บทที่ 135 วิญญาณมหาเทพหวนคืน

บุหลันเคียงรัก

ยอดตำหนักที่ประดับด้วยอัญมณีหลากสีที่งดงามหรูหรา รองเท้าสีทองฝีมือประณีตโผล่ออกมาจากหน้าต่างบานใหญ่ รองเท้าพื้นไม้เหยียบไปบนพื้นแก้วสีดำจนเกิดเสียงกังวานและเยียบเย็น คล้ายกับจังหวะการเต้นหัวใจของเสวียนอี่ในยามนี้

 

 

ภายในหอสูงของตำหนักที่ราวกับกรงนกขนาดใหญ่ของเมืองฉยงซางนี้ นางได้พบกับท่านพ่อและชิงเยี่ยนแล้ว หากเป็นก่อนหน้านี้ นางยังพอจะมีความหวังสุดท้ายอยู่บ้าง บางทีเซ่าอี๋อาจจะกำลังหลอกนาง แต่พอได้เห็นพวกเขาแล้ว ความหวังสุดท้ายนั้นก็หายไปจนสิ้น

 

 

พวกเขาถูกจัดให้อยู่ในห้องนอนงดงามหรูหรา ทุกอย่างถูกเตรียมไว้พร้อมสรรพ ทว่าพวกเขากลับไม่มีใครได้สติเลย กระทั่งให้พวกเขาคิดหาวิธีหาโอกาสหนีออกไปก็ยังไม่มี

 

 

นางตรวจดูร่างกายของพวกเขาอย่างละเอียดแล้ว พวกเขาไม่ได้บาดเจ็บอะไร แต่ว่าท่านพ่อของนางกำที่หน้าอกแน่นราวกับกำลังเจ็บปวดทรมาน ส่วนชิงเยี่ยนหมดสติไปเพราะเสียพลังเทพไปจนหมด

 

 

เสวียนอี่พลันหยุดลงหน้าหน้าต่างสี่เหลี่ยมบานใหญ่บานหนึ่ง นางจ้องมองท้องฟ้าที่สว่างไสวด้านนอก เสียงฝีเท้าของเซ่าอี๋เองก็หยุดห่างไปสามก้าว เขากล่าวเสียงอบอุ่นว่า “รู้สึกแย่ใช่หรือไม่ ข้าเตือนแล้วว่าทางที่ดีเจ้าอย่ามองจะดีกว่า”

 

 

นางไม่ได้มองเขา เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “ชิงเยี่ยนเป็นอะไรไป”

 

 

เซ่าอี๋จับขอบหน้าต่างเอาไว้แล้วมองไปยังต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงสวยสดด้านล่างพร้อมกล่าวเบาๆ “ถึงจะวางใจว่าองค์ชายน้อยไม่มีทางหนีออกไปเองได้ แต่ว่าหากเจ้ามา คิดว่าเขาจะต้องโมโหมากแน่ จึงได้แต่ต้องให้เขาใช้พลังให้หมดแล้วหลับใหลไปสักวันสองวันก่อน”

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงเย็นชา “แล้วท่านพ่อของข้าล่ะ มหาเทพตระกูลชิงหยางเอาขนหัวใจให้เขา? ให้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

ครั้งที่แล้วตอนที่เซ่าอี๋เอาขนหัวใจหงส์เส้นที่สามให้นาง แม้กระบวนการจะยาวนานและเจ็บปวดทรมานมาก แต่ว่านางไม่เชื่อว่าท่านพ่อจะยอมให้ตระกูลชิงหยางทำตามใจ หากว่ามหาเทพสู้กัน โลกเบื้องล่างจะยังไม่มีเสียงหรือข่าวคราวอะไรได้อีกหรือ เมืองฉยงซางยังจะเงียบสงบอย่างในตอนนี้ได้อีกหรือ

 

 

เซ่าอี๋เป่าฝุ่นบนขอบหน้าต่าง “เป็นขนหัวใจหงส์ที่ท่านพ่อให้ไว้ ไม่อย่างนั้นจะยอมให้มหาเทพที่โง่เขลาผู้นี้ทำลายเมืองฉยงซางหรือ ส่วนที่จะตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น เจ้าลองเดาดูสิ

 

 

