บทที่ 138 ความฝันวันวานอันห่างไกล (ตอนปลาย)

บุหลันเคียงรัก

เซ่าอี๋จำได้ว่า นั่นคือฤดูใบไม้ผลิที่ปุยดอกหลิวล่องลอย เทพขุนนางนำข่าวอย่างหนึ่งมากะทันหัน มหาเทพจงซานฉางอวี้กำลังจะสู่ขอเทพธิดาเขาอูซานที่ได้ให้กำเนิดบุตรคนหนึ่งแก่เขา พิธีเสกสมรสที่ยิ่งใหญ่จะจัดในทะเลหลีเฮิ่น ได้ยินว่านั่นคือที่ที่พวกเขาตกลงปลงใจกัน

 

 

หลิวซั่งรู้ข่าวคราวนี้เข้าก็รีบร้อนออกไปจากเมืองฉยงซาง นางไปครั้งนี้นานถึงครึ่งเดือน ตอนที่กลับมา ดวงตาของนางแดงก่ำและดูซีดเซียวมาก เซ่าอี๋ตกใจกับปฏิกิริยาของนางไปชั่วขณะ บางทีในความนึกคิดของเขา หลิวซั่งควรจะโบกมือบอกลาฉางอวี้ได้อย่างสบายอารมณ์ แต่ท่าทางอย่างนี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน

 

 

หลิวซางก้มหน้าลง น้ำตาเม็ดโตไหลลงมาจากแพขนตาของนาง นางกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านพี่ เขาพูดว่าข้าน่าจะเป็นเทพธิดาที่เล่นสนุกด้วยได้ เขาหมายความว่าอะไรกัน ข้าไม่ได้คิดจะเล่นกับเขา ข้าชอบเขาจากใจจริง ทำไมเขาถึงได้ไม่ชอบข้ากัน”

 

 

อย่าว่าแต่ฉางอวี้เลย กระทั่งเขาเองก็ยังไม่เชื่อ

 

 

ความชอบคือสิ่งที่จับต้องไม่ได้ วันนี้นางชอบเขา ผ่านไปหนึ่งหมื่นปีนางยังจะชอบเขาอยู่อีกหรือ

 

 

เซ่าอี๋ส่ายหน้า “…กลับห้องไปพักผ่อนเถอะ”

 

 

หลิวซั่งหน้าซีดขาว นางพยักหน้าว่าง่ายอย่างหาได้ยาก แล้วหมุนตัวจากไป

 

 

นางหลับไปครั้งนี้กินเวลายาวไปครึ่งเดือน นางไม่ยอมลงมาจากเตียงอีกเลย ทั้งยังไม่ยอมกินข้าว ตอนที่เซ่าอี๋ไปหานางที่หออวี้หวงนั้น นางซูบผอมลงไปมาก และเอาแต่นอนเหม่อลอยอยู่ในผ้าห่ม

 

 

“อย่าจมอยู่กับมันเลย” เซ่าอี๋นั่งลงข้างเตียงแล้วลูบหัวนาง “ในแผ่นดินนี้มีเทพมากมาย ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว”

 

 

หลิวซั่งไม่ได้กล่าวอะไร เอาแต่ส่ายหน้า

 

 

เซ่าอี๋เด็ดใบไม้อ่อนจากบนหน้าต่างแล้วเป่าเป็นทำนองเพลง นี่คือเพลงที่ท่านแม่มักจะเป่าให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ เมื่อครั้งที่เขายังเด็ก ปกติมักจะเอามากล่อมเขานอน นางเองก็ควรจะรีบนอนหลับลงไปเร็วๆ ดีกว่า จะได้ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องวุ่นวายเหล่านั้น

 

 

ไม่นานเทียบเชิญงานแต่งงานของมหาเทพจงซานฉางอวี้ก็ส่งมาถึงเมืองฉยงซาง เขาเชิญมหาเทพชิงหยางและองค์หญิงไปร่วมงานอย่างไร้ความกังวล เซ่าอี๋ไม่ได้เรียกหลิวซั่งให้ไปพร้อมกัน หลายวันมานี้นางยังคงซึมเซาไร้ชีวิตชีวา หากว่าไปร้องไห้เสียงดังที่งานแต่งงานของฉางอวี้ นั่นจะแย่เกินไป

 

 

เขาไปทะเลหลีเฮิ่นเพียงลำพัง ท้องทะเลของพื้นที่ทางตะวันตกเป็นสีน้ำเงินและใสสะอาด คิดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดของแดนเทพแล้ว เกาะเล็กๆ ราวกับมรกตและหยกขาวประดับประดาอยู่บนผืนทะเล พิธีแต่งงานของฉางอวี้จัดขึ้นบนเกาะใจกลางทะเลแห่งนี้

 

 

