บทที่ 182 วินิจฉัยผิด พลังยิ่งใหญ่ของเฟิ่งชิงเฉิน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 182 วินิจฉัยผิด พลังยิ่งใหญ่ของเฟิ่งชิงเฉิน
อาการปวดฟันของซู่ชินอ๋องไม่ใช่วันสองวันแล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่ไปก่อนหน้านี้ แต่เลือกไปจังหวะนี้ จุดประสงค์ยังต้องกล่าวถึงอีกหรือ
เจ้าเก้าหนอเจ้าเก้า นี่คือสิ่งที่เจ้าบีบบังคับข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะเชือดไก่ให้ลิงดู
“ทหาร” องค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืน “จงเรียกตัวอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายไปหารือที่ตำหนักไท่เหอ”
เมื่อกล่าวจบก็ได้เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ค่ำคืนนี้คาดว่าคงจะไม่ได้พักผ่อนอีกแล้ว
เสด็จอาเก้าประทับอยู่ในเรือนจำ และเนื่องจากกลิ่นหอมมันเข้มข้นจึงไม่อาจทำให้หลับตาลงได้ ดังนั้น ผู้คนในเมืองหลวงและจึงได้แต่อยู่เป็นเพื่อนคอยรับใช้อย่างว่าง่าย
หลังจากที่คนรับใช้นำสิ่งของมาวางไว้ให้ เฟิ่งชิงเฉินก็กวักมือให้หวังจิ่นหลิงเข้ามาช่วย “เจ้าช่วยถือกระจกและยืนดีๆ”
เมื่อนำกระจกส่องเข้าไปในช่องปากของซู่ชินอ๋อง เฟิ่งชิงเฉินก็จุ่มตะเกียบลงไปในสุรา แล้วสั่งให้ซู่ชินอ๋องอ้าปาก ซู่ชินอ๋องเคยชินกับการรักษาจากหมอหลวงและคนอื่นๆ เช่นนี้ จึงทำให้อ้าปากโดยง่าย
มือซ้ายของเฟิ่งชิงเฉินถือหินเรืองแสงเอาไว้ มือขวาถือตะเกียบ มองไปเหมือนจะดูตลกแต่สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินนั้นจริงจัง
ช่างเข้มงวด ดูเป็นมืออาชีพ ท่าทางสง่างามทำให้ทุกคนไม่กล้าที่จะดูถูกนาง
ซู่ชินอ๋องอ้าปาก เฟิ่งชิงเฉินปรับตำแหน่งของกระจกที่ถืออยู่ในมือของหวังจิ่นหลิง แล้วถือหินเรืองแสงขยับไปมา พบว่า……
กระจกนั้น ส่องสะท้อนภาพภายในปากของซู่ชินอ๋องได้อย่างดี
ซู่ชินอ๋องนึกอยู่ในใจว่า ฉลาดไม่เบา
เฟิ่งชิงเฉินไม่มีอารมณ์ไปคิดถึงความคิดใดของซู่ชินอ๋อง นางตรวจมองดูฟันบนและฟันล่าง ดูเหมือนจะถูกถอนออกไปถึงแปดซี่ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน
การถอนฟันในสมัยโบราณจะไม่ได้กำจัดเซลล์ประสาทซึ่งทำให้เจ็บปวดนี้ออกไป แต่ต้องถอนออกมาโดยตรง ไม่ต้องกล่าวเรื่องของความเจ็บปวด แต่การรักษาบาดแผลนั้นก็เป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว
เมื่อฟันถูกถอนออกไป ก็จะเหลือเพียงรูเลือด ฟันที่ถูกถอนมาก่อนหน้านี้นานแล้วค่อยยังชั่ว เนื่องจากแผลถูกรักษามาพอประมาณ แต่ฟันที่เพิ่งถูกถอนออกไปนั้นรอยเลือดยังคงอยู่ที่นั่นและเหงือกก็บวมแดงมาก
“ท่านอ๋อง อีกประเดี๋ยวเมื่อชิงเฉินเอ่ยถามท่านว่าเจ็บหรือไม่ ให้ท่านตอบตามความจริง” นางเกรงว่าซู่ชินอ๋องจะแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง แม้เจ็บก็ไม่บอก
“อืม” ในครั้งนี้ซู่ชินอ๋องให้ความร่วมมือเป็นอย่างมาก คาดว่าคงจะกลัวเจ็บแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินใช้ตะเกียบเคาะไปที่ฟันบนฟันล่าง แต่ซู่ชินอ๋องล้วนกล่าวว่าเจ็บ ดูเหมือนว่าเขาจะเจ็บฟันไปเสียทุกซี่
เคาะไปเคาะมา ทำให้มือเฟิ่งชิงเฉินถึงกับล้า
เพราะว่าตะเกียบนั้นไม่มีน้ำหนัก นางจึงต้องใช้กำลังมากในการเคาะจึงจะแน่ใจว่าถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม นางเห็นว่าฟันทุกซี่ของชินอ๋องล้วนอยู่ในสภาพดี หากว่าซู่ชินอ๋องกล่าวว่าเจ็บทุกซี่ ก็คงต้องถอนฟันหมดปากเลยหรือ?
