บทที่ 137 ความฝันวันวานอันห่างไกล (ตอนต้น)

บุหลันเคียงรัก

แสงอัสดงเข้าปกคลุม แต่ท้องนภาที่มวลเมฆเป็นสีเพลิงกลับสว่างขึ้นมา วันนี้ภายในเมืองฉยงซางเหมือนจะงดงามกว่าปกติมาก ถึงได้วาดเส้นขอบฟ้าสีแดงอ่อนชั้นหนึ่งขึ้นมาเพื่อปลาดุกอุยน้อยที่อยู่ตรงข้าม

 

 

ชาคืนกำเนิดกาหนึ่งใกล้จะหมดแล้ว ขนมภายในกล่องแก้วเองก็เหลือเพียงสองชิ้นเท่านั้น เซ่าอี๋วางแก้วลงแล้วหยิบใบไม้ที่ร่วงลงมาขึ้นมาหนึ่งใบ เขาวางไว้ที่ริมฝีปากแล้วเป่าทำนองเพลงขาดๆ หายๆ ล่องลอยไปตามสายลม

 

 

ก่อนหน้านี้เหมือนเขาจะลืมเลือนจังหวะไปแล้ว แต่ว่าเป่าไปเป่ามา กลับค่อยๆ ลื่นไหลขึ้น ไม่รู้ทำไม เรื่องราวที่เขาลืมไปแล้วเหล่านั้นกลับพลันเหมือนนึกขึ้นมาได้

 

 

นี่เป็นท่วงทำนองที่ใสสะอาดและอบอุ่นเรียบง่ายเพลงหนึ่ง ไม่ได้เหมือนกับทำนองเพลงที่โออ่าหรูหราอย่างที่เทพทั้งหลายทุกวันนี้ชอบกันพวกนั้น

 

 

เสวียนอี่ฟังอยู่ครู่หนึ่ง นางกลับรู้สึกชอบขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง “นี่คือเพลงในสมัยนั้นของพวกท่านหรือ เพราะมากเลย”

 

 

เซ่าอี๋ลูบใบไม้ “ก็แค่เพลงเรียบง่ายที่ไร้ชื่อ เจ้าชอบก็ดี”

 

 

ใบหน้าของเสวียนอี่ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ท่านเล่าเรื่องของพวกท่านสมัยนั้นให้ข้าฟังเป็นอย่างไร ตอนนั้นความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสองตระกูลคงไม่เลวสินะ มหาเทพอย่างท่านเองก็น่าจะสู่ขอองค์หญิงของตระกูลจู๋อินล่ะสิ หรือว่าเป็นองค์หญิงของตระกูลชิงหยางที่แต่งมาเขาจงซาน”

 

 

เซ่าอี๋ตอบรับไปอย่างไม่รู้ตัว “ตระกูลจู๋อินไม่มีองค์หญิง แต่ข้ามีน้องสาวคนหนึ่ง…”

 

 

พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง เขาพลันหยุดลงแล้วเหลือบตาขึ้นมองนาง นางยิ้มบางราวกับกำลังกล่าวว่า ท่านยังไม่ได้ลืมอะไรเลยแท้ๆ  

 

 

เซ่าอี๋เบนสายตาหลบ แล้วปล่อยใบไม้ในมือไปให้มันปลิวไปตามลม “พูดกับปลาดุกอุยน้อยอย่างเจ้า ข้ามักจะต้องตั้งสมาธิให้ดีตลอด เจ้านี่นะ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะให้ข้าชอบหรือไม่ชอบดี”

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ในเมื่อให้ข้าเสี่ยงชีวิตตัวเองจัดการเรื่องให้ท่าน ก็ควรจะบอกอะไรข้าบ้างสิ ท่านกับท่านปู่ทวดของข้าตีกันเพราะอะไรกันแน่ แย่งตำแหน่งราชาเผ่ามารกันหรือ หรือว่ามีความแค้นใหญ่หลวงอะไรกัน”

 

 

เซ่าอี๋ครุ่นคิดดูแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่ใช่ทั้งนั้น เพราะเป็นคู่ต่อสู้ที่มีความสามารถพอๆ กัน สุดท้ายกลับหยุดไม่ได้”

 

 

