่เองโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่ามีแต่ต้องทำอย่างนี้เท่านั้น นางถึงจะสามารถนอนหลับได้อย่างสงบ

 

 

แต่ว่าวันนี้ก็ยังไม่ได้เจอเขา จื่อซีลอบถอนหายใจออกมา หมุนตัวตั้งท่าจะจากไป ทันใดนั้นพลันมีเสียงลมพัดดังหวีดหวิว เงาร่างสีดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นหน้ากระโจม นางกลั้นหายใจ เท้าก็ก้าวไล่ตามไปโดยไม่รู้ตัว ไล่ตามไปสองก้าวก็รีบร้อนหยุดเท้าลง นางพูดแล้วว่าจะไม่ไปตามตอแยเขาอีกเด็ดขาด นางจะต้องทำให้ได้อย่างที่พูดไว้

 

 

เหมือนว่าในอ้อมอกของเซ่าอี๋จะอุ้มใครอยู่ แขนเสื้อคลุมขนาดใหญ่คลุมร่างเพรียวบางนั้นไว้อย่างแน่นหนา มือทั้งสองโอบไว้อย่างระวัง ราวกับกำลังอุ้มเครื่องเคลือบที่แตกได้ง่ายๆ ด้วยความรักทะนุถนอมและระวัง

 

 

นั่นคือใครกัน

 

 

จื่อซีก้าวเท้าไปอย่างห้ามไม่อยู่ นางเดินเข้าไปช้าๆ เอาป้ายห้อยเอวของตนออกมาให้กับทหารคุ้มกันกระโจมที่พักดู ก่อนจะไล่ตามหลังเซ่าอี๋ไปทุกฝีก้าวอยู่ห่างๆ

 

 

เดินอ้อมระเบียงคดที่เต็มไปด้วยเงาเถาวัลย์ ฝีก้าวของเซ่าอี๋หยุดลงหน้าเรือนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าแห่งหนึ่ง เขาไม่ได้เข้าไปแต่หันกลับมา ดวงตาหงส์เรียวยาวสีดำสนิทนั่นจับจ้องมองไปที่เงาร่างของจื่อซี ครั้งนี้เขากลับไม่ได้ยิ้มออกมา ทั้งยังไม่ได้ถอนหายใจ แต่กลับใช้แววตาเย็นชาราวกับน้ำแข็งมองนาง

 

 

จื่อซีถูกเขามองจนถอยหลังไปสองก้าว พลางกล่าวเสียงสั่นว่า “ข้า ข้าไม่ได้…ข้าเพียงแค่…อยากจะมองแวบหนึ่ง…”

 

 

เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่หมุนตัวแล้วเดินเข้าไปในเรือน พร้อมกับปิดประตูเบาๆ เข้าไปในห้องแล้วเขากลับเดินไปต่อไม่หยุดจนกระทั่งถึงหลังเรือน ปลายเท้าแตะเบาๆ ที่พื้น ในที่มืดก็มีเสียงของเทพขุนนางนักรบดังออกมาทันทีว่า “ท่านชาย ตอนนี้ทางโบราณเชื่อมโลกเบื้องบนและโลกเบื้องล่างได้เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว”

 

 

เซ่าอี๋พยักหน้าน้อยๆ “ไปลางานแทนข้า เมื่อข้าไปแล้วให้จัดการทางเชื่อมนั้นให้กลับสู่สภาพเดิม”

 

 

เขากระชับกอดร่างที่หมดสติไปเพราะใช้พลังเทพหมดในอ้อมอกแน่น ความดื้อดึงและความปรารถนาของเขาผู้ที่ถูกทิ้งไว้เพียงลำพังจะสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องดูที่นางแล้ว

 

 

จื่อซียืนเหม่อลอยอยู่บนระเบียงคดที่เต็มไปด้วยเงาเถาวัลย์อยู่นาน เหล่านักรบที่ผ่านไปมาต่างมองมาที่นางด้วยความแปลกใจระคนสงสัย ทั้งยังมีพวกเสเพลบางส่วนด้วย เมื่อได้เห็นนางที่แม้จะไม่ได้แต่งหน้าแต่กลับยังมีใบหน้างดงามก็อดที่จะเข้ามาพูดคุยด้วยไม่ได้