เป็นไปไม่ได้ แม้เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ใช่ทันตแพทย์ แต่นางก็รู้ดีว่าอาการปวดฟันไม่ใช่เช่นนี้
“เอาล่ะเสร็จแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินให้สัญญาณว่าซู่ชินอ๋องสามารถหุบปากลงได้ และหวังจิ่นหลิงก็ไม่ต้องใช้กระจกส่องเข้าไปอีก
นางคืนหินเรืองแสงให้แก่ซู่ชินอ๋อง เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา นางหยุดครุ่นคิดอยู่ที่เดิม
ทุกคนก็ไม่มีใครกล้ารบกวนนาง
เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดเกี่ยวกับสถานการณ์เมื่อครู่แล้วลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ลองกดที่แก้มซ้ายของท่านดู”
เฟิ่งชิงเฉินดูเหมือนจะคิดออกแล้วแต่นางไม่กล้ากล่าว เนื่องจากว่าหากนางกล่าวออกไปจะทำให้การวินิจฉัยของหมอคนก่อนๆ ผิดพลาดทั้งหมด ซึ่งนี่เป็นเรื่องต้องห้าม
“เพราะเหตุใด?” น่าเสียดายที่ซู่ชินอ๋องไม่ได้เป็นคนที่หลอกง่าย
เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วจนหัวคิ้วแทบจะชนกัน หากนางกล่าวออกไปคงทำให้ผู้คนมากมายต้องขุ่นเคือง และที่สำคัญคือนางอาจจะฆ่าใครหลายๆ คนได้
เฮ้อ……
“ชิงเฉิน กล่าวออกมาเถิด ท่านอ๋องไม่ถือโทษเจ้าหรอก” หวังจิ่นหลิงพยักหน้าปลอบโยนเฟิ่งชิงเฉินให้สบายใจ
“กล่าวมาเถิด แม่นางน้อยอย่าได้เล่นกลอุบายต่อหน้าข้า” เมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บของตน เหตุใดซู่ชินอ๋องจึงจะไม่เป็นกังวลใจเล่า
เมื่อรู้ว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินจึงกล่าวคำวินิจฉัยของตนออกมา “ท่านอ๋อง ชิงเฉินกำลังสงสัยว่าท่านอ๋องไม่ได้ปวดฟัน แต่ปวดหน้า”
ในทักษะของแพทย์ตะวันตก อาการปวดหน้าเรียกได้ว่าเป็นโรคทางเส้นประสาทชนิดหนึ่ง ซึ่งอาการเจ็บปวดนี้จะเกิดขึ้นในพื้นที่ใบหน้า เมื่อมีอาการจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดเส้นประสาท
ซึ่งง่ายต่อการเข้าใจผิดว่าเป็นปวดฟัน แม้ในสมัยปัจจุบันก็ยังถูกวินิจฉัยพลาดอยู่บ่อยๆ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสมัยโบราณ
อีกอย่าง ซู่ชินอ๋องมักกล่าวว่าเขามีอาการปวดฟัน ดังนั้นจึงไม่ได้คิดถึงปัญหาบนใบหน้า
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ซู่ชินอ๋องใบหน้ามืดมนดูโกรธแค้น
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าหากนางกล่าวออกมาเช่นนั้นจะมีผลลัพธ์เป็นดังนี้ แต่นางก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ “ท่านอ๋องเพคะ ชิงเฉินพอจะแน่ใจอยู่ค่อนข้างมาก ท่านอ๋องลองกดปลายนิ้วลงบนใบหน้าที่แก้มเบาๆ อาการเจ็บปวดมากขึ้นใช่หรือไม่?”
