บทที่ 139 ถือกำเนิดใหม่นิจนิรันดร์

บุหลันเคียงรัก

จันทราลอยเด่นกลางฟ้า น้ำค้างพร่างพรมทั่วพสุธา ในมือของปลาดุกอุยน้อยเหมือนกับกำลังปั้นแสงจันทร์ก้อนหนึ่งอยู่

 

 

นางกำลังใช้หิมะจู๋อินปั้นหงส์ตัวเล็กงามประณีตตัวหนึ่ง มันมีหางยาวและขนที่สวยงาม บนคอยังผูกไหมเส้นยาวไว้ด้วยเส้นหนึ่ง บนคอยาวเรียวระหงผูกเส้นไหมสีเหลืองเป็นเงื่อนเอาไว้หนึ่งเส้น นางรู้สึกว่ามันน่ารักดี

 

 

เซ่าอี๋มองหงส์หิมะในมือนิ่ง ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยปากออกไปว่า “ปลาดุกอุยน้อย เจ้าอ่านหนังสือของอาจารย์มาไม่น้อย แน่นอนว่าต้องรู้เรื่องที่เมื่อเผ่าเทพดับสูญจะสูญสลายไปหมดกระทั่งวิญญาณ ร่างกายและวิญญาณกลายเป็นไอบริสุทธิ์ไปพร้อมกัน และไม่กลับมาในวัฏสงสารอีก”

 

 

เสวียนอี่ปั้นหงส์อย่างมีสมาธิจดจ่อ แล้วกล่าวออกมาแค่ “อืม” เท่านั้น

 

 

แท้จริงเขาดับสูญไปนานแล้ว ในความมืดที่ไร้ที่สิ้นสุดและไม่สามารถใช้วิชาใดๆ ได้ผืนนั้น เวลาผ่านไปยาวนานหลายล้านปีทำให้เขาดับสูญ เพียงแต่ตัวเขาเองไม่รู้เท่านั้น ปณิธานที่อยากจะคงอยู่ต่อไปของเขารุนแรงมาก มันยึดเหนี่ยวร่างกายและวิญญาณเอาไว้ ทำให้พวกมันไม่อาจสลายไป และกลับคืนสู่สวรรค์และผืนพิภพอีกครั้ง

 

 

บางทีอาจเพราะความคิดยึดติดอันมากมายมหาศาลนี้ที่ทำให้ทะเลหลีเฮิ่นก่อกำเนิดไอขุ่นมัวขึ้นมา ความคิดที่ยึดติดเกินไป ไม่เคยยอมจำนนต่อฟ้าดิน

 

 

ในห้วงกาลเวลาที่แทบจะหยุดนิ่งนี้ จริงๆ แล้วเวลาที่เขามีสติจะมาเป็นพักๆ ภายหลังเขาถึงได้รู้สึกว่า ในยามที่เขาไม่มีสตินั้น ก็จะเหลือแต่เพียงความคิดยึดติดและไอขุ่นมัวเหล่านั้นที่รัดรึงเอาไว้ด้วยกัน หลังจากนั้น เขาก็เริ่มไม่สามารถควบคุมความคิดเหล่านั้นได้อีก พวกมันหลอมรวมกับไอขุ่นมัว และไปหลอมรวมกันกับพลังเทพคืนชีวิต ทั้งยังหลอมรวมกับพลังมืดจู๋อินและเหล่ากระดูกที่ถูกโยนเข้ามาในทะเลหลีเฮิ่นเหล่านั้น จนเกิดสัตว์ประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อนขึ้น

 

 

ที่น่ากลัวไม่ใช่ทะเลหลีเฮิ่น ทะเลผืนนี้กว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด มันก็ยังมีที่สิ้นสุด แต่ที่น่ากลัวจริงๆ คือ ความคิดยึดติดที่รัดรึงร่างเทพเอาไว้สายนั้น พวกมันไร้ที่สิ้นสุด

