บทที่ 134 ฉยงซางแห่งสวรรค์ชั้นเก้า

บุหลันเคียงรัก

ลมที่เจือกลิ่นอายโบราณปะทะเข้าที่ใบหน้า กลิ่นอายที่ไม่คุ้นเคยทำให้เสวียนอี่ขยับตัวน้อยๆ และลืมตาขึ้นอย่างมึนงง

 

 

ภาพที่ปรากฏเข้ามาในสายตาคือเศษซากแดนเทพที่สลับไปด้วยสีขาวและดำอย่างไม่เป็นระเบียบ ราวกับผ้าแถบที่ลอยตัวอยู่ในคลองจักษุมิปาน เสียงของเซ่าอี๋ดังขึ้นมาจากเหนือศีรษะ “ตื่นแล้วหรือ พวกเราเองก็กำลังจะถึงแล้วพอดี”

 

 

ก่อนหน้านี้หมดสติไปเพราะพลังเทพหมดเกลี้ยง ทำให้เมื่อตื่นขึ้นมาเสวียนอี่จึงรู้สึกเวียนศีรษะและตาลาย ภาพตรงหน้ามัวไม่ชัดเจน นางฝืนคลึงขมับและกล่าวด้วยเสียงอ่อนแรง “…ที่นี่คือที่ไหน”

 

 

“ในอดีต สมัยที่ยังไม่มีประตูสวรรค์ทิศใต้ เหล่าเทพที่ชอบลงไปเที่ยวเล่นที่โลกเบื้องล่างล้วนแต่ต้องสร้างทางของตนขึ้นมาเอง ที่นี่คือหนึ่งในทางสมัยโบราณ”

 

 

ทำไมฟังดูแล้วช่างไม่เหมือนความจริง เขาไปขุดเอาทางสมัยโบราณมาจากที่ไหน

 

 

เสวียนอี่มองอย่างสงสัย ทันใดนั้นเบื้องหน้าพลันเต็มไปด้วยแสงสว่าง ทำเอาดวงตาของนางเจ็บปวดหาใดเปรียบจนได้แต่ต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดเอาไว้ พริบตาต่อมา สายลมที่บริสุทธิ์และร้อนแรงของแดนเทพก็เข้ามาล้อมพวกเขาไว้ พวกเขากลับมาที่แดนเทพแล้วจริงๆ !

 

 

เสียงของเซ่าอี๋ฟังดูราบเรียบและดูเหินห่าง” ทางเดินนี้ท่านพ่อของข้าเป็นคนสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ อก่อน ตอนนั้นข้ายังมักจะใช้ทางนี้ลงไปเที่ยวเล่นที่โลกเบื้องล่างอยู่บ่อยครั้ง” เขาใช้ขนหัวใจหงส์เส้นหนึ่งเป็นของตอบแทนถึงได้มาที่นี่ได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ

 

 

เป็นมหาเทพรุ่นก่อนของตระกูลชิงหยาง เขาไม่ใช่ว่าร่างกายอ่อนแอหรือ แล้วทำไมถึงได้สร้างทางเดินโบราณได้

 

 

เสวียนอี่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ นางรู้สึกว่าแสงสว่างอ่อนลงไปบ้างแล้วจึงลดมือลง เห็นเพียงใต้เท้าของนางมีภูเขาไฟลูกใหญ่ลอยอยู่เหนือทะเลเมฆ ในเขาเต็มไปด้วยลาวา และในลาวาเหล่านี้ก็ปลูกต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงอยู่เต็ม ในฤดูใบไม้ร่วงของแดนเทพ ใบของต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงมีสีสันสดใสตระการตามาก

 

 

ที่รากของมัน ศิลาเพลิงหมื่นปีที่มีเฉพาะในเมืองฉยงซางเท่านั้นกำลังถูกเผาอยู่ในลาวาจนกลายเป็นสีขาว

 

 

ภายในปากปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่สร้างเมืองสีขาวไว้เมืองหนึ่ง ลูกหงส์ห้าสีและหงส์โบยบินอยู่เหนือเมืองอย่างอิสรเสรี เมื่อเห็นเซ่าอี๋มา พวกมันก็เข้ามาใกล้อย่างสนิทสนม และเหมือนว่าพวกมันจะรู้สึกถึงไอเย็นของตระกูลจู๋อินได้จึงรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ท้องฟ้าที่นี่สว่างสดใสกว่าเขาจงซานหลายเท่า เป็นท้องฟ้าสีฟ้าที่อ่อนจางเบาบางที่สุด มวลเมฆเคลื่อนคล้อยพันเกี่ยวเข้าด้วยกัน ที่แท้สวรรค์ชั้นเก้าก็มีหน้าตาเป็นอย่างนี้ สว่างเสียจนนางไม่ชอบใจเลยจริงๆ