งานแต่งงานของตระกูลจู๋อินมีแขกเหรื่อมากันไม่ขาดสาย ตอนที่เซ่าอี๋หาฉางอวี้พบในพื้นที่ที่มีแสงรัศมีเทพสว่างไสวนั้น เขากำลังกล่าวกระซิบอย่างสนิทสนมอยู่กับเทพธิดาอูซาน ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นฮูหยินของมหาเทพ เมื่อเห็นเซ่าอี๋มา มหาเทพจงซานก็ให้ฮูหยินหลบไป ส่วนตัวเขาสบตากับเซ่าอี๋ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

เซ่าอี๋มองเขาอย่างเย็นชาแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “มหาเทพจงซานคงมิได้ลืมว่า หลิวซั่งคือองค์หญิงของตระกูลชิงหยางกระมัง”

 

 

ในที่สุดตระกูลจู๋อินที่โอหังอวดดีก็เผยโฉมหน้าด้านที่มองคนอย่างดูถูกออกมา “ข้าคิดว่าการตอบรับคำยกเลิกแต่งงานจะเป็นการแสดงท่าทีของข้าแล้ว แต่ว่าองค์หญิงทรงงดงามเย้ายวน ทั้งยังใจกล้าปล่อยตัว ข้าไม่มีเหตุผลอะไรต้องปฏิเสธ ตระกูลชิงหยางมักชอบเล่นสนุกเสเพลกันอยู่แล้ว จึงเข้าใจดี”

 

 

แต่ว่าคู่ที่เขาจะมาเสเพลเล่นตัวไม่ควรจะเป็นตระกูลชิงหยาง

 

 

เซ่าอี๋หยิบแก้วสุราใบหนึ่งออกมาแล้วส่งให้เขา ฉางอวี้รับไว้ ทันใดนั้นแก้วสุราพลันกลายเป็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินกลุ่มหนึ่ง เกือบจะเผาชุดของเขาจนไหม้ เขาถอยออกไปหนึ่งก้าว ใบหน้าก็ค่อยๆ ขรึมลงไป

 

 

“ได้ยินว่าพรสวรรค์ของเจ้าสูงมาก” เซ่าอี๋ยิ้มน้อยๆ “ข้าว่า ก็ธรรมดานี่”

 

 

ฉางอวี้กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าเองก็ได้ยินว่าเจ้ามีพรสวรรค์ชั้นหนึ่ง ข้าอยากจะขอคำชี้แนะสักครั้งมานานแล้ว”

 

 

พวกเขาไม่ได้กล่าวอะไรกันมาก ระหว่างมหาเทพพูดถึงขนาดนี้ก็พอแล้ว การกระทำนี้ของฉางอวี้ได้เหยียบเส้นศักดิ์ศรีของตระกูลชิงหยางไปแล้ว ม่านความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองตระกูลบางๆ นั้นถูกฉีกขาดเป็นฝุ่นผง แสงสว่างเจิดจ้าบนเกาะเล็กเมื่อครู่พลันกลายเป็นมืดครึ้มลงมาทันที หิมะสีขาวโปรยปรายลงมามากมายราวกับสายฝน เหล่าเทพที่มาร่วมงานใครจะคิดว่าจะสู้กันในงานแต่ง จึงได้แต่ทยอยหลบกันไปอย่างตกใจ

 

 

ตอนแรกเริ่ม พวกเขาทั้งสองยังคงหยั่งเชิงไพ่ตายอีกฝ่ายอยู่จึงไม่ได้ลงมือรุนแรง แต่ว่าไม่นานพวกเขาก็พบว่า ทั้งสองต่างก็เป็นมหาเทพที่มีพรสวรรค์สูงส่งด้วยกันทั้งคู่ เมื่อปะทะกันแล้วก็ยากที่จะหยุดมือลงได้ บางทีเมื่อสู้ไปถึงตอนท้ายสุด พวกเขาทั้งคู่อาจจะรู้สึกเสียใจขึ้นมา แต่ว่า หยุดไม่ได้แล้ว พลังมืดจู๋อินที่ใหญ่โตกลืนกินทะเลหลีเฮิ่นที่งดงามนี้ทั้งผืนไปหมด เปลวเพลิงสีน้ำเงินเองก็เผาเกาะแห่งนี้เสียจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

 

 

การต่อสู้ด้วยพลังมหาศาลที่น่าตกใจของมหาเทพทั้งสองกินเวลายาวนานถึงสามวัน กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์ในตอนนั้นยังตกใจ แต่กลับไม่สามารถห้ามได้ ไม่มีใครสามารถเข้าไปในความมืดจู๋อินที่ใหญ่โตนั่นจากภายนอกได้ เทพบูรพาของตระกูลหวาซีเองก็ได้แต่ใช้ปราณกระบี่จำแลงเป็นมังกรแล้วมุดแทรกเข้าไปดูสถานการณ์ด้านใน