นางพลันหมุนตัวแล้วหันกลับไปจ้องเขา เขากลับแย้มยิ้มบาง “เจ้าถามข้าตอบไม่ใช่ว่าน่าเบื่อเกินไปหน่อยหรือ ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เมืองฉยงซางก็ไม่ได้จำกัดอะไรเจ้า เจ้าอยากจะไปไหนก็ไป เจ้าเดาได้เองถึงจะน่าสนใจ”

 

 

เสวียนอี่ขมวดคิ้วมุ่น “ท่านพูดไว้ว่าหากข้ามาแล้วจะบอกเรื่องราวให้ข้ารู้”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวเนิบนาบ “ข้าเคยบอกก็จริง แต่ว่าตอนนี้ข้าไม่อยากทำอย่างนั้นแล้ว ต้องให้ข้าอยากจะบอกก่อนถึงจะพูด”

 

 

นางแทบอยากจะเข้าไปบีบคอเขาให้ขาดไปเสียเลย

 

 

เสวียนอี่หมุนตัวเดินไป แต่เพราะรู้สึกว่าเขายังตามหลังมาอีกจึงกล่าวเสียงเข้ม “ห้ามตามข้ามา”

 

 

ชายกระโปรงสีดำของนางปัดผ่านแจกันดอกไม้หยกสีเขียวทรงสูงอันหนึ่งไป เสียงรองเท้าไม้ดังใสกังวานก็ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

นางจะต้องไปดูเมืองฉยงซางนี้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เดิมคิดว่าตระกูลชิงหยางที่อยู่ในนี้หากไม่ใช่ทั้งรังก็ต้องมีอีกมากแน่ แต่คิดไม่ถึงว่ากลับว่างเปล่าไร้ผู้คนอย่างที่เซ่าอี๋กล่าวจริงๆ กระทั่งเทพขุนนางยังน้อยกว่าจวนเทพเสียอีก ครั้นเดินผ่านระเบียงคดที่กว้างขวางไป ลมที่ร้อนราวกับเปลวเพลิงก็พุ่งเข้ามาใส่หน้า หอสูงในตำหนักของที่นี่ล้วนแต่สร้างขึ้นจากศิลาเพลิงหมื่นปีทั้งนั้น

 

 

ศิลาเพลิงหมื่นปี เป็นหินที่มีเฉพาะเมืองฉยงซางเท่านั้น เข็มที่แทงทะลุหัวใจนางเมื่อคราวนั้นก็คือเข็มศิลาเพลิงหมื่นปี ชาวเผ่าเขาถงซานผลิตต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิง ตระกูลชิงหยางเองจึงไม่อาจแยกห่างจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้ได้ ดูแล้ว สภาพที่น่าอนาถในตอนนั้นเองก็คงเป็นแผนการของตระกูลชิงหยางที่สร้างขึ้นมาเช่นกัน

 

 

หน้าอกบีบรัดแน่นเป็นระยะ เสวียนอี่ค่อยๆ ผ่อนลมในอกออกมาช้าๆ ตอนที่นางเพิ่งได้เข้าตำหนักหมิงซิ่ง มหาเทพไป๋เจ๋อก็เคยถามนางแล้ว เผ่าเขาถงซานไม่นับว่าเป็นเผ่าที่ร้ายกาจอะไร แล้วจะความกล้าที่ไหนมาทรมานฮูหยินมหาเทพจงซานจนดับสูญ และยังเอาความกล้าที่ไหนมาทำให้ทายาทของตระกูลจู๋อินบาดเจ็บสาหัส

 

 

แต่หากว่ามีตระกูลชิงหยางคอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง ทั้งหมดนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผลของมันแล้ว

 

 

เพราะทำให้นางบาดเจ็บสาหัสได้ ถึงได้ให้เซ่าอี๋เอาขนหัวใจหงส์สองเส้นมาดึงนางไว้จนถึงตอนนี้ แล้วทำไมถึงต้องเป็นเซ่าอี๋ ทำไมถึงไม่ใช่มหาเทพตระกูลชิงหยางที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทุกอย่างผู้นั้น

 

 