 

 

พลังเทพที่ส่งมาจากอัญมณีน้อยลงไปทุกที เซ่าอี๋รู้ว่า นี่คือผลลัพธ์อันเลวร้ายจากการร้องขออย่างไม่มีที่สิ้นสุดของเขาต่อคนรุ่นหลังตระกูลชิงหยาง แต่ว่ามันเพียงพอแล้ว วิญญาณเทพของเขาแข็งแกร่งมากแล้วในช่วงเวลาหลายล้านปีที่ผ่านมา จนแทบไม่สามารถสูญสลายไปได้ เมื่อเขาตัดความคิดยึดติดอันเลวร้ายออกไปพร้อมเข้าสู่การถือกำเนิดใหม่ วิญญาณก็ไม่น่าจะถึงกับต้องดับสูญ

 

 

วิญญาณเทพของเขาทั้งหมดรวมอยู่ในอัญมณี นับตั้งแต่ที่ตัดความคิดยึดติดนั้นไป ร่างเทพพลันเกิดความอาวรณ์ มันกลายเป็นพายุที่รุนแรงมาก อัญมณีถูกพายุม้วนไปจนถึงริมขอบความมืด ในช่วงที่ร่างเทพได้สัมผัสเข้ากับแสงตะวันแรกของโลก เขาก็แยกไม่ออกแล้วว่า นั่นคือความยินดีอย่างสุดซึ้ง หรือความเศร้าอย่างลึกล้ำกันแน่

 

 

หงส์คืนชีพจากเปลวเพลิง ถือกำเนิดใหม่นิจนิรันดร์ คือคำที่ตระกูลชิงหยางทุกคนต่างรู้จัก แต่ว่ากลับไม่มีใครที่สามารถถือกำเนิดใหม่ได้สำเร็จมาก่อน กระทั่งเทพที่สูงศักดิ์ที่สุดก็ยังไม่อาจหนีพ้นชะตาที่กำหนดจากกฎสวรรค์ว่าต้องดับสูญได้ แต่เขากลับสามารถหนีได้พ้นแล้ว เขาคือมหาเทพชิงหยางคนแรกอย่างแท้จริง

 

 

อาศัยครรภ์ของฮูหยินมหาเทพชิงหยางในปัจจุบันมาถือกำเนิดใหม่ เขากลายเป็นเทพอายุน้อยอีกครั้ง เมื่อไข่มุกวิเศษวิญญาณเทพผูกไว้ที่หน้าผากของเขาอีกครั้ง ความรู้สึกของเขาก็ท่วมท้นไปหมด

 

 

ท่านชายในกระจกมีหน้าตาหล่อเหลา ริมฝีปากแย้มยิ้ม ไม่ได้ต่างอะไรกับเมื่อก่อนเลย ท่าทางเสเพลและความชอบทุกอย่างเองก็ยังคงเหมือนเดิม ท้องฟ้าสีฟ้าในยามกลางวัน ภูเขาและสายน้ำสีเขียว ทุกอย่างผ่านมาแล้วถึงหลายหมื่นปี บางอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่ว่าบางอย่างกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปจนกระทั่งเขาไม่รู้จักอีกแล้ว เขาคือผู้เดียวที่ยังเหลืออยู่ ยังคงนึกถึงความทรงจำหลายล้านปีก่อน เขารู้สึกอาวรณ์ทุกอย่างแต่ก็ไร้ความรู้สึก

 

 

เมืองฉยงซางกลายเป็นเมืองกว้างโล่งไร้ที่สิ้นสุด ความรุ่งโรจน์ในวันวานเหลือไว้เพียงมหาเทพที่ร่างกายอ่อนแอผู้หนึ่งและเหล่าเทพขุนนางที่เหลือรอดเท่านั้น

 

 

