ค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวงอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวค่อยๆ เงยหน้าบนหลังคาบ้านหิมะ ฝึกหายใจเข้าออกเป็นลมหายใจขาวโพลนครั้งหนึ่ง มองจากไกลๆ ลมหายใจนั้นคล้ายมีแสงสลัวดั่งแสงจันทร์
นางกระโดดลงบ้านหิมะอย่างว่องไว หิ้วเหยื่อไว้ในมือ
กล่าวว่าเตรียมพร้อมย่อมประสบความสำเร็จ หลังจากที่ปราณแท้แรกของจิ่งเหิงปัวปรากฏ ก็ทำลายสิ่งกีดขวางทุกรูปแบบของผู้ฝึกวรยุทธทั่วไปด้วยพลังที่ใกล้เคียงกับพลังทำลายล้าง แม้รูปร่างของนางยังเพรียวบาง กระทั่งไม่ได้หลงเหลือร่องรอยการฝึกวรยุทธเท่าไร แต่พลังการลงมือกับพลังทำลายล้างเทียบกับตอนแรกไม่ได้แล้ว
หลังจากนั้นการอยู่รอดในหุบเขาหิมะย่อมไม่มีปัญหาใหญ่อะไร จิ่งเหิงปัวแปลกใจนิดหน่อย การฝึกฝนในหุบเขาหิมะครั้งนี้ก็แค่นี้เองเหรอ? นอกจากวันแรกลำบากหน่อย สภาพชีวิตเลวร้ายหน่อย เคยชินแล้วก็ไม่มีอะไรนะ ครึ่งเดือนต่อมาบาดแผลของเหยียลี่ว์ฉีเกือบหายดีแล้ว เขาฟื้นคืนพลังต่อสู้ การอยู่รอดยิ่งไม่มีปัญหา แต่จากนั้นนางก็เจอเรื่องเฮงซวยที่แท้จริง…ในหุบเขาหิมะไม่มีสัตว์แล้ว!
เดิมทีสัตว์ที่อยู่ในหุบเขาหิมะได้ก็มีจำกัด ขนาดของที่นี่ก็ไม่นับว่าใหญ่ คาดว่ายังมีสัตว์มากมายโดนท่านอาจารย์จื่อเวยไล่ไปแล้ว จิ่งเหิงปัวกับเหยียลี่ว์ฉีเดินตลอดทั้งวัน ค้นทั่วหุบเขา ขุดทุกโพรง สุดท้ายแน่ใจจนได้ว่าไม่มีอาหารแล้ว
กระต่ายตัวสุดท้ายที่เหลือถูกกินอย่างล้ำค่าห้าวัน สามคนบ่ายเบี่ยงให้กันและกัน ต่างบอกว่ากระต่ายไม่อร่อยเกินไป กินจนเอียนแล้ว สามคนเกือบทะเลาะกันเพื่อเลี่ยงกินกระต่ายที่ไม่อร่อยตัวนี้
ไม่กี่วันนั้นตอนที่ฝึกวรยุทธ จิ่งเหิงปัวพบว่าการฝึกวรยุทธในสภาพหิวโหย ปราณแท้โคจรได้รวดเร็วเต็มอิ่มเป็นพิเศษ แต่ว่า! นางเงยหน้ามองจันทร์ คลึงท้องที่ร้องโครกคราก…ความรู้สึกที่ต้องฝึกวรยุทธท้องหิวไม่น่าอภิรมย์เลยนะ! ทำไมพระจันทร์ดูท่าทางคล้ายขนมไหว้พระจันทร์ขนาดนี้นะ!
พื้นหิมะข้างหน้ามีเงาคน นางปีนลงหลังคาบ้านไปดู แต่เห็นเหยียลี่ว์ฉีนั่งยองในหิมะ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร
ได้ยินเสียงฝีเท้าของนาง เขาหยุดมือ หันหน้ากลับมามองนาง “หิวแล้วหรือ?”
