จิ่งเหิงปัวตื่นตระหนก…เอาจริงเหรอเนี่ย!
นางกับเหยียลี่ว์ฉีพุ่งเข้าไปทั้งคู่ แต่ตอนนี้หิวโหยนานเกินไป แขนขาอ่อนแรง ตำแหน่งของเหยียลี่ว์สวินหรูห่างจากทั้งสองคน อีกเดี๋ยวก็จะช่วยไม่ทัน
ข้างบนพลันมีเงาม่วงกะพริบวูบ เงาคนลงมาปานสายฟ้าฟาด เสียง “เพียะ” ดังขึ้น มีดตรงคอเหยียลี่ว์สวินหรูถูกปัดออกไป เงาคนนั้นลอยเฉียดผ่านมา เอื้อมมือมากอดนาง เอ่ยเสียงเศร้าว่า “ผิงหราน!”
เอื้อมมือได้ครึ่งเดียว มองเห็นใบหน้าของเหยียลี่ว์สวินหรู ชะงักงันคล้ายพลันตกใจได้สติ
เหยียลี่ว์สวินหรูพลิกมือกอดเขาไว้!
นางออกแรงกอดเช่นนี้ คล้ายจะขยี้บุรุษผู้นี้เข้าสู่อ้อมแขนของตนเอง
ท่านอาจารย์จื่อเวยมึนงงประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด ไม่นึกว่าจะเหม่อลอยไม่รู้จักต่อต้าน ถูกเหยียลี่ว์สวินหรูลากไปในหิมะ
เหยียลี่ว์สวินหรูลากท่านอาจารย์จื่อเวยไปพลาง โบกมือให้ทางจิ่งเหิงปัวโดยไม่หันหน้ามาไปพลาง
รีบไปให้พ้น!
จิ่งเหิงปัวก็ดั่งถูกสายฟ้าฟาดด้วย…นางปากอ้าตาค้างมองเหยียลี่ว์สวินหรูใช้กำลังป่าเถื่อนที่นางไม่อาจมีได้ แข็งขืนลากท่านอาจารย์จื่อเวยที่อยู่ในสภาพเหม่อลอยเข้าบ้านหิมะของนาง…
นางเห็นตอนที่ท่านอาจารย์จื่อเวยถูกลากเข้าไป เสื้อคลุมยาวลากพื้นเกี่ยวหินก้อนหนึ่งฉีกขาดดังแควก
นางเห็นเหยียลี่ว์สวินหรูโยนเสื้อคลุมยาวที่ขาดวิ่นของเขาออกไปอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
นางเห็นท่านอาจารย์จื่อเวยงงงวยสับสนเล็กน้อย คล้ายอยากดิ้นรน เหยียลี่ว์สวินหรูกระโจนเพียงครั้ง พุ่งไปบนร่างเขาทับเขาไว้…
จากนั้นนางก็มองไม่เห็นแล้ว
ด้วยเพราะเหยียลี่ว์สวินหรูกระโจนทับท่านอาจารย์จื่อเวยไปพลาง ใช้เท้าเตะหินก้อนหนึ่งขวางบ้านหิมะไปพลาง…
จิ่งเหิงปัวรู้สึกคล้ายมีสายฟ้าฟาดลงมาจริงๆ นางมัวแต่ปากอ้าตาค้างไปด้วย ซ้ำยังรู้ทันสะบัดมือไปด้วย ย้ายหินก้อนใหญ่ที่อยู่ฝั่งหนึ่งมาอย่างรวดเร็ว เตรียมช่วยสวินหรูปิดตายบ้านหิมะ ชุดชั้นในชุดหนึ่งพลันลอยออกมาจากบ้านหิมะ นางรีบทะยานขึ้นไปรับไว้ โยนออกไปไกลโพ้นเกินพันลี้ จากนั้นยุ่งอยู่กับการย้ายก้อนหินขวางบ้านหิมะไว้ แม้แต่บนหลังคาบ้านยังทับไว้หนึ่งก้อน
สตรีสองนางนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา นางหนึ่งลากคนไป อีกนางหนึ่งขวางประตูไว้ สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ข้างกายอธิบายด้วยวาจาไม่ได้แล้ว…
เหนือศีรษะแว่วเสียงฟ้าร้องดังครืนๆ ต่อเนื่อง จิ่งเหิงปัวหันหน้ามอง ทิวทัศน์ตรงหน้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เผยให้เห็นเส้นทางภูเขาที่ขรุขระกับทิวทัศน์ที่แตกต่าง กระแสอากาศอบอุ่นระลอกหนึ่งพุ่งปะทะใบหน้า
ค่ายกลปากหุบเขาพังทลายแล้ว
“ไป!” เหยียลี่ว์ฉีโอบนางวิ่งไปข้างนอก จิ่งเหิงปัวเหลียวหลังหลายครั้ง เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงสวินหรู บนโลกนี้ไม่มีเรื่องที่นางจัดการไม่ได้!”