ชุดผ้าไหมสีดำถูกลมพัดจนแทบแนบติดไปกับร่าง เสวียนอี่มองไปยังเมืองฉยงซางที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา บางทีเซ่าอี๋อาจจะพูดไว้ไม่ผิด นางคือคนที่เห็นแก่ตัวมาก ดังนั้นความเฉลียวฉลาดของนางจึงเติบโตขึ้นภายใต้ความเห็นแก่ตัวของนาง หากเกี่ยวกับเรื่องอื่นก็มักจะไม่ค่อยใส่ใจอะไร

 

 

หากว่านางเข้าใจเรื่องได้เร็วกว่านี้…

 

 

เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านหลัง เสวียนอี่หันกลับไปปรายตามอง เทพบุตรในชุดคลุมสีเหลืองตัวยาวยังคงตามมาประหนึ่งศัตรูที่คอยตามอยู่ไม่ห่าง

 

 

“ตอนนั้นท่านพ่อของข้าทำลายเผ่าเขาถงซานไปด้วยความโมโห ตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อย พลังเทพหมดจนหมดสติไป” จู่ๆ นางก็กล่าวเสียงเรียบ “ขนหัวใจใส่เข้าไปในตอนนั้นสินะ ดังนั้นมหาเทพตระกูลชิงหยางถึงได้มีร่างกายอ่อนแอ”

 

 

มหาเทพจงซานที่โตเต็มวัยแล้วไม่เหมือนกับนาง อาการบาดเจ็บที่ได้รับก็ไม่เหมือนกัน มหาเทพตระกูลชิงหยางรับผลกระทบจากขนหัวใจไม่ไหวก็เป็นเรื่องธรรมดา ท่านพ่อปิดตัวอยู่ในตำหนักฉางเซิงนานเกือบหมื่นปี และในวันหนึ่งอาการเจ็บกลับค่อยๆ ดีขึ้นๆ นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาจากการตัดสัมพันธ์ขนหัวใจหรอกหรือไร

 

 

เซ่าอี๋มองร่างภายใต้ชุดผ้าไหมอ่อนนุ่มตัวบางของนางด้วยรอยยิ้ม “ปลาดุกอุยน้อยฉลาดจริงๆ แต่ว่า ร่างกายท่านพ่อข้านั้นเป็นมาแต่กำเนิด ไม่ใช่เพราะขนหัวใจ”

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ท่านพูดว่าเรื่องที่ยากลำบากมากเรื่องนั้น ที่แท้ก็ตั้งใจจะให้ท่านพ่อข้าไปทำอย่างนั้นหรือ”

 

 

เซ่าอี๋กอดอกไว้แล้วยืนพิงราวระเบียงคด “ไม่ผิด แต่น่าเสียดายที่เขาบาดเจ็บหนักเกินไป นอกจากนี้พรสวรรค์ยังแย่เกินไป น่าจะทำอะไรไม่ได้นัก พรสวรรค์ขององค์ชายน้อยเองก็ยังเป็นรองเจ้าอยู่บ้าง ดังนั้นถ้าเป็นตระกูลจู๋อินอย่างเจ้าที่สามารถแปลงร่างเป็นคนได้ตั้งแต่อายุสองร้อยปีก็จะดีหน่อย”

 

 

น้ำเสียงนุ่มนวลของเสวียนอี่แฝงไปด้วยความเย็นชา “เพราะเรื่องบ้าๆ เรื่องนี้ เจ้ากลับสมคบคิดกับเผ่าเขาถงซานทำให้ท่านแม่ของข้า…”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของเซ่าอี๋ค่อยๆ เลือนหายไป แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างน้อยนักที่จะได้เห็น แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าไม่ได้สั่ง เข็มเล่มนั้นเป็นองค์หญิงสามที่มาขอจากข้าไป แต่ว่านางทำอะไรนั้น ตระกูลชิงหยางมารู้เรื่องภายหลัง”

 

 

“ท่านคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวช้าๆ ว่า “เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เรื่องนี้มาจากท่านพ่อของเจ้าที่ให้ความหวังองค์หญิงสามหลายต่อหลายครั้งว่าจะให้นางเป็นฮูหยินมหาเทพ นางทำอะไรข้าเองก็คาดเดาไม่ถึง ภายหลังเจ้าบาดเจ็บหนักแล้ว ข้าก็เพียงแค่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์เท่านั้น”

 

 