รอยยิ้มในแสงหิมะของเขาสดใสกว่าหิมะ
“ยังไม่เป็นไร” จิ่งเหิงปัวอยากกล่าวว่าไม่หิว แต่เสียงท้องร้องดังเกินไป โกหกไม่ได้
เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม ล้วงห่อผ้าน้อยๆ จากในอ้อมแขน เปิดห่อผ้าออกข้างในยังมีห่อกระดาษ ห่อกระดาษชั้นแล้วชั้นเล่า จิ่งเหิงปัวมองอย่างแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าของอะไรล้ำค่าขนาดนี้ ทำให้เขาซ่อนไว้อย่างพิถีพิถันเช่นนี้ ยาล้ำค่า? ยาสูตรลับ? อาหาร?
นึกถึงสิ่งสุดท้ายนางอดจะกลืนน้ำลายไม่ได้ แต่ในใจรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่สามวันก่อนก็หาอาหารใดๆ ไม่ได้แล้ว สวินหรูนอนอยู่ที่นั่น เห็นก้อนหิมะเป็นขาหมูที่นางรังเกียจที่สุดแล้ว
ห่อกระดาษเปิดออก ข้างในเป็นขากวางชะมดชิ้นหนึ่ง ใหญ่แค่หนึ่งในสี่ของฝ่ามือ แต่เห็นแล้วคอหอยนางส่งเสียงดังเอื๊อก
“เจ้าซ่อนเก่งเสียจริง…” นางถอนใจ
“มา” เขายื่นขากวางชะมดให้ นัยน์ตาดำขลับเปล่งประกายมัวสลัว
กลิ่นมันเยิ้มที่โชยออกมาจากเนื้อสัตว์ไม่เคยยั่วยวนมากเท่าตอนนี้เลย กระเพาะของนางเริ่มบีบรัด คล้ายจะเอื้อมมือน้อยออกมาคว้าอาหารที่ล้ำค่านี้ไว้ในครั้งเดียว นางรีบถอยหลัง ปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง “ให้สวินหรูหรือตัวเจ้าเองกิน ข้ายังไม่เป็นไร”
เขากลับยัดเนื้อเข้าไปในปากนางเสียเลย ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “สวินหรูให้ข้ามอบให้เจ้า กระเพาะนางไม่ดี กินเนื้อแห้งแข็งเช่นนี้ไม่ได้”
“ตัวเจ้าเอง…”
“ข้ากินแล้ว” เขายิ้มให้นาง “พวกเราแบ่งกันคนละชิ้น”
จิ่งเหิงปัวก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว จูงมือของเขาออก เผยให้เห็นหญ้าสั้นๆ ไม่กี่ต้นในหลุมหิมะข้างหลังเขา
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเนื้อชิ้นนั้นติดอยู่ในคอหอย กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ห่วงใยเอาใจใส่ ผู้อื่นเสียสละ บางครั้งก็เป็นความกดดัน นางรู้สึกว่าใกล้แบกรับไม่ไหวแล้ว
นางหันหลังทันที เดินออกนอกหุบเขา
“ไปที่ใด?” เหยียลี่ว์ฉีตามมา
“อยู่รอดในหุบเขาไม่ได้ย่อมต้องหาทางออกจากหุบเขา แม้ไม่ครบหนึ่งเดือนหักคะแนนหมดสิ้นก็ดีกว่าอดตายอยู่ในหุบเขา”
หิวโหยอีกไม่กี่วัน เช่นนั้นก็จะไม่มีแรงแม้แต่ฝ่าค่ายกลแล้ว เล่ากันว่าลึกเข้าไปในยอดเขาลูกที่เจ็ดยังมีมนุษย์ภูเขาหิมะ โหดเ**้ยมเจ้าเล่ห์ที่สุด ด้วยกำลังกายของสามคนที่ใกล้หิวตายในยามนี้ เจอแล้วเกรงว่าคงญาติดีด้วยไม่ได้ อย่างไรเสียจื่อเวยเอ่ยไว้ หากฝ่าค่ายกลออกไปได้ก็จะไม่หักคะแนน