แต่ว่าก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้เขาจัดการเถอะ เขาจะต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมาได้แน่ นี่คือภาระหน้าที่ที่เขาจะต้องการรับผิดชอบในหลายปีนี้ เรื่องแรกที่เขาต้องแก้ไขก็คือเรื่องทะเลหลีเฮิ่น มันคือหายนะที่ใหญ่ที่สุด และจะต้องรีบกำจัดโดยไว และผู้ที่จะสามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้ ก็มีเพียงตระกูลจู๋อินเท่านั้น

 

 

หงส์ปั้นเสร็จแล้ว เส้นไหมบนคอเส้นยาวนั่นราวกับจะพลิ้วขึ้นมาอย่างนั้น เซ่าอี๋หยิบมันขึ้นมาจากฝ่ามือของเสวียนอี่เบาๆ ไหมเส้นนั้นราวกับลอยอยู่ในใจเขามาตลอด มันมัดเขาไว้ และในพริบตานั้นเขากลับรู้สึกเสียใจขึ้นมา

 

 

“สวยจริงๆ” เขากล่าวชมเสียงนุ่ม “ให้ข้าได้ไหม”

 

 

เสวียนอี่คิดแล้วพยักหน้าอย่างใจกว้าง “ในเมื่อท่านบอกกล่าวสาเหตุมาแล้ว ก็ได้ ข้าให้ท่าน”

 

 

“ขอบคุณ”

 

 

เซาอี๋มองไปยังหงส์หิมะปั้นอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้นำมันเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างระวัง เสวียนอี่ใช้แขนเสื้อกดเสียงหาวเอาไว้ นางเหนื่อยจริงๆ แผลที่หัวใจกำเริบ พลังเทพหมดเกลี้ยง และยังต้องมาฟังเรื่องที่ยาวขนาดนี้อีก หลังจากนี้ยังมีเรื่องที่ยากลำบากขนาดนั้นรอให้นางไปทำ นางจะต้องนอนสักหลายวันหน่อยถึงจะได้

 

 

“ท่านให้ข้าเข้าไปที่ทะเลหลีเฮิ่น เพราะคิดอยากจะให้ข้าเอาร่างมหาเทพของท่านร่างนั้นออกมาหรือ” นางถาม

 

 

เซ่าอี๋ส่ายศีรษะแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ร่างนั้นถูกความคิดยึดติดอันเลวร้ายรัดรึงไว้ และได้กลายเป็นสิ่งประเภทเดียวกับมือขนาดใหญ่ทั้งสองของฝางเฟิงซื่อไปแล้ว ตอนนี้ข้ายังพอจะสื่อสารควบคุมความคิดยึดติดในทะเลหลีเฮิ่นได้บ้างบางคราว รอให้ควบคุมไม่ได้อีกแล้ว ค่อยให้เจ้าลงมือ ข้าอยากจะให้เจ้าทำลายร่างนั้นทั้งหมดไปเสีย”

 

 

เสวียนอี่ถามไปตรงๆ ว่า “ทำลายอย่างไร ข้าไม่สามารถแช่แข็งตระกูลชิงหยางได้หรอกนะ”

 

 

เซ่าอี๋ยิ้ม “เจ้ามีพรสวรรค์ที่ดี ขนหัวใจหงส์สองเส้นของข้าไม่สามารถทำให้เจ้าใช้พลังทั้งหมดออกมาได้ แต่ว่าข้าสามารถช่วยเติมให้เจ้าอีกเส้นได้ ขนหัวใจหงส์สามเส้นเพียงพอแล้วที่จะให้เจ้าปล่อยพลังเทพทั้งหมดออกมา และยังพอที่จะแช่แข็งร่างนั้นได้ด้วย อย่างไรเสียนั่นก็เป็นเพียงร่างไร้ชีวิต ไม่ใช่ตระกูลชิงหยางจริงๆ แต่ว่า ทะเลหลีเฮิ่นเกรงว่าคงจะไม่ได้มีสัตว์ประหลาดเพียงแค่มันอย่างเดียว เจ้าต้องระวังหน่อย”

