บทที่ 136 ผู้ที่ถูกทิ้งไว้

บุหลันเคียงรัก

อัญมณีสีแดงสดดุจเปลวเพลิงค่อยๆ อ่อนจางลง หน้าผากของเซ่าอี๋มีเหงื่อผุดพราย ร่างของเทพหงส์อายุน้อยยังไม่สามารถรับเอาตบะของมหาเทพชิงหยางที่อยู่ในจุดสูงสุดและมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเอาไว้ได้ หนำซ้ำระยะนี้ยังใช้อยู่บ่อยครั้ง เขาจึงรู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก

 

 

เขาไม่ได้เช็ดเหงื่อที่ไหลลงมา กล่าวเสียงเรียบ “ในเมื่อเจ้าฉลาดขนาดที่สามารถทายได้ในทันทีว่าข้าคือใคร ก็คงจะสามารถเดาได้สินะว่าข้าอยากให้เจ้าไปทำอะไร”

 

 

เรื่องนี้นางเดาไม่ออกจริงๆ

 

 

เสวียนอี่คิดกลับไปมาอย่างวุ่นวายใจแล้วกล่าว “ท่านเป็นเทพมาจนเบื่อแล้ว เลยอยากจะให้ข้าดูดเอาไอขุ่นมัวของทะเลหลีเฮิ่นไว้แทนท่าน ให้ท่านกลายเป็นราชาเผ่ามารหรือ”

 

 

เซ่าอี๋หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ความคิดเจ้าที่อยากจะให้ข้าเป็นราชาเผ่ามารนี้ช่างฝังลึกเสียจริง”

 

 

น้ำเสียงอ่อนหวานของเสวียนอี่แฝงไปด้วยความเย็นชาและเสียดสี “ราชาเผ่ามารก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถทำเรื่องเสียสติอย่างท่านได้เลย”

 

 

เซ่าอี๋หลุมยิ้ม “ปลาดุกอุยน้อย ตอนนี้ไอขุ่นมัวของโลกเบื้องล่างเข้มข้นมาก เผ่ามารกำเริบเสิบสาน เหล่าเทพได้แต่ต้องออกคำสั่งให้ลงไปฆ่ามารเพื่อไม่ให้ทุกอย่างวุ่นวาย ซ้ำยังทำให้เหล่านักรบต้องดับสูญไปมากเพราะเหตุนี้ มันแย่มากเจ้าว่าไหม”

 

 

ใช่สิ มันแย่มาก แล้วจะอย่างไร

 

 

“พูดถึงสาเหตุแล้ว ก็เพราะทะเลหลีเฮิ่น นี่เป็นหายนะที่พวกเราทั้งสองตระกูลสร้างขึ้น ถูกไหม”

 

 

ใช่ แล้วอย่างไร

 

 

“ในเมื่อเป็นภัยพิบัติที่พวกเราสองตระกูลสร้างขึ้น ก็ต้องให้พวกเราทั้งสองตระกูลช่วยกันแก้ไข จะไปสร้างความยุ่งยากให้คนอื่นไม่ได้ ถูกไหม”

 

 

“ท่านแน่ใจว่าอยากจะร่วมมือกันระหว่างสองตระกูล ไม่ใช่ว่าให้ข้าเป็นฝ่ายแบกไว้คนเดียวหรือ” ดวงตาที่ถูกผ้าสีดำคาดเอาไว้ของนางเองก็ฉายแววเยาะหยันออกมาเช่นกัน

 

 

เซ่าอี๋กล่าวอย่างผู้บริสุทธิ์ว่า “เรื่องนี้แน่นอนว่าผู้ที่มีความสามารถก็ต้องออกแรงมากกว่า นอกจากตระกุลจู๋อินที่วิชาใดๆ ล้วนไร้ผลแล้ว ใครยังจะสามารถเข้าไปในทะเลหลีเฮิ่นแล้วยังกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยอีก ยิ่งไปกว่านั้นหากพูดถึงสาเหตุของภัยพิบัติจริงๆ แล้ว ความผิดของพวกเจ้ายังมากกว่าอยู่หน่อยด้วย จะออกแรงมากหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ”

 

 

เข้าไปในทะเลหลีเฮิ่น? นางรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวกับทะเลหลีเฮิ่นแน่ๆ ทะเลหลีเฮิ่นที่ดำมืดและลึกล้ำ ทะเลหลีเฮิ่นที่ทำให้เหล่าเทพต้องยุ่งยากวุ่นวายใจกันมาก ทำให้มหาเทพตระกูลชิงหยางที่วิญญาณหวนคืนมายังคงติดใจอยู่กับมันไม่ลืม