ปากว่ามือถึง เหยียลี่ว์ฉีแบกเหยียลี่ว์สวินหรูขึ้นหลัง ทว่ายามที่พวกเขาเดินไปถึงปากหุบเขา ทั้งที่เห็นทางออกที่สว่างไสว แต่พอก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ทิวทัศน์พลันเปลี่ยนแปลง ตรงหน้าคือหุบเขาหิมะเช่นเดียวกัน มีแม้แต่บ้านหิมะหลังใหญ่หลังเล็กนั้น พวกเขาลองเดินเข้าไป ยังเป็นหิมะที่ท่วมถึงเข่า สายลมที่หนาวเสียดกระดูก กระดูกสัตว์ที่กินทิ้งไว้กระจายรอบบ้านหิมะ มีแม้แต่รอยเท้ายามที่พวกเขาจากไป
“ค่ายกลกระจกเงา” เหยียลี่ว์ฉีพึมพำ
“ทำลายอย่างไร?” จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าสีหน้าของเขาคล้ายรู้วิธีทำลาย
เหยียลี่ว์ฉีฝืนยิ้มให้เห็นเล็กน้อย
“สังหารเขา”
“หา?”
“ท่านอาจารย์จื่อเวยเชี่ยวชาญค่ายกลแรงมนุษย์ หรือก็คือค่ายกลที่ใช้ตนเองเป็นแก่นค่ายกล ค่ายกลเช่นนี้เอ่ยว่ายากก็ยากเอ่ยว่าง่ายก็ง่าย เพียงวรยุทธเจ้าสูงกว่าเขาก็ทำลายค่ายกลได้อย่างง่ายดาย ทว่าหากสู้เขาไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ได้แต่ถูกขัง สำหรับท่านอาจารย์จื่อเวย ค่ายกลของเขาก็เท่ากับไม่มีผู้ใดบนโลกนี้ทำลายได้”
จิ่งเหิงปัวถอนใจ จริงด้วย กล่าวถึงวรยุทธ ในหมู่คนที่นางรู้จักก็ไม่มีใครเก่งกว่าไอ้แก่หนังเหนียวคนนี้ เขาใช้ตัวเองเป็นแก่นค่ายกลเพื่อตั้งค่ายกล อยากขังคนอย่างไรก็ขังอย่างนั้น
“มีวิธีที่ไม่สังหารเขาก็ทำลายค่ายกลได้บ้างหรือไม่?” นางไม่ยอมถอดใจ
“มี ให้เขายอมแพ้ด้วยตนเอง”
“เหอะๆ” จิ่งเหิงปัวหัวเราะ
เหยียลี่ว์ฉีกลับเอ่ยว่า “ทุกคนมีจุดอ่อน หาจุดอ่อนของเขาให้เจอก็พอ”
จิ่งเหิงปัวกระตุกวูบในใจ หัวเราะฮิฮิกล่าวว่า “ข้าเล่าเรื่องให้พวกเจ้าฟัง”
นางเล่าเรื่องแรกพบท่านอาจารย์จื่อเวยกับเพลงกล่อมเด็กจิ้งจอกนั้นให้ฟัง สองคนนั้นฟังแล้วแววตาระยิบระยับ นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา
เหยียลี่ว์ฉีมองเหยียลี่ว์สวินหรู นางเงยหน้าคล้ายกำลังหวนรำลึกเล็กน้อย
ยามนั้นนางได้นั่งนิ่งมองทะเลเมฆกับเขาครั้งนั้น ด้วยเพราะเพลงกล่อมเด็กที่ลอยผ่านหน้าต่างยามราตรีนั้นเช่นกัน
ท่ามกลางความวุ่นวายย่อมมีความเกี่ยวข้อง จะรื้อฟื้นคำตอบที่ซ่อนไว้หลายปี
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าฆาตกรที่แท้จริงคือผู้ใด?” จิ่งเหิงปัววางคางไว้บนเข่า ถามอย่างเฉื่อยเนือย
ในใจนางย่อมมีคำตอบ แต่ไม่รู้ว่าคิดเหมือนกับพวกเขาไหม
นางเป็นห่วงสวินหรูนิดหน่อย ด้วยความเฉลียวฉลาดของสวินหรู ต้องเดาได้ว่าในเรื่องนี้มีบุคคลที่สำคัญต่อท่านอาจารย์จื่อเวยยิ่งนัก ฉะนั้นหลายปีมานี้ถึงไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่ยอมลืมเลือน
แม้สวินหรูสุขุมใจกว้าง แต่ถ้าเผชิญหน้าความจริงแบบนี้ก็ยังเสียใจล่ะมั้ง?