 

 

นางระวังไปจะมีประโยชน์อะไรกัน หากว่าเป็นเรื่องง่ายๆ จริงๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องอ้อมค้อมถึงขนาดนี้ แต่ว่านางไปครั้งนี้เก้าในสิบส่วนอาจต้องเอาชีวิตไปทิ้ง ช่างเถอะ อย่างไรเสียชีวิตนี้ของนางเขาก็เป็นผู้ยื้อไว้ หนำซ้ำยังทำให้ชิงเยี่ยนต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมาตลอดหลายปีมานี้อีก นางยอมให้ตนเองไปทะเลหลีเฮิ่นและดับสูญอยู่ภายในนั้น ไม่ต้องเห็นน้ำตาของพวกเขา แต่พวกเขายังคงคิดถึงนางตลอด ยังดีกว่าที่จะให้นางรออยู่ด้านนอกมองพวกเขาเข้าไป แล้วมีชีวิตต่อไปราวกับคนโง่งมคนหนึ่ง

 

 

เสวียนอี่นิ่งไปนาน ทันใดนั้นก็ถอนหายใจ “ทำไมจู่ๆ ข้าถึงได้รู้สึกว่าข้ายิ่งใหญ่ขึ้นมาก”

 

 

นางลุกขึ้นแล้วปัดชุดผ้าไหม พร้อมลูบส่วนที่นั่งทับจนยับให้เรียบ นางหมุนตัวเดินกลับไปยังตำหนักหยวนจัน ต้องนอนแล้ว หวังว่าจะไม่ต้องฝัน ถ้าอย่างนั้นหมายความว่านางยังพอจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้

 

 

เซ่าอี๋เรียกนางเอาไว้ “ปลาดุกอุยน้อย”

 

 

อะไร นางหันกลับไป ทันใดนั้นเขาก็อ้าแขนทั้งสองแล้วกอดนางเอาไว้แน่น ริมฝีปากพลันร้อนขึ้นมา เขาก้มหน้าลงจุมพิตนางครั้งหนึ่ง แค่แตะและถอยห่างออกไป

 

 

เห็นนางกัดปลายลิ้นจนแตกตั้งท่าจะพ่นน้ำแข็งออกมา เซ่าอี๋ก็รีบใช้มือปิดปากของนางเอาไว้ ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลลงมาก “หากว่าเจ้ากำเนิดในยุคสมัยของข้าตอนนั้น คิดว่าทะเลหลีเฮิ่นกระทั่งตอนนี้ก็ยังคงเป็นทะเลหลีเฮิ่นที่งดงามผืนนั้นแน่”

 

 

เขาถอดผ้าสีดำคาดตาของนางออกเบาๆ แล้วลูบเรือนผมยาวของนาง น้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยความห่างเหิน “ไปนอนเถอะ อย่าฝัน”

 

 

 

 

เผ่ามารที่ทำตามอำเภอใจที่โลกเบื้องล่างแทบจะหยุดลงแล้ว เหล่าราชาที่เคยอวดดีกันมากหลายตนต่างถูกฆ่าล้างเผ่าอย่างโหดร้าย คิดว่าในที่สุดก็น่าจะสำนึกได้ถึงวิธีการที่เหล่าเทพใช้และความคิดจะรักษากฎฟ้าดิน จึงพากันเลือกที่จะหลบซ่อนไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ถึงแม้ว่าเหล่านักรบมีใจคิดอยากจะพลิกแผ่นดินขุดเหล่ามารที่หลบซ่อนอยู่ออกมา แต่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังต้องป้องกันเหล่าราชาแอบไปวางแผนลับกันแล้วมาลอบโจมตีกะทันหันด้วย ราชาที่เหลืออยู่ทั้งสิบสองตนต่างไม่มีใครที่จะรับมือได้ง่ายๆ ขอแค่ร่วมกันสามคนและเคลื่อนไหวพร้อมกัน ก็จะเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินครั้งหนึ่ง