อาการปวดหน้าเป็นการเจ็บปวดที่สุดในโลกก็ว่าได้ เมื่อใดที่เกิดอาการสามารถทำให้ผู้ป่วยเจ็บจนเป็นลมหมดสติได้ ซู่ชินอ๋องนับว่าแข็งแกร่งยิ่งนัก แม้อาการปวดใบหน้าจะกำเริบเเต่เขาก็ยังคงยิ้มได้
ซู่ชินอ๋องเห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉิน ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแล้วยื่นมือออกไปกดดู
“ซี๊ด……” ซู่ชินอ๋องอ้าปากค้างด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็นไหลลงมาเป็นทางตรงหน้าผาก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาต
“เจ็บหน้า ข้าเจ็บหน้าจริงๆ!” ซู่ชินอ๋องกดไปอีกสองสามแห่ง ใบหน้าของเขาดูไม่น่ามองขึ้นกว่าเดิม
บัดนี้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เชื่อเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เพราะความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า แม้จะบอกว่าตอนที่นางเคาะไปที่ฟันจะรู้สึกปวด แต่ความเจ็บปวดไม่ได้ทวีคูณมากขึ้น
ทว่าเมื่อกดไปที่แก้ม…… จึงเกิดการเปรียบเทียบกัน
ซู่ชินอ๋องคิดมาเสมอว่าเขาปวดฟัน แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามีปัญหาเรื่องการปวดใบหน้า ในความคิดของเขาใบหน้าจะเจ็บปวดได้อย่างไร ต่อให้ปวดหน้าก็ควรจะปวดไปทั้งใบหน้าไม่ใช่แค่เพียงจุดเดียว
“ต้มตุ๋น พวกหมอต้มตุ๋น ทหาร! จงไปจับพวกหมอต้มตุ๋นเหล่านั้นมาฆ่าให้หมด!” ซู่ชินอ๋องรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวแต่ก็โมโหคับข้องใจมาก เขาตกลงไปที่โต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน
ห้องนั้นยังคงเป็นห้องเดิม แต่เนื่องจากซู่ชินอ๋องลุกขึ้นยืนจึงทำให้ห้องนั้นดูเล็กแคบลงไป เฟิ่งชิงเฉินตกใจจนก้าวถอยหลัง เมื่อเห็นความโกรธในดวงตาของซู่ชินอ๋องที่อยู่ด้านหน้านี้ นางก็พยายามก้าวเข้าไปอย่างกล้าหาญ……
“ท่านอ๋องใจเย็นก่อนเพคะ”
นางรู้ดีว่าผลออกมาเป็นเช่นนี้
ห้องนั้นยังคงเป็นห้องเดิม แต่เนื่องจากซู่ชินอ๋องลุกขึ้นยืนจึงทำให้ห้องนั้นดูเล็กแคบลงไป เฟิ่งชิงเฉินตกใจจนก้าวถอยหลัง เมื่อเห็นความโกรธในดวงตาของซู่ชินอ๋องที่อยู่ด้านหน้านี้ นางก็พยายามก้าวเข้าไปอย่างกล้าหาญ……
หมอไม่ต่างกับโจรที่นำศีรษะแขวนไว้ ในโลกปัจจุบันหากวินิจฉัยโรคผิดล่ะก็ บทลงโทษอย่างหนักคือการจำคุก บทลงโทษอย่างเบาคือการต้องออกจากวงการหมออย่างถาวร แต่ในสมัยโบราณเช่นนี้……
เฮ้อ หากว่าเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจ คาดว่าคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะแก้ตัว
การวินิจฉัยผิดพลาด นอกเสียจากจะมีความสัมพันธ์ด้านผลประโยชน์ หากไม่มีล่ะก็ไม่ว่าจะเป็นหมอคนใดที่วินิจฉัยผิดพลาดไปก็จะนับว่าทักษะทางการรักษาไม่ดีและขาดประสบการณ์ จากสถานการณ์เช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่รู้เช่นกันว่าใครผิดใครถูก
เนื่องจากการวินิจฉัยผิดพลาด ส่งผลให้ผู้ป่วยเจ็บปวดมากกว่าเดิม สิ่งนี้ไม่อาจจะชดเชยกันได้ อย่างเช่นฟันของซู่ชินอ๋องที่ถูกถอนออกไป
“ใจเย็นหรือ? เจ้าให้ข้าใจเย็นอย่างไร ข้าเจ็บปวดมายี่สิบกว่าปี และในยี่สิบกว่าปีมานี้ฟันของข้าถูกถอนไปถึงแปดซี่ เฟิ่งชิงเฉินเจ้าดูหน้าของข้าสิ” ซู่ชินอ๋องชี้ไปที่ใบหน้าของตนด้านซ้าย ดวงตาคู่นั้นไม่อาจระบายความรู้สึกออกมาได้
บัดนี้ในตอนนี้มีเพียงการฆ่าเท่านั้นที่จะสามารถระบายความโกรธในใจของเขาออกมา
เมื่อมองเห็นดวงตาแดงก่ำของซู่ชินอ๋องเช่นดวงตาผู้ที่ไร้เหตุผล เฟิ่งชิงเฉินจึงเข้าใจได้ทันทีว่าบัดนี้ซู่ชินอ๋องโมโหขุ่นเคืองสักเพียงใด
แต่ว่า……. หากจะให้ประหารชีวิตหมอนับสิบคนดูเหมือนจะสูญเสียมากเกินไป
คุณข้าของหมออยู่ที่การรักษาผู้คน กว่าจะมีหมอถือกำเนิดขึ้นสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ในราชวังไม่มีปัญหาการขาดแคลนหมอ แต่สำหรับประชาชนทั่วไปเล่า
ในยุคที่ขาดแคลนทรัพยากรทางการแพทย์อย่างร้ายแรงเช่นนี้ หมอคนหนึ่งหมายถึงอะไร เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดี
นางทำไม่ได้ เมื่อมองเห็นซู่ชินอ๋องออกคำสั่งให้ฆ่าหมอเหล่านั้นอย่างไม่แยแส