เหยียลี่ว์สวินหรูหันข้างตลอดเวลา นางมองไม่เห็นสีหน้าของนาง
ครู่ใหญ่เหยียลี่ว์สวินหรูเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าพวกเจ้ามีคำตอบแล้ว ในเมื่ออยากให้เจ้าผู้นั้นยอมแพ้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็แสดงคำตอบออกมาตามความคิดของพวกเจ้าเถิด!”
จะไหวเหรอ? จิ่งเหิงปัวมองฟ้า แต่ตอนนี้ก็มีแค่วิธีนี้แล้ว
ฟันฝ่าออกไปไม่ไหว พวกเขาหิวโหยหลายวัน ไม่มีทางเทียบกับจื่อเวยที่คุมค่ายกลในสภาวะสมบูรณ์ได้
เหยียลี่ว์สวินหรูเดินออกไป นางคล้ายไม่อยากเห็นเรื่องเก่าที่เกี่ยวข้องกับจื่อเวยฉายซ้ำอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวกับเหยียลี่ว์ฉีหันหน้าเข้าหากัน ยืนอยู่ที่เส้นแบ่งเขตปากหุบเขา หากจื่อเวยเกิดเสียสมาธิระหว่างคุมค่ายกล ก็มีโอกาสทำลายค่ายกลในชั่วขณะแรก
“พวกเราต้องซ้อมบทกันหน่อยหรือไม่ ดูว่าพวกเราคิดเช่นเดียวกันใช่หรือไม่?” นางคิดว่าถ้าบทไม่ตรงกันก็ตลกแล้ว
“ข้ายิ่งอยากเห็นว่าพวกเราทั้งสองฝ่ายใจตรงกันหรือไม่” เหยียลี่ว์ฉีกลับแลดูมั่นใจยิ่งนัก
นางถอนหายใจ ช่างเถอะ อย่างไรเสียก็เป็นความพยายามครั้งสุดท้าย ความจริงเป็นอย่างไร แท้จริงแล้วใครก็พิสูจน์ไม่ได้ นางได้แต่สันนิษฐานสิ่งที่เป็นไปได้ที่สุด
“ศิษย์พี่” นางก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว เอื้อมสองมือไปหาเหยียลี่ว์ฉี “ช่วยข้าหน่อย”
เหยียลี่ว์ฉีจ้องมองนาง แววตาระยิบระยับ
แม้เป็นการแสดงละคร ได้เห็นสีหน้ากับน้ำเสียงเช่นนี้ของนางก็นับเป็นโชคดี
นางมักจะยิ้มแย้มเป็นธรรมชาติ ซ่อนแผลไว้ใต้สีหน้าไม่สนใจไยดี ยามนั้นแม้ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ก็ไม่เคยเห็นนางยอมแพ้อ้อนวอน
เขาอยากเห็นนางอ่อนแอบ้างมาโดยตลอด อยากเห็นนางระบายทุกข์ ร้องไห้ ออดอ้อน งอนง้อกับตนเอง…ทำเรื่องที่สตรีทั่วไปหลายนางบนโลกนี้จะทำ
ไม่ใช่ยอมเห็นนางหลั่งน้ำตา ทว่ายิ่งอยากเห็นนางปล่อยวางภาระ มีสุขมีทุกข์เฉกเช่นคนทั่วไป
เดิมทีเขานึกว่าชาตินี้ตนเองคงไม่มีโอกาสนี้แน่แท้ ฉะนั้นวันนี้ เขาพลันเกิดความซาบซึ้งต่อท่านอาจารย์จื่อเวยอยู่ในใจ