จิ่งเหิงปัวคิดว่าเป็นเช่นนั้น
ซ้ำยังรู้สึกว่าควรอาศัยเรื่องนี้สั่งสอนไอ้แก่หนังเหนียวจื่อเวยสักครั้ง
จะให้ดีต้องข่มเหงเขาอย่างโหดร้าย เด็ดเดี่ยว ครบถ้วนสมบูรณ์
นางเชื่อว่าสวินหรูทำได้แน่นอน
อยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ยังมีอะไรทำไม่ได้?
เหยียลี่ว์ฉีเพิ่งจะวิ่งออกไปไม่กี่ก้าวก็หยุดฝีเท้า สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง จิ่งเหิงปัวเห็นในฝุ่นควันข้างหน้า หลายคนรีบวิ่งเข้ามา แต่งกายแบบชาวยุทธภพ สีหน้ารีบร้อน
มองสีหน้าของเหยียลี่ว์ฉี พวกเขารู้จักกัน
อย่างที่คิดไว้เหยียลี่ว์ฉีถามว่า “เซียนอวี๋ เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่?”
เซียนอวี๋ชิ่งหยุดยืนหอบหายใจ ถวายคำนับพลางรีบเอ่ยว่า “นายท่าน โปรดรีบกลับไป ทางนั้น…” เขามองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง สีหน้าลังเลเล็กน้อย
จิ่งเหิงปัวฮัมเพลงเดินออกไปทันที เหยียลี่ว์ฉีอยากเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร” ก็ไม่ทันแล้ว
เหยียลี่ว์ฉีฝืนหัวเราะ ได้แต่เบนความสนใจกลับไปหาเซียนอวี๋ชิ่ง ฟังเซียนอวี๋ชิ่งเอ่ยไม่กี่ประโยค สีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย
เซียนอวี๋ชิ่งย่อมบอกเหยียลี่ว์ฉีไม่ได้ว่าท่านมู่ถูกผู้อื่นแย่งเป็นแล้ว เพียงเอ่ยว่าที่ตั้งพรรคที่เมืองเหอซิ่งมีปัญหา คล้ายปรากฏหนอนบ่อนไส้
เหอซิ่งเป็นเมืองใหญ่ที่เป็นรองเพียงซั่งหยวนของเผ่าไต้เม่า ซ้ำยังเป็นที่ตั้งพรรคที่สำคัญอันดับสอง ที่นั่นเกิดปัญหา แน่นอนว่าเป็นเรื่องใหญ่ ข้ออ้างนี้ก็พอให้เหยียลี่ว์ฉีกลับไปโดยพลัน หลังจากที่กลับไปแล้วเขาเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกลับฐานที่มั่น เซียนอวี๋ชิ่งก็วางแผนไว้เช่นนี้ ในเมื่อตัวปลอมผู้นั้นไม่ถือสาที่ท่านกลับมา แน่นอนว่าเขาต้องเชิญเจ้านายตัวจริงกลับไปก่อน ไม่ให้ผู้อื่นยึดครองนานวันเข้า กลายเป็นของผู้อื่นจริงๆ
จิ่งเหิงปัวแลคล้ายไม่สนใจ หางตากลับเพ่งมองทางนั้น ท่าทางเช่นนี้ เหยียลี่ว์ฉีคล้ายมีปัญหา
อย่างที่คิดไว้ผ่านไปสักพัก เหยียลี่ว์ฉีเดินมาเอ่ยว่า “ทางข้านี้เกิดเรื่องเล็กน้อย…”
จิ่งเหิงปัวกล่าวทันทีว่า “อาเช่นนั้นเจ้าไปทำธุระเถิด เจ้าพาพี่สวินหรูไปด้วยหรือไม่? หากเจ้าไม่ทันได้พาไปด้วย อยู่ที่เขาชีเฟิงข้าก็ช่วยเจ้าดูแลให้ดีได้ วางใจเถิดนะฮ่าๆ…อึ้ก”
ภายใต้การของจ้องมองเหยียลี่ว์ฉี เสียงหัวเราะของนางยิ่งหัวเราะยิ่งเจื่อน สุดท้ายหัวเราะไม่ออกจนได้
สายตาของเขาทะลุปรุโปร่งเหลือเกิน ความคิดสกปรกทุกอย่างหนีไปไม่พ้น
ครู่ใหญ่เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “กลัวข้าเชิญเจ้าไปด้วยขนาดนั้นเชียว?”