แสงอาทิตย์อัสดงค่อยๆ มืดลง พระจันทร์สีเงินลอยขึ้นมาส่องแสงรำไรแก่ทุกสิ่ง เขามองอยู่ครู่หนึ่ง บางทีปลาดุกอุยน้อยอาจจะพูดถูก เขาไม่ได้ลืมอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะมองทิวทัศน์มากเท่าไหร่ ผ่านเรื่องราวมากขนาดไหน พบเผ่าเทพมากมายอย่างไร คนที่เขาจดจำในหัวใจสุดท้ายก็มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้น

 

 

ท้องฟ้าในตอนนั้นโปร่งใสกว่าตอนนี้มาก ทะเลหลีเฮิ่นของดินแดนทางตะวันตกสุดยังคงเป็นสีฟ้าใสสะอาด เขาไท่สิงและเขาคุนหลุนยังไม่ได้ตกลงไปโลกเบื้องล่าง โลกเบื้องบนและเบื้องล่างอยู่อย่างสงบสุข เทพทั้งหลายเองก็ไม่ต้องไปหาอาจารย์เพื่อเรียนรู้วิชา กฎตายตัวคือเมื่อมีอายุครบห้าหมื่นปีจะต้องรับตำแหน่งเทพ

 

 

ส่วนเขา ก็เป็นเพียงเทพหงส์อายุน้อยที่รักสนุกเสเพลเหมือนดั่งตอนนี้

 

 

เทพหงส์ตระกูลชิงหยางมีพรสวรรค์สูงส่ง หลับใหลพันปียาวนานไปถึงสามพันปี เทพธิดาวนเวียนอยู่รอบกายเขามีนับร้อยนับพัน มากถึงขนาดเขายังจำไม่ได้แม้แต่ชื่อ บางครั้งกระทั่งรูปโฉมหน้าตาก็ยังจำไม่ได้

 

 

เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปจดจำรูปโฉมและชื่อของพวกนาง วิถีของแดนเทพไร้ข้อผูกมัดจากทางโลกอยู่แล้ว วันเวลาที่ยาวนานทำให้มีน้อยคนนักที่จะพูดถึงความรักที่แท้จริง การเล่นสนุกกันในบางโอกาส ต่างฝ่ายต่างพึงพอใจล้วนแต่เป็นเรื่องปกติ

 

 

เมื่อเป็นนักรบครบสองแสนปี เขากลับไปเมืองฉยงซางและรับตำแหน่งมหาเทพชิงหยาง

 

 

ครึ่งชีวิตของเขาสว่างโชติช่วงและราบรื่น พรสวรรค์สูงส่งอย่างที่หาได้ยากในหลายยุคสมัย ท่านพ่อท่านแม่และเทพขุนนางในบ้าน ทุกคนต่างก็เห็นเขาเป็นเสาหลัก เขามีภาคภูมิถือดีในตัวเอง และมีความภาคภูมิในตระกูลชิงหยาง ตอนนั้น สิ่งที่ทั่วทุกสารทิศจดจำเกี่ยวกับตระกูลชิงหยางมักจะจดจำในฐานะชื่อเสียงที่เป็นรองตระกูลจู๋อินเสมอ แต่ว่าเขามีความสามารถที่จะทำให้ตระกูลชิงหยางขึ้นไปได้สูงกว่านี้ และไม่ต้องถูกตระกูลจู๋อินครอบงำอีก

 

 

ตระกูลจู๋อินที่เสมือนดั่งเมฆดำ

 

 

เซ่าอี๋ไม่เข้าใจว่าแต่ก่อนเหล่ามหาเทพของตระกูลชิงหยางอดทนต่อความโอหังอวดดีของตระกูลจู๋อินพวกนั้นได้อย่างไร มหาเทพจงซานในยุคนี้มีชื่อว่าฉางอวี้ คิดว่าคงเพราะเขามีพรสวรรค์ นิสัยของเขาจึงอวดดีเป็นอย่างมาก ตระกูลชิงหยางทั้งตระกูลตั้งแต่บนลงล่างต่างก็ไม่ค่อยชอบเขานัก เขายิ่งไม่ชอบใหญ่ และยังไม่ยินดีจะให้ตระกูลชิงหยางต้องยอมอดทนและให้อภัยตระกูลจู๋อินอย่างแต่ก่อนอีกด้วย

 

 

จริงๆ แล้วทั้งสองตระกูลเมื่อมาถึงยุคของพวกเขา ความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นดั่งแต่ก่อนแล้ว พวกเขาไปมาหาสู่กันน้อยมาก แต่ที่ยังคงรักษาท่าทีไว้อย่างนี้ก็เพื่อหน้าตา ทุกคนต่างรู้สึกเบื่อหน่าย รุ่นของท่านย่าทวดที่ได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันโดยมีความรู้สึกลึกซึ้งราวกับเป็นเรื่องแปลกประหลาดและดูห่างไกล