“ศิษย์น้อง” เขาก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว เอื้อมมือกุมมือของนางไว้ “หากเจ้าปรารถนาสิ่งใด ข้าจะไม่ปฏิเสธแน่แท้”
จิ่งเหิงปัวแค่เอื้อมมือเล็กน้อย เดิมทีแค่คิดจะทำท่าทาง จงใจยืนให้ห่างหน่อย นึกไม่ถึงว่าเขาพลันก้าวขึ้นมา อดจะชะงักไม่ได้ แม้แต่บทละครที่คิดไว้ยังลืมไปแล้ว
ฝ่ามือร้อนผ่าว ปลายนิ้วเขาอบอุ่นยิ่งนัก นางดิ้นรนนิดหน่อย เขาไม่ปล่อย
นางเงยหน้ามองเข้าไปในดวงตาเขา แต่สายตาเขาฉายแววไร้เดียงสาชัดเจน เต็มไปด้วยคำว่า “ตั้งใจแสดงละคร”
นางจนปัญญา ได้แต่กล่าวต่อไปว่า “ช่วยข้าจัดการพวกเขา”
วาจาประโยคนี้ออกมา ข้างบนคล้ายมีเสียงลมดังขึ้น สองคนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“ศิษย์น้องกล่าววาจานี้ได้ตรงใจข้า” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม “เจ้าเฉลียวฉลาดล้ำเลิศเช่นนี้ นับเป็นสตรีที่แข็งแกร่งที่สุดที่แท้จริงในสำนักข้า เหล่าศิษย์พี่ชายที่โง่เขลาพวกนี้ ผู้ใดก็ไม่คู่ควรกับเจ้า”
จิ่งเหิงปัวมองเข้าไปในดวงตาที่ยิ้มแย้มของเขา ในใจกลับรู้สึกหนาวเล็กน้อย
หลายปีก่อนนานมาแล้ว สำนักนอกแดนมนุษย์แห่งนั้นเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นจริงใช่หรือไม่
ซากศพเกลื่อนกลาดเหล่านั้น ศิษย์ร่วมสำนักสังหารกันเหล่านั้น หรือว่าข้างหลังยังมีผู้อื่น ยกมีดขึ้นอย่างน่าครั่นคร้ามเพื่อจุดประสงค์ที่โหดร้าย
ก่อนหน้านี้ในภูเขา เมื่ออยู่ว่างนางเคยคุยเรื่องนี้กับพวกอิงไป๋ สุดท้ายได้ข้อสรุปว่าคนนั้นที่แลคล้ายไร้เดียงสาที่สุดเป็นไปไม่ได้ที่สุด มักเป็นฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังเสมอ
ในเรื่องนั้น เหตุใดผู้ที่ร้องไห้ถึงร้องไห้กันแน่?
เขาเอ่ยไว้ว่าสตรีคือจิ้งจอกที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี้ นี่เป็นการล้อเล่นหรือความเข้าใจในจิตใต้สำนึก?
หลายปีมานี้ เขาร้องเพลงนั้น สวมกระโปรงที่สตรีนั้นชอบสวม ทว่าไม่เคยตามหานาง ไม่เคยเอ่ยถึงนาง ในเมื่อนางไม่ได้ตายไปในเรื่อง เหตุใดเขาเลือกยอมแพ้ไม่ยอมตามหา เพียงยอมจดจำนางในยามนั้น?