จิ่งเหิงปัวได้แต่หัวเราะเจื่อนต่อไป
คบค้าสมาคมกับคนฉลาดเกินไปทำให้รู้สึกอึดอัดจริงๆ เลย
“ข้าก็ไม่ได้คิดจะพาเจ้าไป” เขาเอ่ยอย่างสุขุมว่า “เรื่องมีปัญหาเล็กน้อย ข้าหวังว่าเจ้าจะอยู่ที่เขาชีเฟิงตั้งใจฝึกฝน อีกเดี๋ยวหากจื่อเวยจะขับไล่เจ้าออกจากเขา เช่นนั้นเจ้าก็อยู่กับพวกอิงไป๋ปลอดภัยกว่า”
จิ่งเหิงปัวเหงื่อตก คิดว่าตัวเองใช้ความคิดต่ำต้อยคาดเดาความคิดของสุภาพบุรุษแล้ว
“สวินหรูอยู่ที่นี่ข้าวางใจยิ่งนัก อีกเดี๋ยวข้าจะมารับนาง เจ้าดูแลตนเองให้ดีก็พอแล้ว” เขายกมือหยิบเศษหญ้าข้างจอนผมออกให้นาง “เจ้าไม่ต้องรีบจากไป ให้ท่านอาจารย์จื่อเวยรักษาเจ้าก่อน แม้ไอหนาวในหุบเขาหิมะนี้ช่วยเจ้าฝึกวรยุทธ แต่แท้จริงแล้วทำร้ายร่างกายยิ่งนัก เจ้าก็อยู่ข้างนอกทั้งวัน อาจสะสมไอหนาวจำนวนมากไว้ในร่างกาย จำไว้ว่าต้องกำจัดไอหนาวแล้วค่อยลงเขา อีกทั้ง ต้องระวังคนของสามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มใหญ่ ที่นี่ใกล้แหล่งอิทธิพลของพวกเขา แน่ใจไม่ได้ว่าจะไม่ยื่นมือเข้ามา”
จิ่งเหิงปัวอยากถอยก็เร็วไม่เท่าเขา ได้แต่พยักหน้า รู้สึกทันทีว่าสถานการณ์นี้คล้ายไม่ค่อยปกติ ชำเลืองมองสีหน้าประหลาดของเซียนอวี๋ชิ่งแวบหนึ่งถึงนึกขึ้นได้ น้ำเสียงนี้ สถานการณ์นี้ คล้ายสามีที่เดินทางไกลสั่งเสียภรรยาที่เฝ้าบ้าน…
ความเข้าใจผิดเช่นนี้ ไม่ค่อยดีเท่าไร…
นางก็รู้ว่าน้ำเสียงที่เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยกับนางสนิทสนมเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น กล่าวขึ้นมาแล้ว นี่ก็เป็นเพราะอยู่ด้วยกันตลอดทาง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นับได้ว่าเป็นเหตุผลให้เป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายแล้ว แต่นางรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าอย่างไรก็คล้ายจะไม่ค่อยปกติ เขามีแววตาห่วงหาอาวรณ์คล้ายฝนในฤดูใบไม้ร่วง หวังจะปกคลุมโลกทั้งใบของนาง แม้นางสะบัดสาบเสื้อพลิ้วไหวขวางแววตาไว้ ก็ขวางไม่ให้ชายผ้าเปื้อนกลิ่นหอมอ่อนของเขาไม่ได้
คล้ายมองเห็นการหลีกเลี่ยงของนาง เขาเพียงหัวเราะเล็กน้อย หันกายอย่างเยือกเย็น
สายตาของเขาทอดยาว ทว่าหันกายอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว
“ไปเถิด”
เซียนอวี๋ชิ่งจูงม้ามา ที่นี่มีเส้นทางสายหนึ่งลงเขาได้โดยตรง
ยามที่ขึ้นม้าเหยียลี่ว์ฉีพลันนึกอะไรขึ้นได้ ถามเซียนอวี๋ชิ่งว่า “มีเสบียงกรังติดมาด้วยหรือไม่?”