จริงๆ แล้วเขากำลังหาโอกาสที่เหมาะสมบีบบังคับให้มหาเทพจงซานออกไปจากเขาจงซาน เพื่อจะได้ใช้ขนหัวใจได้สะดวก ถึงอย่างไรชื่อเสียงการต่อสู้ของมหาเทพจงซานก็ยิ่งใหญ่มาก เขาจะต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้ถูกล่วงรู้เข้า ใครจะนึกไปถึงว่าองค์หญิงสามกลับคลุ้มคลั่งถึงขนาดจับองค์หญิงตระกูลจู๋อินไปพร้อมกับเทพีชุ่ยเหอ และยังทำลายทั้งคนอื่นรวมถึงตนเองด้วย

 

 

“ท่าน?” เสวียนอี่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ตระกูลชิงหยางให้เทพอายุน้อยผู้หนึ่งมารับบาปไว้ แล้วมหาเทพของพวกท่านเล่า ข้าอยากพบเขา!”

 

 

เซ่าอี๋หัวเราะออกมา ลูบเรือนผมนางที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิงนั่นพลางกล่าวเสียงเบาและนุ่มนวล “ความสามารถหลอกถามของเจ้านับวันจะยิ่งสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ไม่เลวเลย ใส่ขนหัวใจเข้าไปให้เจ้าไปจัดการเรื่องราวแทนข้า ล้วนแต่เป็นแผนการของข้าเอง ท่านพ่อก็แค่คนที่คอยช่วยเหลือเท่านั้น ส่วนที่ว่าข้าเป็นใคร เจ้าก็ค่อยๆ เดาดู”

 

 

กล่าวจบ เสวียนอี่พลันดีดนิ้วขึ้น มังกรน้ำแข็งขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาแล้วคำรามก่อนจะพุ่งเข้าไปรัดเขาทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ขณะกำลังคิดจะรัดแน่นขึ้น กลับเห็นรอบกายเขามีเพลิงสีน้ำเงินลุกขึ้นมา ทำให้มังกรน้ำแข็งของนางละลายไปในพริบตา อัญมณีสีแดงเพลิงที่หน้าผากเม็ดนั้นของเขาเปล่งประกายสว่างบาดตามากกว่าปกติหลายเท่าตัว

 

 

เสวียนอี่ไม่ได้เรียกมังกรน้ำแข็งออกมาอีกครั้ง นางเงยหน้ามองเขาอยู่นาน เซ่าอี๋ใช้แววตาที่ชื่นชมและทอดท้อมองสบกับนาง

 

 

ไม่นาน นางก็เบนสายตาไป มือจับราวระเบียงไว้พร้อมเอ่ยปากว่า “มหาเทพจงซานที่ทะเลาะกับท่านจนทำให้เกิดทะเลหลีเฮิ่นขึ้นมานั่น พวกท่านมีความแค้นอะไรกัน”

 

 

เซ่าอี๋อดไม่ไหวเข้าไปยืนเคียงข้างนาง เขาก้มหน้าลงมองใบหน้าที่ราบเรียบและขาวซีดของนาง “ทำไมถึงไม่ถามเรื่องอื่น”

 

 

อย่างเช่นมหาเทพเทพชิงหยางรุ่นก่อนนั้นทำไมถึงได้กลายมาเป็นเทพหงส์อายุน้อยอย่างทุกวันนี้ได้ อย่างเช่น ตบะระดับสุดยอดนี้ของเขานั้นจะสามารถคงอยู่ได้นานเท่าไหร่ หรืออย่างเช่นว่าทำไมเขาถึงได้ยอมเปิดเผยฐานะของตนออกมา ฐานะที่แต่ก่อนเขาปิดบังไว้ได้อย่างมิดชิด

 

 

เพราะว่านางไม่สนใจ เสวียนอี่เท้าคางแล้วหรี่ตาลงมองไปยังต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงไกลๆ เนิ่นนาน นางถึงได้กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านชื่ออะไร”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวเสียงต่ำว่า “เซ่าอี๋ มหาเทพชิงหยางเซ่าอี๋”

 

 

ที่แท้เขาก็ยังชื่อนี้ นางสูดลมหายใจเข้า “มหาเทพชิงหยางเซ่าอี๋ ท่านจะให้ข้ามาทำเรื่องยากลำบากอะไรกันแน่”