 

 

นางหมุนตัวจากไปอย่างรังเกียจ แล้วเดินออกไปจากกระโจมนักรบทีละก้าวๆ นางรู้สึกหน้ามืด หัวใจที่อยู่ในทรวงอกนั้นพลันหนักอึ้งจนราวกับจะจมลงไปใต้ฝ่าเท้า

 

 

ทำไมเซ่าอี๋ถึงได้แสดงแววตาที่น่ากลัวอย่างนั้นมาที่นาง ราวกับกำลังมองมดปลวกมิปาน

 

 

ไม่ควรเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยๆ เขาก็ควรจะปฏิบัติกับนางอย่างพิเศษออกไปสิ

 

 

ตอนนี้จื่อซีกลับวาดฝันว่าจะสามารถเหมือนเหยียนสยาและฝูชางที่จิตวิญญาณได้รับความเสียหายจากความคิดทำร้ายตัวเอง หากเป็นอย่างนั้นเขาจะลงไปตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่างให้นางไหม

 

 

แต่ว่าใจของนางกลับเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าที่นางคิดไว้มาก จิตวิญญาณของนางไม่ได้มีวี่แววว่าจะได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย

 

 

เมื่อครู่นี้นางเห็นชัดว่า ร่างที่เซ่าอี๋อุ้มไว้ในอ้อมอกแน่นนั่นน่าจะคือเสวียนอี่ ภายใต้ชุดเผยให้เห็นว่าบนรองเท้าหุ้มข้อที่โผล่ออกมานั้นประดับด้วยอัญมณีสีดำสนิทงามประณีตอยู่หลายเม็ดด้วยกัน พวกมันจัดเรียงกันเป็นลักษณะของกลุ่มดาวเหนือทั้งเจ็ดดวง มีเพียงองค์หญิงน้อยที่รักสวยรักงามผู้นี้เท่านั้นที่จะทุ่มเทจิตใจตกแต่งชุดนักรบอย่างนี้

 

 

ตอนนี้เซ่าอี๋กำลังทำอะไร เขากำลังพูดคุยสนุกสนานอยู่กับเสวียนอี่หรือ กำลังมีสัมพันธ์คลุมเครือกับนางหรือ หรือว่า…จะกำลังกอดรัดพัวพันกันอยู่

 

 

เขาให้ความหวังนางครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ทำให้ความฝันนางสลายไปครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะนางไม่พอใจเองหรือ หรือว่านางไร้เดียงสาเกินไป ไร้เดียงสามีอะไรไม่ดี นางมีอะไรไม่ดีตรงไหนกัน

 

 

นางสามารถมอบหัวใจทั้งดวงของนางให้เขาได้ ยังสามารถมอบร่างที่บริสุทธิ์ผุดผ่องให้เขาได้ด้วย นางคือศิษย์ที่มหาเทพไป๋เจ๋อภูมิใจที่สุด คือตระกูลนักรบแห่งแดนเทพผู้มีความสามารถ นางมีทั้งความรู้และรูปโฉมที่เพียบพร้อม ทั้งยังเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ นางอาศัยความสามารถของตนพยายามจนกระทั่งเดินมาถึงตอนนี้ ไล่ตามอย่างจริงจังเพื่อให้ได้เข้าใกล้เทพที่นางชอบ แล้วเสวียนอี่มีอะไร นางอาศัยชื่อเสียงตระกูลมาสร้างความวุ่นวายเหลวไหล หนำซ้ำยังอาศัยรูปโฉมงดงามของนางก่อเรื่องไปทั่วอีก

 

 

นางเคยเอ็นดูเสวียนอี่ รู้สึกว่าองค์หญิงน้อยน่ารักมาก แต่ว่าตอนนี้นางกลับทำลายความมั่นใจและศักดิ์ศรีที่ตนพยายามมาตลอดจนแตกสลายไม่มีชิ้นดี นางพ่นลมออกมาอย่างเหยียดหยามและดูถูก นางมีอะไรตรงไหนที่ดีกว่าตนกัน

 

 