เซียนอวี๋ชิ่งล้วงเสบียงกรังออกมา เห็นสีหน้าเหยียลี่ว์ฉี มองออกว่าเขาอยู่ในสภาพหิวโหย ส่งมาให้โดยไม่คิดด้วยซ้ำ เหยียลี่ว์ฉีรับไว้ ฉวยมือโยนให้จิ่งเหิงปัว
จิ่งเหิงปัวรับไว้ในมือโดยสำนึกแล้วจะโยนคืนไป รีบกล่าวว่า “ข้าออกจากหุบเขาแล้ว จะไม่มีอะไรกินได้อย่างไร? แต่อีกเดี๋ยวเจ้าต้องรีบเดินทาง รีบกินก่อนมิฉะนั้นจะทนไม่ไหว…”
เสียงวาจาของนางหายไปในเสียงกีบเท้าผืนหนึ่ง นางเห็นแค่เขาโบกมือให้ข้างหลัง ให้อย่างเต็มใจ ไปอย่างสง่างาม
เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาไม่เคยขอบคุณการปกป้องในหุบเขาของนาง แต่เขาก็ให้โดยไม่เคยคาดหวังสิ่งตอบแทนหรือขอบคุณ
จิ่งเหิงปัวได้แต่ถอนหายใจ มองเงาด้านหลังที่ควบม้าไปปานมังกรพิโรธของเขา ในใจรู้สึกไม่สบายใจรำไร
เหยียลี่ว์ฉีน่าจะมีกลุ่มอำนาจของตัวเอง นางเดาได้ เพียงแต่บัดนี้ดูท่าเกรงว่าไม่ค่อยดี ทำให้คนที่เยือกเย็นเช่นเหยียลี่ว์ฉีนี้รีบกลับไปเหมือนไฟไหม้ขนาดนี้ได้ คงไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน
นางสังเกตเสื้อผ้าและม้าของเซียนอวี๋ชิ่ง มองออกว่าแม้เซียนอวี๋ชิ่งรีบเดินทางมากจริงๆ แต่ไม่ได้เปื้อนฝุ่นเขรอะเท่าไร เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เดินทางไกลมาก กล่าวอีกนัยหนึ่ง กลุ่มอำนาจลับของเหยียลี่ว์ฉีก็อยู่บริเวณเผ่าไต้เม่า
จิ่งเหิงปัวเดินไปด้วยใคร่ครวญไปด้วย รู้สึกว่าตัวเองก็อยู่เขาชีเฟิงมานานพอแล้ว ผ่านการทดสอบตั้งหลายครั้ง พิษในร่างกายไม่ได้กำเริบมานาน ดูท่าทางท่านอาจารย์จื่อเวยคงถอนพิษให้นางแล้ว เพียงแต่ไม่บอกนางเพราะนิสัยเฮงซวย หวังหลอกให้นางถูกเขาแกล้งต่อไปเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้รีบกลับไปรวมกลุ่มกับพวกอิงไป๋เผยซูนั่น ลงเขาไปเที่ยวด้วยกันดีกว่า
ผู้อาวุโสไต้เม่ากลุ่มนั้นน่าจะรอจนร้อนใจแล้วมั้ง ควรพบหน้าทุกคนสักหน่อย ถ้าโชคดีอาจช่วยเหยียลี่ว์ฉีได้ ในเมื่อกลุ่มอำนาจของเขาอยู่ที่ไต้เม่า เมื่อเกิดปัญหาก็ต้องเกี่ยวข้องกับพวกสามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มใหญ่
นางใคร่ครวญไปด้วยเดินไปด้วย เดินไปสักพักเงยหน้ากะทันหัน เพิ่งรู้ตัวว่าตรงหน้าต้นไม้ซ้อนกันหนาแน่น ทิวเขาทอดยาวหน้าผาสูงชัน แต่คล้ายหาเส้นทางไม่เจอแล้ว
คราวนี้นางเพิ่งนึกได้ว่าที่นี่คือยอดเขาลูกที่เจ็ด เชิงเขาเข้าใกล้เมืองซั่งหยวนศูนย์กลางไต้เม่าแล้ว ห่างจากยอดเขาหลักที่นางอาศัยอยู่เป็นระยะทางหลายร้อยลี้แล้ว ก่อนหน้านี้นางไม่เคยมาเลย แม้แต่พวกเจ็ดสังหารก็มาที่นี่น้อยครั้งเพราะทางไกล