 

 

และเพราะอย่างนี้ เพื่อป้องกันมิให้เหล่านักรบเกียจคร้าน การลงทัณฑ์จึงยิ่งรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ตลอดทางตอนที่ฝูชางผ่านกระโจมที่พักนักรบของหน่วยอี่ปิ่งอิ๋น เขาได้เห็นนักรบสามสี่คนถูกสายฟ้าฟาดศีรษะลงทัณฑ์ไปแล้วเพราะชอบออกไปจากหน่วยและทำตามใจตน

 

 

ครั้นเดินผ่านระเบียงคดที่เต็มไปด้วยเงาเถาวัลย์ไป เรือนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าก็ปรากฏโฉมออกมาให้เห็นตรงหน้า ฝูชางมองดูรอบด้านเรือนอย่างละเอียด เพราะต้นไม้หนาทึบอย่างผิดปกติ ทำให้ที่นี่เหมาะแก่การปกปิดร่องรอยมาก

 

 

ก่อนหน้านี้เขาไปที่ประตูสวรรค์ทิศใต้มาหนึ่งรอบ และไปตรวจสอบดูรายชื่อนักรบที่ผ่านไปมาภายในสิบวันนี้อย่างละเอียดถึงสามครั้ง เขาไม่เห็นชื่อของเซ่าอี๋และองค์หญิงมังกร นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ได้กลับไปแดนเทพ หรือไม่ก็มีทางลับอื่นที่จะกลับไปได้

 

 

เมืองฉยงซางอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้า กระทั่งท่านพ่อยังไม่รู้ที่ตั้งของมันเลย ฝูชางไม่อยากเสียเวลาไปกับการหาทางขึ้น หากจะอ้อนวอนให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมา สู้ให้เขาตามร่องรอยของเซ่าอี๋ไปยังดีกว่า

 

 

ก่อนที่เซ่าอี๋จะมาที่หน่วยอี่ปิ่ง เขาอยู่ในหน่วยอู้เฉินซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบทะเลหลีเฮิ่นมาตลอด เมื่อมีคำสั่งฆ่าปีศาจสั่งลงมาแล้ว เขาก็ใช้ขนหงส์หนึ่งเส้นมาเป็นคำสัญญา ติดสินบนมหาเทพชิงหยวนและจงใจให้ตนมาอยู่หน่วยอี่ปิ่งอิ๋น การกระทำนี้ช่างน่าคิดมาก

 

 

ฝูชางผลักประตูเรือนช้าๆ เขาเดินเข้าไปในห้อง ทันใดนั้นเงาร่างสีฟ้าอ่อนบนเก้าอี้ก็ผุดลุกขึ้นแล้วร้องอย่างตกใจออกมาว่า “อ๊ะ” ครั้งหนึ่ง ฝูชางมองนางนิ่ง กลับเป็นจื่อซี เขามองแล้วถึงกับมึนงงไป “…ศิษย์พี่หญิงทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้”

 

 

จื่อซีกำปลายเสื้ออย่างทำตัวไม่ถูก “ข้า…มารอเซ่าอี๋”

 

 

แม้ฝูชางจะฉลาดมีไหวพริบมาก แต่เขาก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ในความทรงจำของเขานั้น จื่อซีเป็นผู้ที่ทั้งจริงจังและขยันมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าจะเหมือนกับเหล่าเทพที่ชอบเที่ยวเล่นสนุกเหล่านั้นได้เลย เขาไม่อยากกล่าวอะไรมาก จึงเดินวนไปรอบห้องหลายรอบพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงมารอหลายวันแล้วหรือ”

 

 

ความกระดากของจื่อซีลดลงไป กล่าวเสียงเบาว่า “ประมาณสี่วัน”

 

 