 

 

เสวียนอี่ใช้แขนเสื้อปิดตาเอาไว้ นางได้ยินเซ่าอี๋กล่าวว่า “องค์หญิงตระกูลจู๋อินที่แต่งเข้ามาเมื่อก่อน ต่างก็มีห้องนอนและผ้าปิดตาของตัวเองโดยเฉพาะ เดี๋ยวข้าจะให้เทพีรับใช้ไปเตรียมให้เจ้า”

 

 

ใครแต่งมาที่นี่กัน! เสวียนอี่ขมวดคิ้วไม่พูดจา

 

 

เมืองสีขาวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เซ่าอี๋ร่อนลงบนแท่นหยกสูงสีแดงราวกับเลือดอย่างแผ่วเบา เทพขุนนางรอบด้านต่างคารวะต้อนรับ “ท่านชายกลับมาแล้ว องค์หญิงมาเยี่ยมเยียน พวกข้าขอน้อมคารวะ”

 

 

มีเทพรับใช้อยากจะมารับเสวียนอี่ไปจากเขา แต่เซ่าอี๋เบี่ยงตัวน้อยๆ “ไม่ต้อง ข้าเอง”

 

 

แท่นหยกสูงไม่มีบันได เขากระโดดไปริมแท่น ด้านล่างเป็นหุบเขาลึกถึงหมื่นจั้ง ทิวทัศน์ของเมืองฉยงซางอยู่ในหุบเขานี้ ต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงจำนวนมาก ตำหนักที่ทั้งสูงทั้งแหลม ไม่เหมือนกับหมอกที่ปกคลุมเขาจงซานเอาไว้เลย ทั้งยังไม่เหมือนกับกลุ่มตำหนักหมื่นเทพที่โอ่อ่าน่าเกรงขามด้วย กระนั้นก็มีความงดงามหรูหราและความประณีตที่ต่างออกไป

 

 

เซ่าอี๋พลันกระโดดลงไปจากแท่น แขนเสื้อยาวโบกพัดราวกับปีก ร่วงลงไปยังหุบเขาลึกหมื่นจั้งอย่างสบายๆ เสวียนอี่นิ่งงันไปครู่หนึ่งถึงนึกขึ้นได้ว่า เผ่าหงส์ฟ้าเก้าสวรรค์ล้วนมีปีก จึงไม่ต้องสนใจข้อจำกัดของจวนเทพ

 

 

บินวนเวียนไปมาและมุ่งไปด้านหน้า ไม่นานเมืองฉยงซางที่แสนงดงามและกว้างใหญ่ไพศาลก็ปรากฏอยู่ใต้เท้า ยอดเขาผลุบๆ โผล่ๆ เห็นอยู่ตามทาง บนยอดเขาเหล่านั้นกลับเป็นหิมะขาวโพลน ในผืนหิมะนั้นเต็มไปด้วยต้นสนหมื่นปีที่เห็นได้บ่อยในเขาจงซาน ไอเย็นที่คุ้นเคยล้อมรอบร่างของเสวียนอี่เอาไว้ ทำให้ในใจนางพลันเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

 

 

เซ่าอี๋เปิดเขตเมฆาป่าหิมะเข้าไป ภายในนั้นมีทิวทัศน์เหมือนกับวิมานม่วงไม่มีผิด เพียงแค่ไม่มีต้นตี้หนี่ว์ซางเท่านั้น ภูเขาทั้งลูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณแปลกตา

 

 

“ที่นี่เคยเป็นที่ที่ท่านย่าทวดของข้าอยู่มาก่อน ชื่อว่าตำหนักหยวนจัน คิดว่าตำหนักในวิมานม่วงเจ้าเองก็คงชื่อนี้สินะ”

 

 

เซ่าอี๋วางนางลงด้านหน้าตำหนัก จากนั้นก็มีเทพีรับใช้หลายคนเดินออกมาจากในตำหนักแล้วโค้งตัวคารวะ

 

 

“เจ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะมาใหม่”