 

 

สุดท้ายของสุดท้าย เซ่าอี๋เองก็จำไม่ได้แล้ว พวกเขาหยุดต่อสู้ลง พลังเทพหมดเกลี้ยงจนวนเวียนอยู่ระหว่างดับสูญกับไม่ดับสูญ และในชั่วพริบตานั้นเอง ความเสียใจในใจเขาถึงได้ทะลักออกมาราวกับสายน้ำไหลบ่า ความทรงจำที่อาลัยอาวรณ์มากมายราวกับหินใหญ่ที่กดทับลงมาบนอก

 

 

เขาวู่วามไปแล้ว เขายังไม่อยากดับสูญ ตระกูลชิงหยางยังสามารถเจริญรุ่งเรืองไปได้อีกภายใต้การนำของเขา ท่านแม่ตั้งครรภ์ครั้งที่สามแล้ว ไม่รู้ว่าให้กำเนิดองค์หญิงหรือองค์ชาย ชีวิตที่สุขสมและอิสรเสรี ปณิธานความทะเยอทะยาน แผนการที่ฉลาดเฉลียวของเขาเหล่านั้น เขายังมีความหวังและความดีงามมากมายเพียงนั้นในสวรรค์และพิภพ

 

 

เขายังไม่อยากดับสูญ

 

 

ในความมืดมิด เงาร่างผอมซูบเงาหนึ่งกำลังพยายามเข้ามาใกล้ร่างของเขา เซ่าอี๋หรี่ตาลงอยากจะมองใบหน้าของนางให้ชัดเจนแต่กลับไม่มีแรง นางซบลงที่ร่างของเขา น้ำตาร้อนๆ ไหลลงมาบนใบหน้าของเขา พร้อมเรียกเขาอย่างยากลำบาก “ท่านพี่! ท่านอดทนไว้! ข้าจะเอาขนหัวใจหงส์ให้ท่าน!”

 

 

หลิวซั่ง! นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน! นางหลบอยู่ข้างๆ มาตลอดเลยหรือ ถ้าอย่างนั้นนางจะต้องได้รับบาดเจ็บหนักมากแน่ ไม่รักษาตัวเองแล้วจะเอาขนหัวใจมาให้เขาทำไมกัน

 

 

ความเจ็บปวดจากขนหัวใจทำให้ดวงตาของเขาพร่ามัว ภายในร่างราวกับมีเสียงดังวุ่นวาย ราวกับหลิวซั่งกำลังขอโทษเขา หากว่านางไม่ชอบฉางอวี้ หรือบางทีอดทนได้อีกหน่อยก็คงจะดี เป็นนางเองที่เอาแต่ใจแล้วทำให้ทุกอย่างกลายเป็นอย่างนี้

 

 

แต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ การต่อสู้ชิดแลกด้วยชีวิตของเขากับฉางอวี้ เหตุผลส่วนมากมาจากศักดิ์ศรีของตัวเขาเอง มาจากศักดิ์ศรีของตระกูลชิงหยาง บางทีสำหรับฉางอวี้เองก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน พวกเขาคือคู่ต่อสู้ที่มีความสามารถทัดเทียมกัน มีพลังใกล้เคียงกัน นี่เป็นการต่อสู้ที่สะใจมากที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่งเลย

 

 

อีกอย่าง เขาไม่เคยคิดจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลจู๋อิน ไม่ว่าหลิวซั่งจะชอบหรือไม่ชอบมหาเทพจงซานผู้นี้ก็ตาม จิตใจรักใคร่ของนางในสายตาเขาก็เป็นเพียงเรื่องยุ่งยากเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่เชื่อและไม่ใส่ใจ แต่ว่าตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงกล่าวขอโทษของนาง ในใจของเซ่าอี๋กลับไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไร

 

 

“ท่านพี่ เขาดับสูญไปแล้ว” หลิวซั่งพลิกตัวหมอบลงข้างกายของฉางอวี้ “ท่านชนะแล้ว ยินดีด้วย”

 

 

หากว่าไม่ใช่เพราะขนหัวใจนาง ตอนนี้เขาเองก็คงดับสูญไปแล้วเช่นกัน ไม่อาจนับว่าชนะได้

 

 

“เอาอย่างนี้ รอให้ท่านพี่ลุกขึ้นมาได้ หากว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ พวกเราจะทนไปด้วยกัน หากว่าข้าดับสูญไปแล้ว คงได้แต่ต้องให้พี่อดทนไปเพียงลำพังแล้ว”

 

 

ภายหลังนางกล่าวอะไร เซ่าอี๋ล้วนไม่ได้ยินทั้งสิ้น เขาถูกความเจ็บปวดจากขนหัวใจทรมานเสียจนแทบจะหมดสติไป แต่ว่าเมื่อความเจ็บปวดหายไปราวกับน้ำขึ้นน้ำลงนั้น อากาศบาดเจ็บทั้งหมดของเขากลับเกือบจะสมานกันหมดแล้ว