ฝูชางกลอกตาแล้วหันกลับมามองนาง “ตอนที่เขาไป ศิษย์พี่หญิงเห็นหรือ”

 

 

หลายวันนี้จื่อซีดูเฉื่อยชาไปบ้าง กระทั่งตอนนี้ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาว่า เซ่าอี๋ชิงตัวเสวียนอี่ไป ฝูชางจะต้องไล่ตามมาแน่ นางพยักหน้า “ข้าเห็นเขาเข้าห้อง แต่พอข้าตามเข้ามา เทพขุนนางตระกูลชิงหยางก็บอกว่าเขาไปแล้ว”

 

 

กระทั่งเทพขุนนางตระกูลชิงหยางยังลงมาที่โลกเบื้องล่างด้วย เขามีแผนอะไรอยู่จริงๆ

 

 

ฝูชางผลักประตูเรือนด้านหลัง กำลังคิดที่จะค้นหา นอกประตูพลันได้ยินเสียงเคาะดังขึ้น เสียงของนักรบแปลกหน้าดังขึ้น “นักรบจื่อซี เปิดประตู”

 

 

เขาหันกลับไป ก็เห็นจื่อซีมีสีหน้าขาวซีด นางก้มหน้าลงอย่างอับอายราวกับทำอะไรผิดไป นิ่งชะงักไปนานถึงได้ไปเปิดประตู นักรบหน่วยอื่นหลายคนเดินเข้ามาด้านในทันที แล้วจับแขนทั้งสองของนางไพล่หลัง ผู้ที่เป็นผู้นำมาคือแม่ทัพผู้คุม เขาทำหน้าเสียดายแล้วถอนหายใจติดกัน “เจ้าไม่เคยทำเรื่องผิดมาก่อน ทำไมตอนนี้ถึงได้ออกมาจากหน่วยตามใจอย่างนี้กัน การลงโทษด้วยประกายสุริยันฟาดกระหม่อมนั้นเจ็บขนาดไหนเจ้ารู้หรือไม่”

 

 

จื่อซีนิ่งเงียบไม่กล่าวอะไร แม่ทัพผู้คุมโบกมือ เหล่านักรบก็จับนางแล้วดันไปด้านนอก นางเดินไปหลายก้าวแล้วพลันหันกลับมาเอ่ยว่า “ศิษย์น้องฝูชาง เสวียนอี่นาง…”

 

 

นางเอ่ยปากอยากจะกล่าวเรื่องที่เสวียนอี่กับเซ่าอี๋สนิทชิดเชื้อกันอย่างผิดปกติออกมา แต่ว่ากลับหยุดปากไว้ พฤติกรรมอย่างนี้น่าเกลียดเกินไปแล้ว

 

 

นางมองไปยังแววตาดำสนิทของฝูชาง นิ่งไปแล้วจึงกล่าวว่า “…เรื่องที่ข้าถูกลงโทษ ขอเจ้าอย่าได้กล่าวออกไป”

 

 

ฝูชางพยักหน้าเงียบๆ เห็นนางถูกพาออกไปจากเรือน ถึงได้กลับมาที่หลังเรือน เขาปล่อยพลังเทพออกมา รับรู้การเคลื่อนไหวของไอบริสุทธิ์ในกระโจมทั้งหมดและรับเข้ามาในสายตา เขาหมุนตัว เดินมุ่งหน้าไปตามระเบียงหลังเรือนช้าๆ สุดท้ายจึงไปหยุดอยู่ที่บ่อน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง

 

 

ข้างบ่อน้ำปลูกต้นอู๋ถงเอาไว้ ไอบริสุทธิ์ปล่อยออกมาอย่างช้าๆ หากไม่สังเกตให้ดีจะมองไม่ออกเลย ไอบริสุทธิ์สายนี้แม้จะเล็กและเบาบาง แต่กลับไม่ได้สลายไป มันพุ่งขึ้นไปบนฟ้า

 

 