 

 

เซ่าอี๋เท้าคางมองชื่นชมรูปหน้าซีกหนึ่งที่งามสง่าของนางถูกแสงสาดส่อง นางกำลังเหม่อลอยนิ่งเงียบ แพขนตาที่ซ่อนอยู่หลังผ้าสีดำสั่นไหว ตอนที่อยู่ในตำหนักหมิงซิ่ง ใบหน้าของนางยังคงเต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์อวบอิ่ม ทุกวันนี้ความอวบอิ่มยังคงอยู่ ทว่าไม่ได้ดูอ่อนเยาว์อย่างเด็กสาวที่ยังไม่โตแล้ว แต่กลับมีงดงามน่าหลงใหลขึ้นมาแทน

 

 

เชอบสาวงามที่สุด ใบหน้าอย่างนางเรียกได้ว่าหาได้ยากมาก

 

 

เขายื่นมือออกไปช้าๆ พร้อมค่อยๆ เปิดผ้าปิดตาของเสวียนอี่ออกอย่างนุ่มนวลแผ่วเบาราวกับกำลังเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งอยู่ ดวงตาที่ใสกระจ่างและราบเรียบหันกลับมามองใบหน้าเขา ริมผีปากงดงามของนางขยับแล้วกล่าวเรียกเขาเสียงอ่อนหวาน “ศิษย์พี่เซ่าอี๋”

 

 

ยังเรียกเขาว่าศิษย์พี่เซ่าอี๋ เซ่าอี๋กล่าวเสียงอบอุ่น “อะไร”

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงเบา “ท่านใช้ขนหัวใจหงส์สองเส้นช่วยชีวิตข้า สำหรับตระกูลจู๋อินแล้ว นี่เรียกว่าเป็นบุญคุณใหญ่หลวง ท่านอยากจะแก้ไขเรื่องทะเลหลีเฮิ่น เรื่องที่ยิ่งใหญ่น่าเลื่อมใสอย่างนี้ ข้าเชื่อว่าไม่ว่ามันจะยากขนาดไหน ตระกูลจู๋อินก็ต้องพยายามเต็มที่อย่างไม่เสียดายชีวิตแน่”

 

 

แววตาของเซ่าอี๋ทอประกาย กะพริบปริบๆ “แล้ว?”

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ดังนั้นทำไมท่านจะต้องไม่ยอมตัดสัมพันธ์หัวใจหงส์แล้วเอาไว้เป็นประกันด้วย ขอแค่ทำตามต้องการของท่านที่เป็นผู้มีบุญคุณ ไม่ว่าอย่างไรตระกูลจู๋อินก็ต้องตอบแทนแน่ ศักดิ์ศรีตรงนี้พวกเรายังคงมีอยู่ อีกทั้งท่านคือตระกูลชิงหยาง เมื่อวิญญาณมหาเทพหวนคืนเชื่อว่าแดนเทพคงพูดคุยกันไปพักเดียวเท่านั้น ไยถึงไม่เปิดเผยแก่สาธารณชน มาทำหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องดีที่ทวยเทพต่างยินดีอยู่แล้ว แต่ท่านกลับทำราวกับกำลังแก้แค้นใหญ่หลวง นี่มันเพื่ออะไรกัน”

 

 

เซ่าอี๋เอียงคอคิด “น่าจะเพราะข้ามักจะชอบถ่อมตัว ไม่ชอบความโดดเด่น และยังระมัดระวังมากด้วยกระมัง”

 

 

เสวียนอี่หัวเราะแล้วจ้องมองเขา “พูดตามตรง ข้าไม่สนใจแก้ไขเรื่องทะเลหลีเฮิ่น ไม่ว่าจะเพื่อความสงบหรือเพื่อเหตุผลที่ยิ่งใหญ่อะไรก็ตาม อย่างไรก็แล้วแต่ เหตุผลน่าฟังเหล่านี้ต่างไม่สามารถทำให้ข้ายอมเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อภัยสวรรค์แน่ ท่านพูดเสมอว่าพวกเรามันประเภทเดียวกัน แต่ก่อนข้าคิดว่าไม่ใช่ แต่ว่าตอนนี้กลับยอมรับแล้ว พวกเราล้วนแต่เป็นพวกที่เห็นแก่ตัวที่สุดเหมือนกัน ท่านจะบอกข้าได้ไหมว่า เหตุผลจริงๆ ของท่านคืออะไรกันแน่”