สิ่งที่ไปแล้วไปลับคือจิ้งจอกห้าที่ตายไปอย่างไร้ความผิด หรือว่าช่วงเวลาที่ดูแลเอาใจใส่กันเหล่านั้นกันแน่?
เขาเป็นจิ้งจอกสี่เอย จิ้งจอกห้าเอย จิ้งจอกหกเอย หลังเหตุการณ์ผ่านพ้น เขาเป็นจิ้งจอกเก้าในเพลงกล่อมเด็ก
เขาสวมกระโปรงของจิ้งจอกเก้า ร้องเพลงของจิ้งจอกเก้า รักษาภาพลักษณ์ของจิ้งจอกเก้านั้นไว้ในใจ ร้องไห้ให้จิ้งจอกห้าที่ไปแล้วไปลับแทนนาง ร้องไห้ให้อดีตที่ไล่ตามไม่ได้แล้วเหล่านั้น
ในอดีตนั้น ศิษย์พี่น้องสิบคนอ่อนเยาว์อ่อนวัย สนิทสนมสนุกสนาน ดอกไม้โปรยกระบี่เหิน จับมือเดินไปข้างหน้า
ชั่วพริบตาเดียวกาลเวลาชำระล้าง ทุกอย่างขาวโพลน
เหยียลี่ว์ฉีกำลังถามนางว่า “เจ้าดูสิ เริ่มจากผู้ใดก่อนเล่า?”
นางสำรวมจิตใจ กล่าวว่า “เจ้าห้าเถิด เจ้าห้าจัดการง่ายที่สุด”
ฝ่ามือนางเย็นเล็กน้อย เขากุมไว้แน่น
เหนือศีรษะ พายุหิมะยิ่งคำรามรุนแรง ระหว่างฟ้าดินกลับยังไม่ได้ปรากฏรอยร้าว
“จากนั้นเล่า?” เขาถาม
นางนิ่งเงียบชั่วครู่ นางรู้สึกว่าท่านอาจารย์จื่อเวยไม่ใช่เจ้าห้า แต่อยู่ลําดับที่เท่าไรกันแน่ก็ยืนยันไม่ได้ ได้แต่กล่าวอย่างคลุมเครือว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่ร้ายกาจที่สุดผู้นั้น เขาสนิทกับเจ้าห้าที่สุด ปล่อยเขาไว้ อนาคตจะต้องกลับมาแก้แค้น”
ข้างบนคล้ายมีเสียงดังครืน ทว่าทิวทัศน์ตรงหน้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลง
“จัดการสองคนนี้ นอกจากนี้ไม่น่าเป็นห่วง” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยด้วยความยินดีว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ากับข้าช่วยกันทำลาย รอให้จัดการพวกเขาทั้งหมด เจ้ากับข้าก็จะได้…” เขาหัวเราะแผ่วเบา
เสียงของจิ่งเหิงปัวสั่นเทิ้มนิดหน่อย “ศิษย์พี่…ข้ากลัวนิดหน่อย”
นี่ไม่ใช่บทละครของนาง บทละครนี้อาจไม่ถูกต้อง ในการคาดการณ์ของจิ่งเหิงปัว นั่นต้องเป็นสตรีที่ดื้อรั้น ในเมื่อทำแล้วก็จะไม่ลังเลหวาดกลัว แต่ตอนนี้ ในใจนางเต็มไปด้วยความอ้างว้างกับใจอ่อน นางรู้ว่ารสชาติการถูกทรยศเจ็บปวดที่สุดในโลกนี้ อดไม่ได้ที่จะอยากใช้วาจาอ่อนแอเล็กน้อย ไม่เข้ากับสถานการณ์เล็กน้อยแบบนี้ มาปลอบโยนท่านอาจารย์จื่อเวยสักหน่อย
บางทีอาจไม่ใช่นางล่ะ…บางทีนางก็อาจถูกล่อลวงล่ะ…บางทีก่อนลงมือ นางก็อาจเคยลังเลไม่สบายใจคิดไม่ตกล่ะ…
คิดแบบนี้ พลังโจมตีอาจไม่มากพอ แต่ท่านอาจารย์จื่อเวยคงรู้สึกดีขึ้นหน่อยล่ะมั้ง?