 

 

ใช่แล้ว คู่หมายในงานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของฉางอวี้ก็คือน้องสาวของเขา เขายังจำชื่อของนางได้ นางชื่อว่าหลิวซาง เพราะท่านพ่อท่านแม่ให้กำเนิดบุตรเร็ว อายุของพวกเขาจึงห่างกันมาก ตัวเขาเป็นมหาเทพแล้ว แต่ว่านางกลับยังมีอายุไม่ถึงห้าหมื่นปีเลย

 

 

นี่ก็เป็นน้องสาวตัวน้อยที่ชอบสร้างปัญหาคนหนึ่ง

 

 

พูดไปแล้ว เหมือนว่าในวันพิธีที่เขาเข้ารับตำแหน่งมหาเทพชิงหยาง เมืองฉยงซางพลันมีฝนตกปรอยลงมาอย่างหาได้ยาก ภายในตำหนักมืดลงไปบ้าง เซ่าอี๋เป่าไฟให้เทียนสว่าง และส่องกระจกพร้อมเปลี่ยนเป็นชุดพิธีการสีดำ ผูกสายเชือกรัดใต้คางอย่างระวัง เขาไม่ชอบเลยที่ต้องมัดผมขึ้นไป มงกุฎสีทองกดหัวเขาจนเจ็บ เชือกเส้นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ผูกได้ไม่ดีเสียที ยุ่งยากมาก

 

 

ประตูพลันถูกเปิดออก หลิวซางวิ่งตัวปลิวเข้ามา อาจเพราะน้อยครั้งนักที่จะได้เห็นเขาสวมใส่ชุดอย่างเป็นทางการเช่นนี้ นางจึงหัวเราะแล้วพูดกับเขา “ใส่ชุดอย่างนี้แล้วค่อยมีท่าทางเหมือนมหาเทพหน่อย ขอแค่อย่าเปิดปากพูดกับเทพธิดาพวกนั้นก็พอ”

 

 

เซ่าอี๋กวักมือเรียกนาง “มา มาช่วยข้าผูกเชือกนี่ที”

 

 

หลิวซางเข้ามาใกล้แล้วช่วยผูกเชือกให้เขา พลางกล่าวไปด้วยว่า “วันก่อนท่านแม่ยังพูดว่า ตอนนี้พี่เป็นมหาเทพก็สมควรจะแต่งงานได้แล้ว วันนี้หากว่าไปเจอเทพธิดาที่ถูกใจ นางจะให้ท่านพ่อไปคุยเรื่องแต่งงานให้”

 

 

เซ่าอี๋หัวเราะออกมาแล้วเปลี่ยนหัวข้อไป “มหาเทพตระกูลจู๋อินผู้นั้นมาแล้วหรือยัง”

 

 

เมื่อพูดถึงเขา หลิวซางก็สีหน้าไม่ดีทันที “ข้าไม่รู้ ข้าขี้เกียจจะดู”

 

 

จริงๆ แล้วนางแทบจะไม่ได้สัมผัสกับมหาเทพฉางอวี้คนนั้นเท่าไหร่นัก ทุกครั้งล้วนแต่ถูกเหล่าเทพขุนนางพาไปทั้งสิ้น นางรู้สึกว่าฉางอวี้เป็นคนไม่ดี แต่นับตั้งแต่นางกำเนิดมาก็รู้แล้วว่าจะต้องแต่งงานกับเขา ไม่ต้องหวังอะไรในเรื่องแต่งงาน นางจึงกลายเป็นคนที่ปล่อยตัวตามสบาย ทั้งวันชอบไปเล่นสนุกอยู่กับเหล่าเทพ จนทำเอาคนนอกต่างรู้กันหมดว่าบุตรสาวบุตรชายตระกูลชิงหยางต่างก็เป็นเทพรักสนุก

 

 

เซ่าอี๋กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าลองไปพูดคุยกับเขาดูก่อน หากว่าไม่ชอบใจจริงๆ ข้าจะได้ช่วยยกเลิกงานแต่งให้เจ้า”

 

 

หลิวซางกอดแขนเขาไว้ “ช่วยยกเลิกให้ข้าเถอะ! ข้าชอบเทพที่งามสง่าราวกับบัณฑิตอย่างองค์ชายสาม!”