 

 

ดวงตาหงส์ที่เรียวยาวและดำสนิทหรี่ลงน้อยๆ เขาเองก็จ้องไปที่นาง ทั้งคู่สบตากัน นางเริ่มต่อสู้กับเขาอย่างเงียบๆ  ดวงตานางราวกับมองทะลุทุกสิ่ง มีดน้ำแข็งคมกริบจ่ออยู่ที่คอ เขาไม่อยากรับก็ต้องรับ

 

 

กระนั้นเซ่าอี๋กลับหัวเราะออกมา ชีวิตในชาติที่แล้วและชาตินี้ของเขาช่างเต็มไปด้วยสีสันและความมีชีวิตชีวา ทั้งสุขและสำราญใจ ขณะเดียวกันเองก็รักษาหน้าที่ของเทพไว้อย่างดี เขาใช้แววตาของเทพที่มองจากสวรรค์เบื้องบนอย่างไร้น้ำใจมองไปยังสิ่งมีชีวิตทุกอย่างและเรื่องทุกเรื่องอย่างไร้ความเห็นแก่ตัว แต่กลับเห็นแก่ตัวมาก เพราะไม่เห็นแก่ตัวแต่ไร้น้ำใจ เพราะเห็นแก่ตัวจึงมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง

 

 

ผ่านไปสามล้านกว่าปี เบื้องหน้าของเขาปรากฏเทพธิดาที่รู้ใจนางหนึ่ง นางงดงามงามไร้ใครเปรียบ ทั้งเจ้าเล่ห์และเจ้าแผนการ

 

 

กลับเป็นนาง นางที่เป็นตระกูลจู๋อิน

 

 

ตระกูลจูอินที่ไม่ต่างจากเมฆดำคลุมฟ้า

 

 

เซ่าอี๋ลูบผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งแล้วกล่าวเสียงเบายิ่ง “ในเมื่อเจ้าและข้าต่างก็เห็นแก่ตัวอย่างนี้ แล้วทำไมเจ้าถึงยอมมาที่เมืองฉยงซาง หากว่าเจ้าหลบไปเสีย ไม่ได้เห็นหน้าเจ้า ข้าก็เก็บขนหัวใจหงส์กลับมาไม่ได้ เจ้าก็ยังคงใช้ชีวิตอิสระได้ต่อไป”

 

 

เสวียนอี่สบตากับเขาแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าพูดแล้วว่า ข้าไม่อยากเป็นผู้ที่ถูกทิ้งไว้คนนั้น”

 

 

ถูกทิ้งไว้และใช้ชีวิตของตนไปตามลำพัง มองอาทิตย์ขึ้นและลับฟ้า มองหิมะบนฟ้า มองทิวทัศน์มากมาย ชีวิตของเผ่าเทพยาวนานมาก ในช่วงเวลาที่ยาวนานนี้ ขอแค่มีชีวิตอยู่ก็ยังคงมีความหวังและสามารถแก้ไขได้ คิดว่าสุดท้ายแล้วอะไรๆ จะดีขึ้น แต่ว่านางไม่อยากได้

 

 

ผู้ที่ถูกทิ้งเอาไว้นั้นคือผู้ที่ทุกข์ทรมานที่สุด

 

 

เซ่าอี๋ไม่ได้กล่าวอะไรออกมานานมาก ลมพัดมาทำให้อัญมณีบนหน้าผากเขาสั่นไหวไม่หยุด ผมยาวดำสนิทกับชุดคลุมยาวสีเหลืองสะบัดพลิ้วพร้อมกัน

 

 

“จุดนี้ข้าไม่เหมือนกับเจ้า” เขาพลันยิ้มบาง “ข้าคือผู้ที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อยู่ต่อ เทียบกับการให้คนอื่นลืมข้าไม่ได้แล้ว ข้ายินดีที่จะอยู่ต่อเพื่อลืมพวกเขา”

 

 

“แล้วท่านลืมได้ไหม” เสวียนอี่โพล่งถามไป

 

 

เขาไม่ได้ตอบคำถามนี้ของนาง ใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้ม จูงมือนางไว้แล้วหมุนตัวเดินไปจากระเบียงคด “ที่จริงข้ามีจุดมุ่งหมายของตัวเองอยู่ แต่ว่าใจที่ไร้ความเห็นแก่ตัวที่อยากจะแก้ไขหายนะของทะเลหลีเฮิ่นข้าก็มีอยู่ ปลาดุกอุยน้อย เจ้าจะมองข้าต่ำไปแล้ว ไปเถอะ เมืองฉยงซางกว้างมาก ไปเดินเล่นได้”