 

 

เขาพลันดีดตัวลุกขึ้นนั่ง คลำทางไปท่ามกลางความมืดอันชวนให้หายใจไม่ออกนี้ เขาคลำได้แต่เพียงทรายเต็มฝ่ามือ เทพที่ดับสูญไปแล้วหนึ่งชั่วยามจะกลายเป็นไอบริสุทธิ์แล้วสลายไป หลิวซั่งยังมีอายุไม่ถึงห้าหมื่นปี นางมาอยู่ระหว่างการต่อสู้ของมหาเทพทั้งสอง อาการบาดเจ็บที่ได้รับเพียงพอที่จะให้นางดับสูญไปได้ ยิ่งกว่านั้นนางยังเอาขนหัวใจหนึ่งเส้นมาให้เขาอีก

 

 

ทำไมต้องมาด้วย เขาที่เป็นพี่ชายของนางไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของนาง มหาเทพจงซานผู้นี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลิวซั่งก็เป็นเพียงเหยื่ออันโอชะในรายชื่อของเขาเท่านั้น นางเอาชีวิตมาทิ้งเพื่อคนสารเลวอย่างพวกเขาทั้งสอง โง่ที่สุด ไม่ใช่ว่าชอบไปคุยเล่นกับเหล่าเทพคนอื่นมาตลอดหรือ ทำไมกับฉางอวี้ถึงได้ไม่เหมือนกัน เขาไม่เข้าใจจิตใจที่ลุ่มหลงในรักของนางเลยจริงๆ

 

 

ตอนนี้เขาชักเริ่มอยากให้นางสมหวัง แต่ว่านางกลับไม่อยู่แล้ว

 

 

ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร มีชีวิตต่อไปต่างหากถึงจะดีที่สุด อย่าดับสูญ ดับสูญไปแล้วก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย

 

 

เซ่าอี๋อยู่ในผืนดินที่มืดมิดขนาดยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้านี้นานมาก เขาเร่งพลังกระตุ้นไข่มุกวิเศษวิญญาณเทพที่มีพลังประสาทพรของตระกูลชิงหยางอยู่ตลอด ให้คนของตระกูลชิงหยางทั้งหลายส่งพลังเทพให้เขา คิดแผนการนับร้อยพัน ใช้ทุกวิถีทาง ต่อให้ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลชิงหยางจะต้องมีร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ เพราะเขา เขาก็ต้องอยู่ต่อ เขาจะต้องมีชีวิตต่อไป

 

 

แต่ว่าเขาก็ออกไปจากพลังมืดจู๋อินผืนนี้ไม่ได้ วิชาใดๆ ล้วนแต่ไร้ผลกับพวกมัน

 

 

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ในพลังมือที่เต็มไปด้วยไอบริสุทธิ์กลับเริ่มมีไอขุ่นมัวแผ่ออกไป เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ไอขุ่นมัวก็ยิ่งมากขึ้น ส่วนทะเลหลีเฮิ่นเองก็ไม่รู้ว่าถูกใครเอากระดูกเผ่าปีศาจและเผ่ามารมากมายโยนเข้ามาจากด้านนอก ยังมีกระทั่งปีกคู่หนึ่งของตี้เจียง[1] ไอขุ่นมั่วและไอบริสุทธิ์ปะทะกันและผสานเข้าด้วยกัน ไม่นานทะเลที่มืดมิดแห่งนี้ก็เริ่มเกิดมาร ทั้งยังเริ่มทำให้เซ่าอี๋รู้สึกหายใจลำบากขึ้นมาจริงๆ แล้ว

 

 

ไอขุ่นมัวกับพลังเทพคืนชีวิตและพลังความมืดจู๋อินของตระกูลจู๋อินผสมผสานกันอยู่นาน และเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกัน ทั้งยังถูกร่างของเขาดูดกลืนเอาไว้ด้วย

 

 

เขารู้สึกว่าตนเองเริ่มกลับมาอยู่ช่วงเวลาระหว่างจะดับสูญหรือไม่ดับสูญอีกแล้ว มีเพียงความคิดที่ว่าจะต้องมีชีวิตต่อไปเท่านั้นที่เป็นสิ่งค้ำยันเขา

 

 

รอจนกระทั่งเขารู้สึกว่าผิดปกติ ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว

 

 

 

 

 

 

[1]ตี้เจียง เทพปักษายุคบรรพกาลในตำนานจีนโบราณ มีหกเท้าสี่ปีก มีแต่ตัว ไร้หู ไร้ตา ไร้ปาก ไร้หน้า ทว่าแตกฉานในด้านดนตรีและฟ้อนรำ