นางกลับแพ้ให้องค์หญิงที่มีดีแค่เอาแต่ใจอวดดีถึงสองครั้ง และยังถูกนางเหยียบใต้ฝ่าเท้าจนไม่สามารถกลับตัวได้

 

 

จื่อซีรู้สึกว่าสามัญสำนึกเส้นสุดท้ายที่ยืนหยัดให้นางมีสติมีเหตุผลถูกตัดขาด นางหมุนตัวทันที แล้วก้าวกลับไปทางเรือนของเซ่าอี๋อย่างรวดเร็ว

 

 

นางจะถามเสวียนอี่ซึ่งๆ หน้าว่า นางรู้สึกอย่างไรกับฝูชาง และรู้สึกอย่างไรกับเซ่าอี๋กันแน่ นางทนมองเรื่องอย่างนี้ต่อไปไม่ไหว ในโลกนี้ยังมีความยุติธรรมอยู่อีกไหม

 

 

จื่อซีออกแรงผลักประตู นางอยากจะทำเสียงดังสร้างความตกใจให้พวกเขา จะได้ให้เซ่าอี๋รู้ว่านางไม่ใช่พวกที่มีสัมพันธ์รักๆ ใคร่ๆ อะไรกับเขาแล้วจะสะบัดมือทิ้งไปอย่างเทพธิดาไร้ราคาอย่างนั้นได้ และจะได้ให้เสวียนอี่รู้ด้วยว่า นางทำร้ายตนมากมายขนาดไหน

 

 

แต่ว่าในห้องกลับว่างเปล่า นางเดินจากด้านนอกเข้าไปด้านใน เดินกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง แต่ว่าก็ยังไม่เห็นเงาของเซ่าอี๋เลย เมื่อครู่นี้นางเห็นชัดๆ ว่าเขาอุ้มเสวียนอี่เข้ามา

 

 

จื่อซีผลักประตูหลังของเรือน กลับเห็นด้านหลังเรือนมีเทพขุนนางในชุดสีดำยืนอยู่หลายคน บนชุดปักลายปักษาสีทองซึ่งเป็นตรานักรบเทพขุนนางตระกูลชิงหยางเอาไว้จนเต็ม นางนิ่งอึ้งไปอย่างมึนงง

 

 

เหล่าเทพขุนนางเห็นนางบุกเข้ามาหลังเรือนก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ แต่ทว่าท่านชายเป็นพวกเที่ยวเล่นเสเพลมาตลอด เทพธิดาคนนี้เกรงว่าคงจะเป็นหนึ่งในบรรดาสาวๆ ที่เขาไปเล่นสนุกด้วย พวกเขาจึงได้แต่พยักหน้าทำความเคารพเงียบๆ

 

 

จื่อซีเหม่อไปนาน แล้วพึมพำว่า “เซ่าอี๋เล่า”

 

 

เทพขุนนางกล่าวเสียงเรียบว่า “ท่านชายรู้สึกไม่ค่อยดีนัก จึงขอลากลับเมืองฉยงซางไปแล้ว เมื่อความอบอุ่นมาถึงก็จะลงมาโลกเบื้องล่าง เทพธิดาไม่ต้องกังวล”

 

 

กล่าวจบ เหล่าเทพขุนนางต่างก็คารวะแล้วถอยหลังหายไปในความมืด

 

 

ตระกูลชิงหยางยังมีรู้สึกไม่ดีด้วยหรือ เขาพาเสวียนอี่กลับไปเมืองฉยงซางสินะ พากลับไปพบท่านพ่อท่านแม่ของเขาหรือ พวกเขาไปถึงขั้นนี้กันแล้วหรือ

 

 

จื่อซียังคงยืนนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม นางควรจะไปไหนดี หรือว่าต้องตามไปที่เมืองฉยงซางงั้นหรือ เทพธิดาจื่อซีเอ๋ย ศักดิ์ศรีและความเย่อหยิ่งของเจ้าเล่า

 

 

 

 

จื่อซีนิ่งงันมองแสงอัสดงสีแดงที่งดงามบนขอบฟ้า นางช่างโง่งมจริงๆ ในโลกนี้ นางคือผู้ที่โง่งมที่สุดแล้ว