เขายื่นมือออกไป กำลังจะสัมผัสเข้ากับศูนย์กลางไอบริสุทธิ์นั้น ด้านหลังพลันมีบางอย่างเคลื่อนไหว เขาไม่ได้หันกลับไป ขาขวากระทืบเบาๆ หนึ่งครั้ง ทันใดนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง กระทั่งสายลมยังราวกับสั่นไหวขึ้นมา ด้านหลังมีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังออกมา ฝูชางพลันหมุนตัวไปอย่างกะทันหัน แล้วเขาก็เห็นเทพขุนนางตระกูลชิงหยางล้มระเนระนาดอยู่เต็มพื้น

 

 

ด้วยข้อจำกัดทางสายเลือด เทพขุนนางต่อให้ร้ายกาจอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะสามารถเทียบกับเทพที่แท้จริงอย่างพวกเขาได้ ฝูชางไม่ได้เข่นฆ่าต่อ เพียงแต่กล่าวว่า “เซ่าอี๋กลับไปแดนเทพจากทางเดินนี้หรือ”

 

 

เหล่าเทพขุนนางแต่ละคนหน้าซีดเผือด กัดฟันแน่นไม่ยอมกล่าวอะไร

 

 

ฝูชางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาไม่ได้รีบร้อนเข้าไปในทางเดินสายนี้ นี่น่าจะเป็นทางเดินในสมัยโบราณ มหาเทพไป๋เจ๋อเคยกล่าวไว้ว่า นับตั้งแต่ที่เขาไท่สิงและเขาคุนหลุนตกลงไปโลกเบื้องล่าง ทางเดินของสมัยโบราณส่วนมากต่างถูกไอขุ่นมัวรุกเข้ามา ทำให้เหล่าเทพทั้งหลายล้มเลิกความคิดที่จะใช้มัน ภายหลังมีการสร้างประตูสวรรค์ทิศใต้ขึ้น ทางเดินไปมาระหว่างโลกเบื้องบนและล่างจึงมีที่ที่แน่นอน

 

 

เรื่องนี้จนถึงตอนนี้เกรงว่าคงจะไม่ใช่แค่การแก้แค้นกันธรรมดาเสียแล้ว การวางแผนที่รัดกุมรอบคอบอย่างนี้ การเตรียมการอย่างละเอียดเพียงเพื่อทำลายตระกูลจู๋อินออกจะเป็นการทำเกินกว่าเหตุไปหน่อย พูดไปแล้วต้นเหตุของความแค้นระหว่างสองตระกูล น่าจะเป็นการต่อสู้ที่ทะเลหลีเฮิ่น ทะเลหลีเฮิ่น…ก่อนหน้านี้หน่วยอู้เฉินที่เซ่าอี๋อยู่เองก็คอยคุ้มกันทะเลหลีเฮิ่นอยู่

 

 

ฝูชางก้าวเท้าไป เขาเดินอ้อมเหล่าเทพขุนนางของตระกูลชิงหยางบนพื้น ราวกับจะใช้ทางเดิมเดินกลับไป เขาเดินไปก็แสร้งถามไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “พวกเขาไปทะเลหลีเฮิ่นเมื่อไหร่”

 

 

เหล่าเทพนักรบบางคนหลุดปากกล่าวออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ใกล้แล้ว…”

 

 

ยังไม่ทันกล่าวจบ เขาก็หน้าซีดยิ่งกว่าเดิม เทพฝูชางเองก็หลอกถามเป็นด้วยหรือ เขาไปเรียนมาจากใครกัน

 

 

ต้องไปทะเลหลีเฮิ่นแล้วจริงๆ ฝูชางไม่กล่าวอะไรอีก ออกไปจากกระโจมที่พักนักรบทันที จากนั้นราชสีห์เก้าเศียรก็มุ่งตรงไปทางทะเลหลีเฮิ่นอย่างรวดเร็ว