ฉะนั้น พอไม่ระวัง นางหลงทางแล้ว
หลงทางในภูเขาใหญ่เป็นเรื่องโชคร้ายมาก แต่ยังมีเรื่องโชคร้ายยิ่งกว่านั้น นางได้ยินเสียงกรอบแกรบข้างพุ่มไม้
มองเห็นเงาขาวกะพริบวูบผ่านร่มไม้เขียวเข้มได้รำไร เงาขาวใหญ่โตเกินกว่ามนุษย์ สายตานางกะพริบวูบ สังหรณ์ว่านี่ไม่ใช่ของดี
นางหยุดยืนค้นหาภูมิประเทศที่เอื้ออำนวย เตรียมสู้ตายกับเจ้าตัวนี้ พุ่มไม้สั่นไหวแรงขึ้น พุ่มไม้เขียวเข้มสั่นไหวดังซ่าเกิดเป็นแสงเงายาวเหยียด เงาสีขาวกะพริบวูบในแสงเงาดั่งสายฟ้า เมื่อครู่ยังอยู่ไกลออกไป แล้วพลันมาถึงบริเวณนี้ มาถึงบริเวณนี้ก็กะพริบวูบ แล้วพลันไปทางซ้าย ความเร็วเช่นนั้นมองนานเข้าทำให้ตาลาย รู้สึกแค่ว่าในสายตาเป็นสีเขียวประปรายแล้วค่อยเป็นสีขาวประปราย แสงสายัณห์ค่อยๆ หม่นหมอง ดั่งความโกลาหลปะปนอยู่ในนั้น
ลึกไปในป่าเขาค่อยๆ มีเงาร่างสั่นไหวมากมายเพิ่มขึ้นมา รวมตัวกันล้อมรอบตำแหน่งของนาง เพียงแต่อยู่ไกลมาก ถ้าความสามารถไม่พอ จะรู้สึกแค่ว่านั่นคือเสียงลมที่พัดผ่านป่าเขา
จิ่งเหิงปัวมองอยู่สักพัก รู้สึกวิงเวียน เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองหิวมากๆ รีบหยิบเนื้อวัวที่เหยียลี่ว์ฉีให้ออกมากิน กินอิ่มถึงมีแรงจัดการ
หยิบเนื้อวัวออกมา กลิ่นหอมอัศจรรย์อบอวล ไม่รู้ว่าเนื้อนี้หมักด้วยเครื่องเทศอะไร กลิ่นหอมเป็นพิเศษ จิ่งเหิงปัวชะงัก แอบร้องว่าแย่แล้ว
อย่างที่คิดไว้ครู่ต่อมา เสียงคำรามทุ้มต่ำดังขึ้น เงาขาวสายหนึ่งกะพริบวูบ พลันพุ่งมาทางอ้อมแขนนาง
ความเร็วนั้นน่าตกใจจริงด้วย นางไม่นึกว่าจะถูกลมที่เกิดขึ้นขณะอีกฝ่ายพุ่งมาพัดจนถอยหลังหนึ่งก้าว
อาศัยท่าทางถอยหลังครั้งนี้ นางกะพริบวูบถอยหลังเล็กน้อย ไม่คิดหนีไป ตั้งใจลองใช้ความสามารถของตัวเองมาจับเจ้าตัวนี้
เจ้าตัวนั้นไม่ได้พุ่งชนนาง พลันเอื้อมมือมาคว้าเนื้อวัวในมือนาง
นางไม่ยอมให้ เรือนร่างเคลื่อนไหว หลบไปอย่างง่ายดายแล้ว
เจ้าตัวนั้นเหยียดแขน เสียงดังกร๊อบแกร๊บ ไม่นึกว่าแขนยาวที่เต็มไปด้วยขนขาวนั้นจะเหยียดได้มากกว่าเดิม ซ้ำยังเปลี่ยนทิศทาง คว้ามาทางหน้าอกนาง
นางชะงัก พอเงยหน้ามองเห็นใบหน้าใหญ่โตดุร้าย บนใบหน้ามีอวัยวะทั้งห้าของมนุษย์รำไร แต่หน้าตาบิดเบี้ยว อัปลักษณ์มาก ซ้ำยังเต็มไปด้วยขนขาว แยกเขี้ยวเหลืองที่ยื่นออกมานอกริมฝีปาก สายตาของเจ้าตัวนั้นชั่วร้ายมาก เปล่งประกายในแสงสายัณห์
นางไม่ตกใจแต่ดีใจ…นี่คือมนุษย์ภูเขาหิมะที่มีเฉพาะในยอดเขาลูกที่เจ็ด!