 

 

เขาพึงพอใจในคำตอบนี้

 

 

พิธีการในวันนั้นยิ่งใหญ่ตระการตานัก เพลิงหงส์อมตะสีสดส่องสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้ายามราตรี หลังงานพิธี ทันใดนั้นมีเทพบุตรสวมชุดคลุมสีม่วงอ่อนเดินเข้ามาช้าๆ เขาเดินเข้ามาคารวะสุรากับเขาอย่างสง่างาม ผมสีดำสนิท ใบหน้าขาวซีด ท่าทางของเขาทั้งงดงามและองอาจ เขาก็คือมหาเทพจงซานฉางอวี้ในปัจจุบัน

 

 

หลิวซางเห็นเขามาก็จงใจไปสนิทชิดเชื้อกับเหล่าเทพทั้งหลาย หวังแต่จะให้เขาโมโหและจากไป

 

 

ฉางอวี้มีสีหน้าเย็นชามาก ใบหน้าของตระกูลจู๋อินยากนักที่จะยิ้มหัวเราะ เซ่าอี๋เดาว่าเขาเองก็คงไม่ยินดีกับการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์นัก เขากล่าวทักทายไปตามประสาแล้วกล่าวว่า “น้องสาวข้าดื้อรั้นไม่รู้ความ หากว่ามหาเทพมีใจกับเทพธิดาคนไหน ก็ไม่ต้องใส่ใจกับเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์”

 

 

ฉางอวี้เลิกคิ้วขึ้น “หากเป็นอย่างนี้ก็ต้องขอบคุณมหาเทพมากที่ใจกว้าง”

 

 

คิดว่าเขาคงแสดงความรังเกียจออกมาเด่นชัดเกินไป หลิวซางจึงโมโหและเดินมาพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “อะไรเรียกว่าใจกว้างกัน ท่านพูดอะไรของท่าน ข้ามีอะไรไม่ดีตรงไหน”

 

 

มหาเทพจงซานที่หน้าตางดงามหล่อเหลาก้มหน้าลงมองนางแล้วพลันหัวเราะออกมา เมื่อเขาหัวเราะกลับทำให้เขาดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก “ข้าไม่ควรกล่าวอย่างนั้น องค์หญิงโปรดอภัยให้ด้วย”

 

 

หลิวซางถูกเขาหัวเราะเข้าจนทำให้ชะงักค้างไป คิดว่ารอยยิ้มที่งดงามอย่างนี้ไม่ควรจะปรากฏขึ้นจากตาเฒ่าสารเลวผู้หนึ่ง นางกลับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าลง หูก็พลันแดงก่ำขึ้นมา

 

 

เซ่าอี๋คิดไม่ถึงว่า เมื่อยกเลิกงานแต่งแล้ว หลิวซางกลับหลงใหลรักใคร่ฉางอวี้ขึ้นมาอย่างรุนแรงและกะทันหัน

 

 

นางทำกระทั่งออกไปจากเมืองฉยงซาง และเอาแต่ไปอยู่กับฉางอวี้ทั้งวัน องค์หญิงตระกูลชิงหยางที่งดงามหยาดเยิ้มมาหาถึงที่ ด้วยนิสัยอวดดีของตระกูลจู๋อิน เขามีหรือจะปฏิเสธ ความสัมพันธ์ของพวกเขากลายเป็นแปลกประหลาดขึ้นมา กระทั่งท่านแม่ยังมาถามว่าจะฟื้นฟูเรื่องการแต่งเชื่อมสัมพันธ์หรือไม่

 

 

เซ่าอี๋ไม่ได้สนใจ การแต่งงานของทั้งสองตระกูลไม่ใช่ว่าวันนี้จะเป็นไปไม่ได้ งานแต่งที่ยกเลิกไปแล้วเขาไม่มีทางที่จะยอมให้กลับมามีใหม่แน่ ตระกูลชิงหยางกำลังรุ่งโรจน์ในกำมือของเขาแล้ว เขาไม่อยากจะต้องยอมกลับไปอดทนต่อความสัมพันธ์อย่างเดิมเพื่อความรักที่มาอย่างไม่รู้เนื้อตัวนี้ของนาง

 

 

อาจเพราะเขาไม่เคยเชื่อในความรัก มันทั้งไร้ประโยชน์ ทั้งไม่จำเป็น หลิวซางก็เพียงแค่วู่วามและลืมตัวตนไปชั่วขณะเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า มันก็จะจืดจางไปตามธรรมชาติเอง