 

 

เขาหมุนตัวจะออกไป เสวียนอี่อดไม่ได้ สุดท้ายก็กล่าวออกมาว่า “ท่านย่าทวดของท่าน? ข้าจำได้ว่าในรุ่นนั้นตระกูลทั้งสองของพวกเราไม่ได้มีการแต่งงานกัน แต่เป็นมหาเทพสององค์ที่ทำให้เกิดทะเลหลีเฮิ่นต่างหาก”

 

 

เซ่าอี๋นิ่งคิดไปนาน แววตากลอกไปมาแล้วอมยิ้มน้อยๆ “เจ้าพูดถูก ข้าจำผิดไปแล้ว”

 

 

นี่มันอะไรกัน! เสวียนอี่กล่าวเสียงเย็น “ข้าไม่อาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้ว พาข้าไปหาชิงเยี่ยนกับท่านพ่อ”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวเสียงเรียบ “ตอนนี้เจ้าสกปรกเกินไป ข้าทนมองไม่ไหว หากเจ้าสะอาดเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้น”

 

 

เสวียนอี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกมาช้าๆ นางหมุนตัวเดินไปยังตำหนักหยวนจัน เทพีรับใช้ทั้งหลายก็รีบตามไปทันที

 

 

การตกแต่งภายในตำหนักเหมือนกับตำหนักหยวนจันของนางที่เขาจงซานไม่มีผิด นอกจากการจัดวางเครื่องเรือนจะดูโบราณมากเหล่านั้นแล้ว ยังมีของโบราณบางอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย

 

 

อ่างอาบน้ำที่ทำจากหยกขาวขนาดใหญ่ได้เตรียมน้ำสะอาดไว้แล้ว เสวียนอี่ถอดชุดแล้วก้าวลงไปช้าๆ นางมองโคมไฟสัมฤทธิ์ที่ดูโบราณและเรียบง่ายบนกำแพงอย่างเหม่อลอย

 

 

ดูไปแล้วตระกูลชิงหยางและตระกูลจู๋อินแต่ก่อนน่าจะเป็นอย่างที่เซ่าอี๋เล่า ทั้งสองมีสายสัมพันธ์อันดีต่อกันมาก องค์หญิงตระกูลจู๋อินที่แต่งเข้ามายังมีวิมานม่วงเหมือนกับที่เขาจงซานไม่ผิดเพี้ยน เห็นอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าคู่สามีภรรยาต้องมีความรักลึกซึ้งกันมากแน่ๆ หากเป็นอย่างนี้ เขาจงซานเองก็มีที่ที่มีเปลวไฟปะทุออกมาเหมือนกับเมืองฉยงซางเช่นกัน ซึ่งก็คือหุบเขาหลงเหมียนที่ฉีหนานถูกทำโทษให้ไปยืนนั่นเอง

 

 

มหาเทพจงซานไม่ชอบที่นั่น และยังผนึกไว้ไม่ยอมให้นางกับชิงเยี่ยนเข้าไปใกล้ได้ มาคิดๆ ดูแล้ว คิดว่าที่นั่นเองก็น่าจะมีเขตเมฆที่พำนักเฉพาะขององค์หญิงตระกูลชิงหยางที่แต่งงานเข้าเขาจงซานไปตรงนั้นอยู่

 

 

ความสัมพันธ์ดีอย่างนี้ แล้วไฉนอยู่ดีๆ กลับกลายเป็นปรปักษ์กันเสียได้

 

 

เสวียนอี่อาบน้ำจนสะอาดหมดจด เหล่าเทพีก็นำอาภรณ์สวรรค์มากมายหลายชนิดเข้ามาให้นางเลือกสรร ล้วนแต่เป็นรูปแบบโบราณที่นางไม่เคยเห็นทั้งสิ้น ดำสนิทไปหมด องค์หญิงตระกูลจู๋อินคนไหนกันที่ชอบสีน่าเกลียดอย่างนี้ ช่างไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย

 

 

นางฝืนใจเลือกอยู่นาน จนเห็นว่าไม่มีให้เลือกแล้ว จึงได้แต่ต้องชี้เอาชุดผ้าไหมสีดำที่ยังพอดูได้ตัวหนึ่งมา เหล่าเทพีต่างคอยรับใช้แต่งตัวให้นางด้วยความเคารพ พวกนางใช้หวีทองค่อยๆ แปรงผมที่เปียกชื้นของนางทีละช่อๆ จนกระทั่งแห้งหมาดแล้วจึงสวมวงแหวนสีทองเข้าไป พร้อมกับเอาผ้าปิดตาสีดำมาคาดให้นางด้วย