แม้รู้ว่าหวังทำลายแก่นค่ายกล ก็ต้องยั่วยุท่านอาจารย์จื่อเวยให้เต็มที่ แต่สุดท้ายนางใจแข็งไม่พอที่จะฉีกแผลเป็นที่ถูกทรยศให้เจ็บปวดมากเกินไป
เหยียลี่ว์ฉีชะงักเล็กน้อย
บทละครไม่ถูกต้อง เขากลับไม่แปลกใจเลย นัยน์ตาเต็มไปด้วยความชื่นชมและความเข้าใจ…นิสัยของนาง ใจดีเช่นนี้เสมอ
เขาพลันเอื้อมสองแขนออกมา โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา
“ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่ด้วย” เสียงของเขาแผ่วเบาดุจละเมอ น้ำเสียงกลับหนักแน่นดั่งก้อนหิน “เป็นชะตากรรมหรือเวรกรรม มีผลดีหรือผลร้าย ข้าจะรับผิดชอบเพื่อเจ้าเสมอ”
จิ่งเหิงปัวนึกไม่ถึงว่าจะโดนกอดแบบนี้ เพิ่งคิดจะดิ้นรน ได้ยินประโยคนี้ อดจะสะท้านไม่ได้
วาจาประโยคนี้…นางสังหรณ์ว่าไม่ใช่บทละครเช่นกัน
วาจาบางอย่าง เอ่ยออกมาก็เป็นคำมั่นสัญญา ฝากไว้ในทุกรอยยิ้มเบาบาง
ข้างบนแว่วเสียงครืน ทิวทัศน์ตรงหน้าสั่นไหวระลอกหนึ่ง จิ่งเหิงปัวยินดีอยู่ในใจ รู้ว่าท่านอาจารย์จื่อเวยได้รับการกระทบกระเทือน ไม่อยากเผชิญหน้า “เรื่องในอดีตกับความจริง” อีกครั้ง จะจากไปแล้ว
นางเงยหน้า มองเห็นชายผ้าสีม่วงได้รำไรแล้ว
แต่ก็ครู่หนึ่งนี้เอง นางได้ยินข้างนอกคล้ายมีเสียงดังเอะอะรำไรกะทันหัน คล้ายมีใครสักคนกำลังวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ท่านอาจารย์จื่อเวยที่จิตใจว้าวุ่นเจอการรบกวนครั้งนี้ เสียจังหวะเล็กน้อย ทางเข้าค่ายกลสั่นไหวระลอกหนึ่ง ทิวทัศน์กำลังฟื้นคืนสู่ปกติอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวร้อนใจมาก ถ้าตอนนี้ล่มไม่เป็นท่า ทำอีกครั้งก็ไม่ได้ผลลัพธ์นี้แล้ว
ขณะนี้เอง เหยียลี่ว์สวินหรูพลันพุ่งเข้ามา
ขณะที่นางพุ่งเข้ามา มีดหนึ่งเล่มอยู่ในมือไม่รู้ตั้งแต่ยามใด ผมยาวสยาย เสียงแหลมรันทด “ศิษย์พี่! ข้ารู้ว่าข้าผิดต่อท่าน ผิดต่อศิษย์พี่น้องทุกคน ข้ารู้ว่าท่านเกลียดข้า…ยามนี้ ข้าจะทำให้ตัวข้าเองพ้นทุกข์ ทำให้ท่านพ้นทุกข์ด้วย!”
นางหลับตาลง วางมีดค้ำคอแล้วปาด!