 

 

ไปเดินกับเขา? เดินบ้าอะไร

 

 

เสวียนอี่พยายามสะบัดออกแต่กลับสะบัดไม่หลุด “ท่านอยากให้ข้าเข้าไปแก้ไขหายนะของทะเลหลีเฮิ่น ข้าจะต้องทำอย่างไร”

 

 

เซ่าอี๋ไม่ตอบ “ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์มาพูดเรื่องนี้ ไว้วันอื่น”

 

 

เสวียนอี่ขืนตัวไว้ไม่ยอมเดิน แล้วสั่งเขาอย่างเย่อหยิ่งว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ส่งข้ากลับไปที่วิมานม่วง ข้าหิวแล้ว”

 

 

เซ่าอี๋โอบเอวนางไว้อย่างจนใจ “จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังคงต้องทำงานหนักอีก ไปเถอะ องค์หญิงของข้า”

 

 

เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วบินขึ้นไป เมืองฉยงซางที่งดงามกลับไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าอีกครั้ง

 

 

เสวียนอี่ก้มหน้าลงมองชุดโบราณสีดำบนร่างแล้วพลันกล่าวว่า “ย่าทวดคนนั้นคือย่าทวดตอนที่ท่านเป็นมหาเทพหรือ ทางสมัยโบราณนั่นก็คือทางที่บิดาท่านสร้างไว้ตอนที่ท่านเป็นมหาเทพสินะ”

 

 

“ใช่ ทำไม”

 

 

เสวียนอี่หรี่ตาลง “ดูแล้วท่านคงยังไม่ลืม”

 

 

เขาไม่กล่าวอะไร เสวียนอี่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก นางมองไปยังลูกหงส์และหงส์หลากสีที่บินอยู่บนฟ้า กระทั่งพวกมันหายลับไปในทะเลเมฆ

 

 

เปิดเขตเมฆา เทพีรับใช้ทั้งหลายภายในตำหนักหยวนจันต่างรีบปรากฏกายออกมา เทพีรับใช้ของที่นี่ฝึกได้เข้มงวดกว่าที่เขาจงซาน เซ่าอี๋เพียงใช้ภาษามือ ไม่นานพวกนางก็ไปยกเอาน้ำชาและขนมเข้ามา พร้อมปูพรมปุยเมฆลงท่ามกลางพุ่มดอกโบตั๋น

 

 

เสวียนอี่มองไปยังโต๊ะชาทั้งสองบนพรมแล้วมองไปที่เซ่าอี๋อีกครั้ง เขาเองก็นั่งลงแล้วกวักมือเรียกนาง “มา เชิญดื่มชา”

 

 

นางนั่งลงตรงข้ามเขาแล้วรับเอาแก้วหยกเหลืองที่เขาส่งมา สีชาในแก้วคือสีขาวสลับดำ นี่คือชาคืนกำเนิดชั้นดีเลิศ เทพีทั้งหลายเปิดกล่องชาที่ทำจากผลึกแก้วอย่างระวัง ในนั้นมีขนมโมราเคลือบแป้งน้ำตาลวางเรียงอยู่แถวหนึ่ง ส่วนอีกแถวเป็นขนมที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน มันโปร่งใสเป็นประกาย และเล็กน่ารัก

 

 

เสวียนอี่หยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาวางบนมือดูอย่างอดไม่อยู่ “นี่คือ?”

 

 

เซ่าอี๋อธิบาย “นี่คือขนมธัญพืชเกล็ดหิมะ วิธีการทำยุ่งยากมาก ทุกวันนี้เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่ทำได้แล้ว นำมากินกับชาคืนกำเนิดได้รสชาติมาก”

 

 

ที่แท้ก็เป็นขนมโบราณของเมื่อหลายแสนปีก่อน เสวียนอี่ถอนหายใจ “ดูแล้วยุคสมัยนั้นของพวกท่านก็ดีนี่”

 

 

ไม่มีทะเลหลีเฮิ่น เขาคุนหลุนเองก็ยังอยู่บนแดนเทพ ไอขุ่นมัวของโลกเบื้องล่างยังไม่เข้มข้น ขนมก็ยังมีมากกว่าตอนนี้มาก

 

 

เซ่าอี๋จิบชาคืนกำเนิดแล้วกล่าวเสียงต่ำ “อืม หากว่าเจ้าเกิดในสมัยนั้น ก็คงจะดีมากจริงๆ ”