 

 

เสวียนอี่รู้สึกว่าตัวนางดูแล้วน่าจะแก่ขึ้นมาสักแสนปี นางเป็นพวกรักสวยรักงามมาตลอด ขนาดใส่ชุดนักรบนางยังต้องคิดอย่างสุดกำลังเพื่อแต่งให้สวยขึ้นมาหน่อย ตอนนี้ถูกจับมาแต่งตัวแบบนี้ นางไม่ยินดีเอามากๆ นางจึงเดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เหล่าเทพีรับใช้ที่ติดตามมากล่าวถามเสียงเบา “องค์หญิงอยากได้ขนมสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

ในใจนางยังคงกังวลเรื่องชิงเยี่ยนกับท่านพ่อ ไม่มีอารมณ์มากินขนมดื่มชา จึงเพียงแต่โบกมือปัด เหล่าเทพีก็ถอยไปอย่างรู้งาน

 

 

ออกไปจากตำหนักหยวนจัน ทิวทัศน์เหมือนกันแต่ไม่ใช่ที่เดียวกัน เสวียนอี่เดินนวยนาดจนไปถึงข้างพุ่มดอกโบตั๋น วิมานม่วงของนาง ที่ตรงนี้น่าจะปลูกต้นตี้หนี่ว์ซาง

 

 

นางแหวกกลีบดอกโบตั๋นที่งดงามนั่นช้าๆ ทีละกลีบ เด็ดออกมาวางไว้บนฝ่ามือแล้วบีบให้แตก เมื่อได้พบชิงเยี่ยนและท่านพ่อแล้ว นางก็จะต้องคิดหาวิธีให้พวกเขาได้ออกไปจากเมืองฉยงซางนี้ให้ได้ แต่ไม่รู้ว่ามหาเทพของตระกูลชิงหยางอยู่ที่ไหน แล้วใช้วิธีอะไรมาควบคุมตระกูลจู๋อินเอาไว้

 

 

นางกำลังจมอยู่ในภวังค์ หางตาก็เห็นเงาร่างหนึ่งก้าวเข้ามาในเขตเมฆของวิมานม่วง ผู้ที่มาสวมใส่ชุดคลุมยาวสีเหลืองสุภาพงามตา ขับเน้นใบหน้าดุจหยกยอดมงกุฎ รูปโฉมที่หล่อเหลางดงามจนวิญญาณแทบจะหลุดลอยตามไปนั้นร้อนแรงราวกับสุราฤทธิ์แรงมิปาน เขาก็คือเซ่าอี๋ ก็คงมีแต่เขาที่สามารถสวมใส่ชุดสีฉูดฉาดขนาดนี้แล้วยังโดดเด่นได้ขนาดนี้

 

 

เขายิ้มจนคิ้วเลิกขึ้นสูงพร้อมพิจารณาเสวียนอี่ ก่อนจะเดินเข้ามาแล้วพลันย่อตัวลงไป ดึงเอาก้านโบตั๋นที่ติดอยู่กับชายกระโปรงอ่อนนุ่มของนางออก เขาเงยหน้าแล้วทอดเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นท่านย่าทวดมาก่อน แต่ว่าท่าทางตอนที่นางอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยหิมะตอนนั้นคงไม่ได้ต่างกับเจ้านัก”

 

 

เสวียนอี่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพลันกล่าวว่า “ท่านเป็นใครกันแน่”

 

 

นางไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นเพียงเทพตระกูลชิงหยางที่มีอายุเพียงห้าหมื่นปีองค์หนึ่ง คำพูดที่เขาเอ่ย เรื่องที่เขาทำ มันเกินไปกว่าขอบเขตมากนัก หนำซ้ำยังให้ความรู้สึกไม่เข้ากันไปเสียทุกอย่าง ไม่สามารถจะตัดสินด้วยเหตุผลธรรมดาได้

 

 

เซ่าอี๋ลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มแล้วจูงมือนางเดินออกไปจากเขตเมฆ” ในเมื่อเจ้าฉลาดถึงขนาดนี้ แล้วทำไมเจ้าไม่ลองเดาเองดูเล่า”